“ฉันรู้ค่ะว่าเขามีคู่หมั้นแล้ว ฉันแค่คุยกับเขาในฐานะ เอ่อ...เพื่อนเก่า” ท้ายประโยคตอบไม่เต็มเสียงนัก จำต้องเสสายตาไปทางอื่น ไม่กล้าสบดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นสีชา
“เพื่อนเก่าอะไรมีเช็ดน้ำตาให้กันด้วย ขอเตือนว่าอย่ายุ่งกับปริญ ถ้าไม่อยากเจอดี” เขาขู่
อาทิตาคอแข็ง สองมือเท้าสะเอวอย่างเอาเรื่อง
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรผิด นี่มันวัดนะคุณ อย่ามาหาเรื่องฉัน หลีก!” เธอสั่งบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่ยอมถอย “โอเค ก็ได้” ว่าแล้วหันหลังกลับทางที่เพิ่งเดินมา กะว่าจะมาเข้าห้องน้ำ แต่คงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วกระมัง
“พวกลักกินขโมยกิน ทุเรศ!” ศราวิลเอ่ยไล่หลัง
อาทิตาหยุดเดิน กำหมัดแน่นอยู่ข้างกาย ก่อนจะหันมาเอ่ยบางอย่างกับคนที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อ
“ก็ลักกินขโมยกินมันอร่อยนี่คะ คู่หมั้นเขาเผลอเมื่อไหร่ รับรองฉันย่องไปกินแน่!” โต้กลับแล้วเดินหนี ถ้าอยากให้เธอเป็นแมวขโมยขนาดนั้น ก็จัดให้สมใจอยากละนะ
ศราวิลกัดฟันอยู่กรอดๆ เขาอยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร หวังว่าคงไม่ใช่ชู้รักของปริญจริงๆ หรอกนะ
‘พ่อครับ ไปให้สบายนะครับ ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายครอบครัวของเราอย่างแน่นอน ผมสาบาน!’
ศราวิลสาบานอยู่ในอก หยดน้ำใสๆ เอ่อคลอในคลองจักษุ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้มันไหล การสูญเสียสร้างความเสียใจเป็นล้นพ้น แต่ท่ามกลางความเสียใจนั้นเขาต้องเข้มแข็ง เพื่อจะได้เป็นหลักให้ทุกคนพึ่งพิง
เขาเดินกลับมาศาลาอีกครั้ง ใกล้จะได้เวลาเผาจริงเต็มที เสียงร่ำไห้ของมารดาและน้องสาวเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ นาทีต่อมามารดาเขาก็เป็นลมคาเก้าอี้ที่นั่งอยู่
อาทิตาแลเห็นร่างสูงของปริญและผู้ชายอีกคนยืนอยู่ข้างกัน ท่าทางของทั้งสองคงไม่ใช่แค่คนที่เพิ่งรู้จัก หรือว่าผู้ชายที่มาคุยกับเธอจะเป็นคนในครอบครัวนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอก็ควรถอยให้ห่างจากพวกเขาสินะ
“แม่คะ เรากลับกันเถอะค่ะ แขกคนอื่นกลับกันหมดแล้วนะ”
อาทิตาเร่งเร้ามารดา เวลานี้เหลือผู้คนไม่มากนักในศาลาแห่งนี้
“แต่แม่อยากรอเผาท่านศรานี่นา”
โสภีเอ่ยอ้าง หยดน้ำตายังร่วงรินใต้แว่นดำที่สวมอยู่
“เดี๋ยวพวกเขาจะสงสัยนะคะแม่ ที่เหลือบนศาลาก็คงมีแต่พวกญาติๆ เราไปดีกว่าค่ะ ไปนั่งที่อื่นก็ได้”
อาทิตาให้เหตุผล โสภียอมลุกจากเก้าอี้ สองแม่ลูกไปนั่งรอที่ม้านั่งตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใต้ร่มลีลาวดีติดกับลานจอดรถ เฝ้ารอกระทั่งได้เห็นปากปล่องของเมรุมีควันสีขุ่นพวยพุ่งออกมา หยาดน้ำตาของโสภีหลั่งมาไม่ขาดสาย พลอยทำให้บุตรสาวน้ำตารินไปด้วย
‘ไปสู่สุขคตินะคะคุณท่าน ซันจะดูแลแม่เอง คุณท่านไม่ต้องห่วงนะคะ’
อาทิตาบอกลาท่านศราเป็นครั้งสุดท้าย นั่งรออยู่ตรงนั้นจนแสงตะวันลบเลือนจึงได้พากันขึ้นรถกลับบ้าน หารู้ไม่ว่ามีดวงตาแห่งความเศร้าของใครบางคนเฝ้ามองอยู่
“แม่ครับ ขึ้นรถเถอะครับ”
ศราวิลเรียกมารดาที่กำลังเฝ้ามองรถคันหนึ่งแล่นออกไปจากลานจอด เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมืออุ่นๆ ของน้องสาวแตะเข้าที่ท่อนแขน
“เดี๋ยวโฉมเรียกเอง พี่ไปรอบนรถเถอะค่ะ”
ศราวิลพยักหน้า เขาก้าวยาวๆ ไปยังรถที่จอดรออยู่
“แม่คะ?”
โฉมงาม ศรัยฉัตร เอ่ยเรียกมารดาบ้าง ดูเหมือนว่ามารดาจะไม่ได้ยินเสียงที่พี่ชายเรียกหา
“หืม...มีอะไรยัยโฉม”
นางมารตี หันมาถาม สลัดเรื่องราวของเจ้าของรถคันนั้นออกไปจากสมอง นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบเจอคนที่ไม่อยากเจอในวันนี้ น่าดีใจไหมเล่าที่พวกเขาไม่ได้แสดงตัว
“ขึ้นรถเถอะค่ะแม่ กลับบ้านกันนะคะ”
โฉมงามแนะมารดา ใบหน้ายังมีแต่ความเศร้า เธอประคองท่านไปขึ้นรถคันหรูซึ่งตอนนี้พี่ชายนั่งรออยู่
“โฉม คุณพ่อน่ะ...เคยทำเรื่องไม่ดี วันนี้โฉมจะให้อภัยคุณพ่อได้ไหม”
มารตีเลียบเคียงถามบุตรสาว โฉมงามยิ้มเศร้าๆ ให้มารดา
“สำหรับโฉม ต่อให้พ่อร้ายแค่ไหน โฉมก็รักพ่อค่ะ ยิ่งตอนนี้พ่อไม่อยู่แล้ว โฉมจะโกรธเกลียดพ่อให้ได้อะไรขึ้นมา จริงไหมคะ”
คำพูดของบุตรสาวกระทบใจนางมารตี เพราะตอนนี้คนที่ก่อเรื่องไว้ร่างกายก็กลายเป็นเถ้าไปแล้ว นางจะโกรธจะชิงชังสามีให้ได้อะไรขึ้นมา วันเวลาคงช่วยเยียวยาความเจ็บช้ำในหัวใจของนางได้ เวลาคงช่วยรักษาแผลนี้แม้ว่าแผลรักมันจะเจ็บแปลบมากว่ายี่สิบปีก็ตาม
สามเดือนให้หลัง
ปลายเท้าเรียวของอาทิตาก้าวลงมาตามขั้นบันไดที่ทอดสู่ชั้นล่างของบ้าน ได้ยินเสียงมารดาที่ห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นห้องรับแขกไปด้วยในตัว เธอเดาเอาว่าคงมีคนมาหาเป็นแน่ ทว่าพอได้พบเจอคนที่เป็นแขก เธอกลับต้องอ้าปากค้างอย่างงุนงง
“พี่เป้? มาได้ไงคะ?”
ปริญไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขายิ้มให้เธอเล็กน้อยราวกับเปิดทางให้เธอมาร่วมวงสนทนา
“ยัยซัน อย่าเสียมารยาทสิ พี่เป้เขามาในฐานะทนายของศรัยฉัตรนะ”
โสภีปรามบุตรสาว เวลานี้ฐานะของคนคุ้นเคยได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ใช่ว่าที่ลูกเขยของนาง แต่เป็นตัวแทนของศรัยฉัตรมาเจรจาเรื่องทรัพย์สินที่ท่านศราทิ้งไว้ให้
“ศรัยฉัตรหรือคะ” อาทิตาครางเบาๆ นั่งลงข้างมารดา กลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ บ่าตั้งหลังตรง เชิดหน้าน้อยๆ เมื่อเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นอดีตคนรัก มาพบกันที่นี่ทำไม “เราไม่เคยได้อะไรมากกว่าที่ท่านศราหยิบยื่นให้ บ้านนี้เราก็ซื้อเอง ส่วนรถที่อยู่ข้างนอกนั่นก็เป็นชื่อของแม่ แม้ว่าท่านศราจะเป็นคนซื้อให้ก็เถอะ”
ปริญยิ้มน้อยๆ ให้กับประโยคปกป้องตัวเองของอาทิตา เขารู้ดีว่าหล่อนรู้สึกเช่นไร แต่ที่เขามาวันนี้ไม่ได้มาทวงคืนอะไรทั้งนั้น กลับกัน เขามาเพื่อมอบให้ต่างหาก ยอมรับว่าประหลาดใจอย่างที่สุด เมื่อต้องมาพบภรรยาอีกคนของท่านศราตามที่ท่านระบุไว้ในพินัยกรรม แต่ที่ประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือภรรยาน้อยของท่าน เป็นมารดาของอดีตคนรักของเขานี่เอง