ตอนที่8. หนีไป

1169 คำ
“แม้เสื้อผ้าที่ใส่ไม่งดงามหรือกินอาหารแทบไม่อิ่ม” “ข้ากินอิ่มทุกมื้อ” นางรีบพูดขึ้น “ข้าชอบเสื้อผ้าที่ใส่ ชอบทุกคนที่นี่ ทุกคนดีกับข้ามาก ทั้งที่ข้าจำอะไรไม่ได้เลย” “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หมอมู่พยักหน้ารับเป็นจังหวะที่มีชาวบ้านเข้ามาหาให้รักษาอาหารเจ็บท้อง “ไป๋เซ่อไปจับปลากัน” หงเซ่อมาดึงมือหญิงสาวให้เดินตาม “จับปลา?” นางทำตาโต “ข้าจับไม่เป็น” “ข้าสอนเอง” หงเซ่อหัวเราะร่า “พี่ลี่หยางชอบกินปลา เราไปจับปลามาทำแกงให้พี่ลี่หยางกัน” “พี่ลี่หยางชอบกินปลาหรือ?” นางทำตาปริบๆ เดินตามคนตัวเล็กที่เดินนำหน้ามุ่งไปลำธารไม่ไกลนัก “ใช่ พี่ลี่หยางชอบกินปลามาก แต่เขาสละให้พวกเรากินก่อนเสมอ” “อื้ม” ไป๋เซ่อยิ้มกว้าง ดีใจที่รู้ว่ามู่ลี่หยางชอบอะไร ไม่รู้เหตุใด นางอยากทำอะไรเพื่อเขาบ้าง หญิงสาวจึงไปที่ลำธาร ทำทุกอย่างที่หงเซ่อสอน ด้วยใจหวังว่าจะทำให้มู่ลี่หยางมีความสุขเหมือนที่เขาทำให้นางอบอุ่นใจในทุกคืน หลังจากส่งคนป่วยออกจากเรือนไปแล้ว หมอมู่ก็กลับมาสนใจกับสมุนไพรที่เก็บมา เขาสอนเด็กๆให้รู้จักสมุนไพรต่างและการรักษาอาการเจ็บป่วยพื้นฐาน หากคนใดสนใจการแพทย์ เขาก็เต็มใจสอน เพื่อให้พวกเขาได้มีความรู้ติดตัว หมอมู่จางหมิ่นรับรู้ว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงเงยหน้าขึ้นจากกระจาดสมุนไพร ดวงตาหรี่มองอย่างประเมินก่อนถอนหายใจหนักหน่วง ก่อนมองเลยไปด้านหลัง เด็กๆ ต่างจ้องมองอย่างตื่นเต้นจนเขาต้องโบกมือไล่ให้ไปที่อื่นก่อน “ท่านหมอมู่” ผู้มาเยือนประสานมือคารวะ “ท่านหลิวชิงมาหาข้าถึงที่นี่มีเรื่องใดรึ” “ท่านหมอมู่กล่าวเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มด้วยท่าทีสุภาพและอ่อนน้อม ยิ้มเอ็นดูบรรดาเด็กๆ ที่มองด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ชีวิตที่นี่ดูสงบดีจริง” “ข้าย่อมเลือกอยู่ที่ที่อยู่แล้วสบายใจ” หมอมู่ยกกระจาดสมุนไพรขึ้นวางบนชั้น แล้วปัดมือไปมาก่อนจ้องใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่าย “เจ้าคงไม่ได้แค่มาดูว่าข้าเป็นอยู่อย่างไรใช่หรือไม่” “ท่านหมอมู่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว” เขาไม่เก็บความวิตกกังวลในแววตา “เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะมารบกวนท่าน แต่ด้วยจนปัญญาและที่นี่อยู่ใกล้ที่สุดจึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ” หมอมู่จางหมิ่นโบกมือไปมาราวกับไล่แมลงรำคาญ “ต้องการสิ่งใดก็พูดมา” “โอสถของประมุขหายไป” “หือ?” คราวนี้หมอมู่เลิกคิ้วประหลาดใจ “ปกติคุ้มกันอย่างดีมิใช่รึ?” “เป็นข้าที่สะเพร่าเองจึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” “สะเพร่า? คนอย่างหลิวชิงรึจะสะเพร่าได้ถึงเพียงนี้” หมอมู่ส่ายหน้าไปมา “แต่ข้าออกจากพรรคกระเรียนดำมาสิบกว่าปีแล้ว จะไปเคยพบเห็นโอสถของท่านประมุขได้อย่างไร” สิ่งที่ทำให้มู่จางหมิ่นวางมือเรื่องในพรรคมารก็เพราะ ‘โอสถ’ ของท่านประมุข สองมือเคยเปื้อนเลือด ฆ่าคนเป็นผักปลา แต่เขาล้างมือและใช้ความรู้รักษาผู้อื่น แม้ไม่อาจชดเชยที่ทำมาแต่ก็พยายามทำเท่าที่มือคู่นี้จะทำได้ นั้นคือเหตุผลที่เขารับเลี้ยงเด็กกำพร้าเหล่านี้ “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เจ้าจะได้ไม่เสียเวลา” หลิวชิงหยิบกระดาษม้วนออกมาคลี่ออกแล้วส่งให้หมอมู่จางหมิ่น หมอมู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยสีหน้าตกตะลึง “ท่านหมอมู่...” “ข้า...” ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงเด็กๆ ร้องเรียก ‘พี่ลี่หยาง’ มู่ลี่หยางที่เพิ่งกลับจากเขาถูกเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง เขาเงยหน้าขึ้นมองสบตากับชายหนุ่มผอมบางราวบัณฑิตอ่อนวัย อีกฝ่ายยิ้มบางเบา แต่แววตาไร้ความอ่อนโยน เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ มือที่จับคันธนูอยู่แกร่งขึ้นทันที “ผู้นี้เป็นสหายเก่าของข้าเอง” หมอมู่รีบพูดขึ้น “แล้วหงเซ่อล่ะ เห็นว่าไปจับปลานี่ เจ้าไปดูทีสิ เด็กๆ เล่นน้ำกันเพลินจะเกิดอันตรายหรือไม่” มู่ลี่หยางรู้สึกได้ทันทีว่าพ่อบุญธรรมต้องการสิ่งใด เขาเพียงผงกศีรษะรับคำสั่ง ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าออกไป หงเซ่อก็จูงมือหญิงสาวที่หัวเราะเสียงใสวิ่งเข้ามาในบริเวณลานกว้าง เพียงหลิวชิงได้เห็นหญิงสาวเต็มตา เขาก็ก้าวเท้าตรงมาทางไป๋เซ่อทันทีพร้อมยื่นมือไปหมายจับข้อมือของหญิงสาว ไป๋เซ่อตกใจกับการพุ่งตรงมาของชายแปลกหน้าได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ ทว่ายังไม่ทันทีหลิวชิงจะถึงตัวหญิงสาว มู่ลี่หยางก็เข้ามาขวางไว้ก่อน หลิวชิงใช้ฝ่ามือตอบโต้แต่มู่ลี่หยางก็ตั้งกระบวนท่ารับอย่างว่องไว “ไป๋เซ่อ หนีไป!” หมอมู่ตะโกนออกไปทำให้หญิงสาวได้สติรีบหมุนตัวสาวเท้าวิ่งทันที “คุณหนู!” หลิวชิงตะโกนเรียก “คุณหนูฟู่เหยียนอวี้” ได้ยินเพียงแค่นั้น สองเท้าก็ชะงักไปทันที นางหันกลับมามองด้วยแววตางุนงงและสับสน คล้ายว่า...มีคนเรียกนางเช่นนี้มาก่อน หรือว่า...นี่จะเป็นชื่อของนาง หลิวชิงออกแรงเดินลมปราณสะบัดหลังมือใส่คนที่ขวางทางเขา ทำให้ร่างของมู่ลี่หยางถึงกับเสียหลักถอยไปสองก้าว ไป๋เซ่อกรีดร้องตกใจแล้วรีบวิ่งมากางแขนยืนขวางร่างมู่ลี่ หยางเพื่อปกป้องเขา “ห้ามทำร้ายพี่ลี่หยาง!” หลิวชิงประหลาดใจกับท่าทางของฟู่เหยียนอวี้ แต่เขาเคยชินกับการรับคำสั่งจึงประสานมือรับคำสั่งทันที “หลิวชิงรับคำสั่งขอรับ” “ท่าน...รู้จักข้ารึ” แม้เสียงพูดของไป๋เซ่อจะแผ่วเบา แต่กระนั้นหลิวชิงก็ได้ยินชัด เขามองอย่างประหลาดใจแล้วย้ายสายตาไปทางหมอมู่จางหมิ่น “คุณหนูจำข้าไม่ได้รึขอรับ” ไป๋เซ่อพยักหน้าหงึกหงัก มู่ลี่หยางก้าวมาข้างหน้าแล้วเอ่ย “นางจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อของตนเอง” “เรื่องเป็นเช่นนี้เอง ข้ากับผู้อารักขาออกติดตามคุณหนูนานนับเดือนแทบหมดหนทาง จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากท่านหมอมู่” หมอมู่จางหมิ่นเค้นเสียงในลำคอ “เข้ามาคุยข้างใน” ไป๋เซ่อยังยืนนิ่งอย่างสับสน มู่ลี่หยางเอื้อมมือไปกุมมือเล็กไว้ ไออุ่นจากฝ่ามือหยาบกระด้างทำให้หญิงสาวได้สติแล้วฝืนยิ้มออกมา ทว่าสายตาของหลิวชิงกลับมีแววกังวลใจกับสถานการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาต้องพา ‘โอสถ’ ของประมุขกลับไปให้ได้.
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม