ตอนที่2. เรียกข้าไป๋เซ่อก็ได้

1290 คำ
เสียงคนสนทนาอยู่ไม่ไกลเกินที่คนที่นอนอยู่บนฟูกได้ยิน เพียงแต่หญิงสาวเลือกไม่ใส่ใจกับประโยคเหล่านั้น ทำได้ลืมตามองมุมหนึ่งของห้อง แมงมุมกำลังชักไยอย่างขยันขันแข็ง หน้าต่างบานนั้นอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะเจาะ รับแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาทำให้ห้องได้กลิ่นหอมของแสงแดด แต่นางกลับรู้สึกหงุดหงิด แม้จำอะไรไม่ได้แต่รู้ว่าตนเองไม่ชอบแสงสว่างมากเกินไป “เจ้าเป็นคนพานางมา เจ้าตัดสินใจเอาแล้วกัน” มู่จางหมิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นางเป็นสตรี” มู่ลี่หยางเอ่ยอย่างจนใจ “หงเซ่อก็เป็นสตรี” พ่อบุญธรรมหัวเราะเบาๆ มู่จางหมิ่นมองลูกชายตัวโตแล้วยื่นมือไปแตะไหล่ “เจ้าเป็นพี่ใหญ่ เรื่องดูแลน้องๆ เป็นเรื่องของเจ้า” “ขอรับ ท่านพ่อ” มู่ลี่หย่างทำได้แค่รับคำ ถึงอย่างไรเขาไม่สามารถทอดทิ้งนางในสภาพนี้ได้ “นางจะเป็นเช่นนี้อีกนานไหมขอรับ” “ความจำเสื่อม... อาจจะชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ ทางที่ดีรีบตามหาญาติพี่น้องของนางดีกว่า” มู่ลี่หยางอ้ำอึ้งไป มิใช่เขาไม่อยากตามหาญาติของนาง แต่สภาพที่เขาเจอนางน่าเวทนานักเหมือนถูกคนเอามาทิ้งเสียมากกว่า “เจ้าคิดว่านางถูกนำไปบูชาเจียงซิงบนภูเขาสินะ” “พ่อบุญธรรม...” “นอกเจ้าเจ้าแล้วจะมีใครกล้าขึ้นเขาในช่วงนี้” “ข้าแค่ไปหาสมุนไพร” เขาอับจนถ้อยคำ “ข้ารู้ เจ้าไปดูนางเถิด ส่วนตัดสินใจอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า บ้านเราไม่ร่ำรวยแต่เลี้ยงคนเพิ่มอีกปากอีกท้องก็ยังพอไหว” หมอมู่โบกมือไปมา “พ่อบุญธรรม...เอ่อ... แผลที่ข้อมือซ้ายของนาง” “มันรอยโดนของมีคมบาด ซึ่งอาจจะโดนกรีดโดยการใช้มือขวาข้างที่ถนัดกระทำหรืออาจจะถูกทำร้ายก็ได้” หมอมู่จางหมิ่นถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อยากตัดสินว่าหญิงสาวผู้นั้นทำพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนหรือว่านางอาจถูกทำร้ายมาก็เป็นได้ และนั้นอาจเป็นสาเหตุที่นางจำอะไรไม่ได้เลย เสียงขลุกขลักดังขึ้นขึ้นจากด้านในห้อง “ข้าจะไปต้มยา เจ้าไปดูนางเถิด ยังดีที่ไม่ได้เป็นใบ้ ไม่เช่นนั้นเจ้าลำบากกว่านี้แน่” ดวงตาสีนิลย้ายจากแมงมุมลงมาเพ่งมองข้อมือตัวเอง นางไม่รู้ว่าได้แผลเหล่านี้มาอย่างไร หญิงสาวรู้ว่าตัวเองนอนนานเกินไปแล้ว ตั้งแต่ได้แต่สติมาก็เอาแต่นอนนิ่งๆ ฟังเสียงรอบข้างและครุ่นคิดว่าตนเองเป็นใคร นางสรุปเอากับตนเองว่า...คงคิดอะไรไม่ออกในเร็ววันเป็นแน่ และการนอนเช่นนี้ก็ไม่ช่วยอะไรเช่นกันจึงยันกายขึ้น แต่เพียงลุกขึ้นยืนก็ไร้เรี่ยวแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น “เจ้าทำอะไร” มู่ลี่หยางขมวดคิ้วแล้วรีบสาวเท้าเข้ามาประคองให้นางเอนกายลงนอนอีกครั้ง “จะเอาอะไรก็เรียกสิ” ดวงตางดงามคู่นั้นจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ มู่ลี่หยางเห็นแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะของเขาทำให้นางหงุดหงิด เขาประคองเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามจะลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง รู้สึกโล่งใจที่นางไม่มีท่าทีตื่นกลัวเช่นเมื่อคืนวาน หญิงสาวพิจารณาชายหนุ่มอย่างเปิดเผย คนผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ผิวกายสีเข้มเหมือนผิวทองแดง ใบหน้าเปื้อนหนวดเคราบางๆ ราวกับเพิ่งโกนทิ้งไป ผมเผ้ายุ่งไปเล็กน้อย เสื้อผ้าเนื้อหยาบแต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นเหม็นที่นางไม่ชอบใจ หญิงสาวขมวดคิ้ว เหตุใดนางต้องชอบหรือไม่ชอบด้วยเล่า? “ไม่เป็นไร…ไม่ต้องรีบร้อน” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้า…ไม่ได้...เป็นอะไร…” นางรู้สึกลำหอแห้งผากจนยกมือแตะที่ลำคอ ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นไปรินน้ำมาให้นางดื่ม แต่หญิงสาวรีบยื่นมือมาคว้าถ้วยน้ำแล้วดื่มอึกๆ อึกแล้ว…อึกเล่า…มันก็ไม่ได้ลดความกระหายลง “ช้าหน่อย ประเดี๋ยวสำลัก” เขาเตือนนาง “แผลตามร่างกายก็ไม่มีอะไรมาก ท่านหมอมู่บอกว่าต้องพักผ่อนมาก อย่าคิดมาก” เขาพยายามรักษาระดับน้ำเสียงให้เป็นปกติ ทั้งที่เขาเป็นคนพูดจาเสียงดังและนิสัยหยาบกระด้าง หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แต่สายตาจับจ้องที่ลำคอของอีกฝ่ายและเผลอริมฝีปากตัวเองอย่างไม่รู้ตัว “พี่สาว!” เด็กหญิงตัวน้อยโผล่หน้าเข้า แววตาซุกซน “พ่อบุญธรรมบอกพี่สาวความจำเสื่อม” “หงเซ่อ!” เขาเผลอตวาดน้องสาวเสียงดังจนเด็กหญิงหน้าซีด เพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่ควรพูดบางสิ่งออกไป “ไม่-เป็น-ไร” หญิงสาวเสยผมยาวที่ลงมาเคลียแก้มแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นผ้าพันแผลที่ข้อมือซ้าย ร่องรอยเดียวที่เหลืออยู่บนเรือนกายของนาง “เอ่อ…ตอนที่พบพี่สาว ข้าเป็นคนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า บนตัวพี่สาวไม่มีอะไรบ่งบอกตัวตนเลย” เด็กหญิงพึมพำเบาๆ แก้เก้อ “ข้า…คงรบกวนพวกเจ้ามาก ถ้าคิดอะไรออกจะรีบไป…เอ่อ…หรือข้าควรไปก่อนคิดอะไรได้...นำพามาซึ่งความลำบาก…” หญิงสาวรู้สึกสับสนกับคำพูดของตัวเอง “ไม่เป็นไร อยู่ด้วยกันก็ได้ พ่อบุญธรรมก็ไม่ได้ว่าอะไร” น้องสาวตัวดีรีบบอก “ที่นี่มีเด็กกำพร้าอยู่กันหลายคน พ่อบุญธรรมของเราคือท่านหมอมู่จางหมิ่นที่เก่งกาจที่สุดในย่านนี้” “ท่าน-หมอ-มู่-จาง-หมิ่น” “ใช่หมอมู่จางหมิ่น” เด็กหญิงพยักหน้ารับ “เป็นพ่อบุญธรรมของพวกเรา พวกเราใช้แซ่มู่กันหมด” หญิงสาวกลอกตามองไปทางชายหนุ่มแล้วย้ายสายตามาทางเด็กหญิง มู่ลี่หย่างเข้าใจความหมายจึงอธิบายเพิ่ม “พวกเราเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านหมอมู่อุปการะ” เขาลูบท้ายท้อยอย่างเคยชิน “หากเจ้าคิดอะไรไม่ออกก็อยู่ที่นี่ไปก่อนได้” ชายหนุ่มพยายามให้กำลังใจ แต่เขาเองนึกแปลกใจในสถานการณ์อย่างนี้ทำไมหญิงสาวตรงหน้าถึง ‘สงบ’ได้อย่างประหลาด ถ้าเป็นเขาอาจจะคลุ้มคลั่งที่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง ยกเว้นอาการตื่นตกใจเมื่อคืนเท่านั้น! “ขอบคุณ” ดวงตาดุจบ่อน้ำลึกมีประกายขึ้นมาแทบสะกดคนที่จ้องมองให้ลืมหายใจ “เช่นนั้นจะเรียกพี่สาวว่าอะไรดี” น้องสาวรีบพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้าง หญิงสางพึมพำในลำคอแต่นึกไม่ออกจึงได้แต่หลุบตาลงต่ำ “ข้าชื่อหงเซ่อ ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกพี่สาวว่าไป๋เซ่อได้ไหม” “ไป๋เซ่อ?” มู่ลี่หยางยิ้มเก้อเขิน “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า ตั้งชื่อกันเรียบง่าย ทำให้เจ้าขบขันแล้ว” “สีแดงเหมาะกับเจ้า” หญิงสาวคลี่ยิ้ม ‘หงเซ่อ’คือสีแดง ‘ไป๋เซ่อ’ คือสีขาว “ข้าชอบ เรียกข้าไป๋เซ่อก็ได้” หญิงสาวพึมพำเบาๆพยายามคลี่ยิ้มจางๆ แต่กลับรู้สึกถึงแรงต่อต้านอยู่ภายใน นางก้มมองข้อมือซ้ายตรงผ้าพันแผลมีรอยซึมของเลือดที่แห้งติดอยู่ หญิงสาวรู้สึกง่วงงุนผิดปกติจนต้องกระถดตัวลงนอนอีกครั้ง สองพี่น้องก็ช่วยจัดแจ้งให้ลงนอนอย่างสบายตัว ไม่ใช่ความสบายจากฟูกนอนหรือผ้าห่มผืนบาง แต่เป็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่ทำให้รู้สึกต้องการพักผ่อนอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม