“นางเป็นถึงผู้ถือครองธาตุน้ำรึ”
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เอ่ยถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
หากหวงซีซวนรู้ว่าฮูหยินของตนเองเป็นผู้มีลมปราณต้องก่อกวนนางแน่นอน
“ในเมื่อนางอยากอยู่ข้างนอก ก็ต้องส่งเสริมถือว่าของขวัญจากข้าต้อนรับน้องสาว เจ้าจงไปจัดการสร้างฐานะใหม่ให้นางเป็นไป๋เจียเจียอย่างสมบูรณ์”
ในเมื่อหวงซีซวนไม่อยากหย่าก็ไม่ต้องหย่า
หวงซีซวนผู้นี้ นิสัยจองหองอวดเก่งเป็นพวกไร้มโนธรรม
ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์แบบนี้ควรได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง
หลังได้รับคำสั่งผู้นำสูงสุดของดินแดน เจินไป๋เจียในระบบทะเบียนก็ตายแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครสนใจ
ในขณะเดียวกัน จิงจวินก็กำลังนั่งจิบชาอยู่กับหวงซีซวน
“ท่านนัดข้ามาเพื่อคุยเรื่องในครอบครัวของข้าอย่างนั้นรึ”
หวงซีซวนพูดด้วยน้ำเสียงยียวน
“ถือว่าข้าขอร้องท่าน ปล่อยนางไปเถอะ”
แม้จะดูเสียศักดิ์ศรีอดีตฮ่องเต้ผู้ที่เคยเปี่ยมบารมีและมีอำนาจ เพื่อน้องสาวถึงกลับเอ่ยปากขอร้อง
“ฮ่า ฮ่า ความสัมพันธ์ของข้ากับท่าน ตั้งแต่ต้นก็เป็นเพียงขุนนางกับกษัตริย์ เป็นท่านที่ยัดเยียดนางมาให้ข้าไม่ถามไถ่ข้าสักคำ ข้าเองก็ยังตบแต่งอย่างยินดี ทว่าตอนนี้กลับอยากให้ข้าหย่าก็จะมาสั่งให้ข้าหย่า สวรรค์ช่างเมตตาข้านักในที่สุดข้าก็ได้เอาคืนพวกท่าน”
คำพูดของหวงซีซวนไม่มีไมตรีน้ำเสียงเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
“ข้าทำไม่ถูกต้องจริง ๆ" จิงจวินเอ่ยยอมรับ
“แต่ข้าก็ต้องขอบคุณท่านนะ เพราะนางงดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะตอนที่โดนข้ากดอยู่ใต้ร่างยิ่งตระการตา ฮ่า ฮ่า"
ฉับพลันสีหน้าของจิงจวินก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม รอบกายของหวงซีซวนเกิดเปลวเพลิงขึ้นทันที ทว่าเปลวไฟนั้นก็ไม่ทำให้เขารู้สึกร้อนแต่อย่างไร
“ท่านคงลืมไปแล้วว่าข้าแข็งแกร่งกว่าท่านมากนัก อย่ามาขอร้อง หากแกร่งและเก่งกว่าก็มาจัดการข้าได้เลย”
หวงซีซวนก็หายไปทันที ไม่ใส่ใจจิงจวินที่เดือดดาลจนกระอักเลือดสีหน้าของเขาไม่เหลือความละมุน เป็นเขาที่โง่เองไม่คาดคิดว่าคนผู้นี้จะชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้
เจินไป๋เจียไม่รับรู้ว่าตอนนี้มีผู้คนมากมายกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของนาง นางกำลังเดินตามอันหวงด้วยท่าทางสงบเสงียมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตรงหน้าเป็นหอโอสถที่สูงใหญ่ปลายยอดเสียดฟ้ามองไม่เห็น ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเดินเข้ามาข้างในได้
เมื่อมาถึงประตู ท่านลุงวางมือลงบนแท่นหินและมีรังสีสีขาวผุดขึ้นประตูหอก็เปิดออก
ห้องโถงขนาดใหญ่ตระการตา คล้ายสนามบินขนาดใหญ่
ทว่าสิ่งที่ประดับอยู่รอบ ๆ กลับเป็นแปลงสมุนไพรแบบออแกนิค
ตรงกลางมีลักษณะคล้ายลิฟท์แก้ว พอทุกคนก้าวเข้ามาเรียบร้อย ลิฟท์ก็พุ่งทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว นางคาดว่าลิฟท์จะไปหยุดที่ชั้นสูงสุดทว่ากลับหยุดเพียงชั้นเกือบกึ่งกลางของหอ
“นี้เป็นห้องปรุงโอสถ ท่านปรมาจารย์โอสถอยู่ที่นี่”
ลุงอันหวงอธิบายให้นางฟังเล็กน้อย แล้วก้าวเดินไปยังกลุ่มชายชรา สามสี่คน ที่กำลังจ้องมองหม้อโอสถอยู่ เมื่อไม่ถึงก็ไม่เอ่ยวาจา เพียงยืนนิ่งโค้งตัวต่ำ
สักพักชายชราที่มีเกศาและหนวดเคราขาวใบหน้าอบอุ่นหันชำเลืองมองเอ่ยถามขึ้น
“เหลนคนนี้รึ” เสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจเอ่ยถามพร้อมปรายสายตาสำรวจกดดันเจินไป๋เจียอย่างพินิจ ทำให้หัวใจของนางสั่นระรัวเกิดอาการประหม่าเล็กน้อย
“ในเมื่อมาแล้ว เจ้าลองใช้ลมปราณปรุงยาหม้อนี้ดู”
ชายชราที่อยู่ด้วยกันหลายเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
เจินไป๋เจียจ้องมองไปยังหม้อต้มโอสถนางเอามือไปแตะที่ขอบหม้อแล้วเพ่งพลังลงไป น้ำเริ่มไหลวนปราณอ่อน ๆ เริ่มก่อตัวแล้วกลั่นออกมาเป็นหยดโอสถลงในจอกยา
“ฮืมม ดียิ่ง”
คำชมจากปรมาจารย์โอสถไม่ใช่ว่าใครก็สามารถได้รับ ตั้งแต่มีอายุมาเกือบ 100 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ลุงอันหวนได้ยินท่านปู่บอกว่า ดียิ่ง
“ท่านพ่อ ลูกจะรีบนำหยดโอสถไปทดสอบ”
นั่นไปท่านตาอันลู่หรงของเจินไป๋เจีย นางจำท่านตาได้ถึงแม้จะเจอกันแค่ครั้งเดียวตอนงานแต่งของนางเท่านั้น
“หลานเจินไป๋เจีย คารวะท่านปรมาจารย์โอสถและอาจารย์โอสถทุกท่าน”
ทุกคนที่อยู่ในห้องปรุงโอสถล้วนเป็นคนในตระกูลอัน ท่านทวดที่มีตำแหน่งสูงสุดมีพลังลมปราณธาตุดินใช้ในการปลูกพืชสมุนไพร ส่วนผู้อาวุโสท่านอื่นล้วนมีลมปราณธาตุไฟใช้ในการควบคุมไฟ
ในดินแดนเทพประกายมีผู้ถือครองธาตุน้ำเพียง 5 คนเท่านั้น ทว่าพวกเขาล้วนไม่ใช่คนตระกูลอัน
“ข้ารู้เรื่องของเจ้าหมดแล้ว ที่ผ่านมาข้าจะไม่พูดถึงต่อไปนี้ให้เจ้ามาฝึกฝนเป็นผู้ปรุงโอสถที่นี่"
“เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์”
เจินไป๋เจียรู้สึกตื่นเต้นยินดี แววตาสดใสเปล่งประกาย พลันนึกถึงบางอย่างจึงเอ่ยขึ้น
“หลานยังมีเรื่องต้องรายงานอีกเรื่องเจ้าค่ะ”
อันหวนกำลังจะเอ่ยห้าม เรื่องวุ่นวายอื่น ๆ ให้เขาจัดการเอง แต่เจินไปเจียไม่สนใจแววตาทักท้วงนางพูดขึ้นทันที เมื่อได้สิ่งที่เจินไป๋เจียเอ่ยก็ทำให้อันหวนเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง ่ังลมปราณธาตุดินใช้ในการปลูกพืช่งหนึ่ง จียก็โด่งดังทันที
สดชื่นขึ้น
“ความจริงแล้วหลานถือครองธาตุดินและธาตุน้ำเจ้าค่ะ”
เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อความรุ่งโรจน์ของวงศ์ตระกูลเมื่อนางเชื่อว่านางจะได้รับการปกป้องอย่างสูงสุด
แววตาที่นิ่งสงบมาตลอดของปรมาจารย์โอสถก็มีระลอกสั่นไหว เขาเดินเข้ามาเอื้อมมากุมมือของหลาน ร่างกายยังสั่นเทาให้เห็นชัดเจน
ท่าทีผิดแปลกเช่นนี้ทำให้หลายคนในนั้นตกตะลึงถึงแม้จะตกใจเรื่องที่เจินไป๋เจียบอกแต่ท่าทางของปรมาจารย์กลับสะพรึงยิ่งกว่า
“หลานรัก เจ้าพูดจริงรึ”
หลานรัก หลานรัก
ไม่ใช่แค่ท่าทีที่ประหลาดคำพูดก็ประหลาดด้วย
“จะ จะ เจ้าค่ะ …หากท่านไม่เชื่อข้าพิสูจน์ให้ท่านดูด้วยก็ได้”
แววตาของปรมาจารย์โอสถ คล้ายคนไร้สติอยู่ชั่ววูบเขาก็ยืดตัวขึ้น
“ไม่น่าเชื่อว่าคำทำนายนั้นจะเป็นจริง”
ใน 1000 ปีจะมีเด็กสาวที่ถือครองธาตุน้ำและธาตุดิน 1 คน และตอนนี้ก็เหลือเพียง 300 ปี
เด็กสาวผู้นั้นจะนำพาตระกูลให้ยิ่งใหญ่ เป็นถึงเซียนโอสถ
เซียนที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้
“ท่านพ่อ คำทำนายที่ว่า…ระ…หรือว่านางจะเป็นเซียนโอสถในตำนาน”
เสียงอันหรง เอ่ยขึ้นยิ่งทำให้ทุกคนสติกระเจิง แขนขาอ่อนแรง
เจินไป๋เจียจับใจความได้เพียงว่า นางคือคนในตำนานและในตำนานนางจะกลายเป็นถึงเซียนโอสถ
“ต่อไป เจ้าจะต้องได้รับการคุ้มครองสูงสุด ส่งองค์รักษ์เงาประจำตระกูลดูแล”
อันลู่หรงรับคำทันที
“ก่อนที่จะเจ้าจะสามารถบรรลุขั้นพลังลมปราณได้ เรื่องนี้ข้าขอให้เก็บไว้เสียก่อน เพื่อไม่ให้เจ้ากลายเป็นเป้าโดนโจมตี เราไม่สามารถรับมือจาก 4 ตระกูลใหญ่ได้”
“เจ้าค่ะ หลานรับทราบ”
หลังจากคุยรายละเอียดการฝึกตน เจินไป๋เจียก็เดินทางกลับจวนแม่ทัพด้วยความรู้สึกสบายใจ ใบหน้าระรื่นยินดี ถึงแม้นางไม่ใช่คนในตำนานแต่นางก็จะเป็นให้ได้
เมื่อเข้ามาถึงเรือนก็เจอกับแม่นมมู่
“แม่นมข้าชนะการแข่งขัน ตอนนี้ข้ากลายเป็นผู้ปรุงโอสถแล้วนะเจ้าค่ะ”
แม้กระทั่งแม่นมมู่เจินไป๋เจียก็ไม่ได้เล่ารายละเอียด
“ฮูหยินของบ่าว บ่าวเชื่ออยู่แล้วว่าท่านต้องทำได้.. เมื่อตอนบ่าย… มีคนส่งสารมาให้ท่านเจ้าค่ะ”
แม่นมมู่ส่งแผ่นบางคล้ายซองใส่เอกสาร ให้เจินไป๋เจีย เมื่อแผ่นนั้นสแกนใบหน้าผู้รับก็เปิดออกหายไปเหลือเพียงสิ่งของที่อยู่ข้างใน
“เอ้!! ตราประจำตัว”
แผ่นบัตรประจำตัวสามารถคลี่ออกอ่าน ในนั้นเป็นรายละเอียดประวัติส่วนตัว กดอ่านข้อมูลได้
ไป๋เจียเจีย อายุ 16 ปี
เกิดใน…..ข้อมูลมากมายเรียบเรียงอย่างไม่มีข้อตำหนิ
“รวดเร็วดีจังเลย สมกับเป็นตระกูลใหญ่ ต่อไปนี้ข้าชื่อไป๋เจียเจียเป็นบุตรบุญธรรมของท่านพ่ออันหวน"
นางหันไปบอกเหล่าบ่าวรับใช้คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือผู้อาวุโสตระกูลอันจัดการให้ แม่นมมู่หัวเราะยิ้มแย้มดีใจที่สุดท้ายตระกูลอันก็ไม่ทอดทิ้งองค์หญิงของนาง
“คุณหนูแล้ว …กับจวนแม่ทัพ ท่านจะจัดการอย่างไร” ถึงแม้คนในตระกูลหวนจะไม่มาสนใจทั้งที่คุณหนูนางไม่อยู่หลายวัน ทว่าหากไม่จัดการเรียบร้อยนางก็กลัวจะมีปัญหาตามมาภายหลัง
เหล่าผู้อาวุโสล้วนเห็นพ้องกันว่า นางควรจะอยู่ที่นี่ไปก่อน ที่ที่อันตรายที่สุดย่อมปลอดภัย ตอนนี้หากข่าวเรื่องนางหลุดออกไปอย่างน้อยพวกเขาก็คงไม่ตามหาที่จวนแม่ทัพหวง
“ข้าจะยังคงเป็นเจินไป๋เจียสักระยะ”
หรือจนกว่าจะสำเร็วพลังลมปราณขั้นปรมาจารย์
โชคดีที่เมื่อก่อนนางเป็นองค์หญิงมีเพียงคนในเครือญาติและคนในราชวงศ์ แม้กระทั่งเหล่าขุนนางก็ไม่เคยเจอ และที่ไม่ต้องกังวลอะไรเพราะท่านปรมาจารย์ได้ให้ยาแปลงโฉมนางมาด้วย