บทที่ 1/3 ชะตาสวาท

1180 คำ
“ฉันรู้ค่ะว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว ฉันแค่คุยกับเขาในฐานะ เอ่อ...เพื่อนเก่า” ท้ายประโยคตอบไม่เต็มเสียงนัก จำต้องเสสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าสบดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นสีชา “เพื่อนเก่าอะไรมีเช็ดน้ำตาให้กันด้วย ขอเตือนว่าอย่ายุ่งกับปริญ ถ้าไม่อยากเจอดี” เขาขู่ อาทิตาคอแข็ง สองมือเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิด นี่มันวัดนะคุณ อย่ามาหาเรื่องฉัน หลีก!” เธอสั่งบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมถอย “โอเค ก็ได้” ว่าแล้วหันหลังกลับทางที่เพิ่งเดินมา กะว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วกระมัง “พวกลักกินขโมยกิน ทุเรศ!” ศราวิลเอ่ยไล่หลัง อาทิตาหยุดเดิน กำหมัดแน่นอยู่ข้างกาย ก่อนจะหันมาเอ่ยบางอย่างกับคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ “ก็ลักกินขโมยกินมันอร่อยนี่คะ คู่หมั้นเขาเผลอเมื่อไหร่ รับรองฉันย่องไปกินแน่!” โต้กลับแล้วเดินหนี ถ้าอยากให้เธอเป็นแมวขโมยขนาดนั้น ก็จัดให้สมใจอยากละนะ ศราวิลกัดฟันอยู่กรอดๆ เขาอยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร หวังว่าคงไม่ใช่ชู้รักของปริญจริงๆ หรอกนะ ‘พ่อครับ ไปให้สบายนะครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของเราอย่างแน่นอน ผมสาบาน!’ ศราวิลสาบานอยู่ในอก หยดน้ำใสๆ เอ่อคลอในคลองจักษุ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้มันไหล การสูญเสียสร้างความเสียใจเป็นล้นพ้น แต่ท่ามกลางความเสียใจนั้นเขาต้องเข้มแข็ง เพื่อจะได้เป็นหลักให้ทุกคนพึ่งพิง เขาเดินกลับมาศาลาอีกครั้ง ใกล้จะได้เวลาเผาจริงเต็มที เสียงร่ำไห้ของมารดาและน้องสาวเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ นาทีต่อมามารดาเขาก็เป็นลมคาเก้าอี้ที่นั่งอยู่ อาทิตาแลเห็นร่างสูงของปริญและผู้ชายอีกคนยืนอยู่ข้างกัน ท่าทางของทั้งสองคงไม่ใช่แค่คนที่เพิ่งรู้จัก หรือว่าผู้ชายที่มาคุยกับเธอจะเป็นคนในครอบครัวนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอก็ควรถอยให้ห่างจากพวกเขาสินะ “แม่คะ เรากลับกันเถอะค่ะ แขกคนอื่นกลับกันหมดแล้วนะ” อาทิตาเร่งเร้ามารดา เวลานี้เหลือผู้คนไม่มากนักในศาลาแห่งนี้ “แต่แม่อยากรอเผาท่านศรานี่นา” โสภีเอ่ยอ้าง หยดน้ำตายังร่วงรินใต้แว่นดำที่สวมอยู่ “เดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยนะคะแม่ ที่เหลือบนศาลาก็คงมีแต่พวกญาติๆ เราไปดีกว่าค่ะ ไปนั่งที่อื่นก็ได้” อาทิตาให้เหตุผล โสภียอมลุกจากเก้าอี้ สองแม่ลูกไปนั่งรอที่ม้านั่งตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มลีลาวดีติดกับลานจอดรถ เฝ้ารอกระทั่งได้เห็นปากปล่องของเมรุมีควันสีขุ่นพวยพุ่งออกมา หยาดน้ำตาของโสภีหลั่งมาไม่ขาดสาย พลอยทำให้บุตรสาวน้ำตารินไปด้วย ‘ไปสู่สุขคตินะคะคุณท่าน ซันจะดูแลแม่เอง คุณท่านไม่ต้องห่วงนะคะ’ อาทิตาบอกลาท่านศราเป็นครั้งสุดท้าย นั่งรออยู่ตรงนั้นจนแสงตะวันลบเลือนจึงได้พากันขึ้นรถกลับบ้าน หารู้ไม่ว่ามีดวงตาแห่งความเศร้าของใครบางคนเฝ้ามองอยู่ “แม่ครับ ขึ้นรถเถอะครับ” ศราวิลเรียกมารดาที่กำลังเฝ้ามองรถคันหนึ่งแล่นออกไปจากลานจอด เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมืออุ่นๆ ของน้องสาวแตะเข้าที่ท่อนแขน “เดี๋ยวโฉมเรียกเอง พี่ไปรอบนรถเถอะค่ะ” ศราวิลพยักหน้า เขาก้าวยาวๆ ไปยังรถที่จอดรออยู่ “แม่คะ?” โฉมงาม ศรัยฉัตร เอ่ยเรียกมารดาบ้าง ดูเหมือนว่ามารดาจะไม่ได้ยินเสียงที่พี่ชายเรียกหา “หืม...มีอะไรยัยโฉม” นางมารตี หันมาถาม สลัดเรื่องราวของเจ้าของรถคันนั้นออกไปจากสมอง นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบเจอคนที่ไม่อยากเจอในวันนี้ น่าดีใจไหมเล่าที่พวกเขาไม่ได้แสดงตัว “ขึ้นรถเถอะค่ะแม่ กลับบ้านกันนะคะ” โฉมงามแนะมารดา ใบหน้ายังมีแต่ความเศร้า เธอประคองท่านไปขึ้นรถคันหรูซึ่งตอนนี้พี่ชายนั่งรออยู่ “โฉม คุณพ่อน่ะ...เคยทำเรื่องไม่ดี วันนี้โฉมจะให้อภัยคุณพ่อได้ไหม” มารตีเลียบเคียงถามบุตรสาว โฉมงามยิ้มเศร้าๆ ให้มารดา “สำหรับโฉม ต่อให้พ่อร้ายแค่ไหน โฉมก็รักพ่อค่ะ ยิ่งตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว โฉมจะโกรธเกลียดพ่อให้ได้อะไรขึ้นมา จริงไหมคะ” คำพูดของบุตรสาวกระทบใจนางมารตี เพราะตอนนี้คนที่ก่อเรื่องไว้ร่างกายก็กลายเป็นเถ้าไปแล้ว นางจะโกรธจะชิงชังสามีให้ได้อะไรขึ้นมา วันเวลาคงช่วยเยียวยาความเจ็บช้ำในหัวใจของนางได้ เวลาคงช่วยรักษาแผลนี้แม้ว่าแผลรักมันจะเจ็บแปลบมากว่ายี่สิบปีก็ตาม สามเดือนให้หลัง ปลายเท้าเรียวของอาทิตาก้าวลงมาตามขั้นบันไดที่ทอดสู่ชั้นล่างของบ้าน ได้ยินเสียงมารดาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องรับแขกไปด้วยในตัว เธอเดาเอาว่าคงมีคนมาหาเป็นแน่ ทว่าพอได้พบเจอคนที่เป็นแขก เธอกลับต้องอ้าปากค้างอย่างงุนงง “พี่เป้? มาได้ไงคะ?” ปริญไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยราวกับเปิดทางให้เธอมาร่วมวงสนทนา “ยัยซัน อย่าเสียมารยาทสิ พี่เป้เขามาในฐานะทนายของศรัยฉัตรนะ” โสภีปรามบุตรสาว เวลานี้ฐานะของคนคุ้นเคยได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ใช่ว่าที่ลูกเขยของนาง แต่เป็นตัวแทนของศรัยฉัตรมาเจรจาเรื่องทรัพย์สินที่ท่านศราทิ้งไว้ให้ “ศรัยฉัตรหรือคะ” อาทิตาครางเบาๆ นั่งลงข้างมารดา กลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ บ่าตั้งหลังตรง เชิดหน้าน้อยๆ เมื่อเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นอดีตคนรัก มาพบกันที่นี่ทำไม “เราไม่เคยได้อะไรมากกว่าที่ท่านศราหยิบยื่นให้ บ้านนี้เราก็ซื้อเอง ส่วนรถที่อยู่ข้างนอกนั่นก็เป็นชื่อของแม่ แม้ว่าท่านศราจะเป็นคนซื้อให้ก็เถอะ” ปริญยิ้มน้อยๆ ให้กับประโยคปกป้องตัวเองของอาทิตา เขารู้ดีว่าหล่อนรู้สึกเช่นไร แต่ที่เขามาวันนี้ไม่ได้มาทวงคืนอะไรทั้งนั้น กลับกัน เขามาเพื่อมอบให้ต่างหาก ยอมรับว่าประหลาดใจอย่างที่สุด เมื่อต้องมาพบภรรยาอีกคนของท่านศราตามที่ท่านระบุไว้ในพินัยกรรม แต่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือภรรยาน้อยของท่าน เป็นมารดาของอดีตคนรักของเขานี่เอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม