‘อื้อ ๆ อี้อาอี้ อื้อ ๆ’
เด็กชายเหงื่อตกเป็นเม็ด ๆ ตรงหน้าผากด้วยความกลัวโดนตี คุณนายรุ่งฤดีแม่ของเขาน่ะ ร้ายใช่ย่อยซะที่ไหน แถมชอบตีเขาด้วย! แม่บอกว่าเขาดื้อ เขาซน เขาชอบทำอะไรห่าม ๆ ต่างจากพี่ชายที่เป็นคุณชายเพียบพร้อม เรียนเก่ง ทำอะไรก็เก่ง ดีไปหม๊ดดด!
‘เดี๋ยวพี่เก็บมาให้ จะเลิกร้องได้ยัง’
ดวงตาเอ่อนองด้วยหยดน้ำตา แถมยังบวมเป่งแดงระเรื่อลืมขึ้นมองเขา เด็กหญิงยังสะอื้นซิก ๆ ๆ แต่ก็พยักหน้าลง ขุนพลเลยเอามือออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มสั่นเทาของหล่อน ก่อนจะถกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวขึ้น แล้วหยิบกิ่งไม้แถวนั้นปีนขึ้นไปบนโขดหินที่เอาไว้กั้นไม่ให้น้ำตกไหลออกมา
เด็กชายนั่งยอง ๆ พยายามใช้กิ่งไม้เล็ก ๆ เกี่ยวเอวตุ๊กตาให้ลอยกลับมาตรงฝั่ง โดยมีเด็กหญิงยืนร้องไห้กระซิก ๆ เสียงเบา ๆ เอาใจช่วยอยู่ทางด้านหลัง แล้วในที่สุด ตุ๊กตาบาร์บี้ก็ค่อย ๆ ลอยกลับมาตามที่เขาพยายาม
ขุนพลยิ้มกว้าง รีบหันไปบอกลูกไหมด้วยความใจร้อน
‘ดูสิ ๆ จะได้แล้ว’
ระหว่างที่เขาหันไปร้องบอกนั่นแหละ มือก็ดันกระตุกไปทีนึง แทนที่ตุ๊กตาจะลอยกลับเข้าฝั่ง ไม้อันนั้นของเขาก็ดันตัวตุ๊กตาไปกลางแอ่งน้ำเฉยเลย
ขุนพลหันมามองตุ๊กตาแล้วอ้าปากค้าง
ส่วนลูกไหมร้องหวีดขึ้นมาทันทีสุดเสียงด้วยความเสียใจ
‘แง้!! พี่บาร์บี้!’
‘ตาพล! แกแกล้งน้องทำไม! มานี่เลยนะ!’
ป้าบ! ป้าบ!
‘โอ๊ย แม่! เจ็บ! เจ็บ!’
ขุนพลเด้งตัวหนีฝ่ามือมารของแม่ที่ตบก้นเขาดังป้าบ ๆ เพราะคิดว่าเขาตั้งใจโยนตุ๊กตาบาร์บี้ของนังเด็กนี่ลงน้ำ! แต่คุณนายรุ่งฤดีก็จับต้นแขนเขาไว้จนหนีไม่ได้ ได้แต่เด้งตัวไปรอบ ๆ ตัวแม่ พร้อมกับเหลือบมองลูกไหมไปด้วย เด็กน้อยเอาแต่ร้องไห้จ้า แม่งเอ๊ย!
ไม่ช่วยแก้ตัวให้กันเลย ยัยเด็กนิสัยไม่ดี!
‘หนูเปล่านะแม่ หนูจะช่วยเอาขึ้นมาให้’
ขุนพลพยายามอธิบาย แต่มารดาก็ไม่เชื่อ คนแบบเขาที่วัน ๆ เอาแต่แกล้งคนใช้ วิ่งไล่คนสวน บางวันก็เก็บคางคกขึ้นไปเลี้ยงบนห้องนอน บางวันก็จับหางงูมาชูให้หล่อนดู แล้วถามว่าตัวอะไร
เด็กแบบลูกของหล่อนน่ะเหรอจะช่วยน้อง อย่างมากก็ทำของน้องตกน้ำ แล้วรีบจะเอาขึ้นมาเพราะกลัวโดนหล่อนตีล่ะสิ เด็กดื้อนี่!
ป้าบ!
ตีไปอีกครั้งสุดท้ายแรง ๆ จนมือเจ็บ รุ่งฤดีก็ปล่อยให้ขุนพลเป็นอิสระ ดูซิ! โดนตีขนาดนี้ ขุนพลยังไม่ร้องไห้สักแอะ แต่ยืนแอ่นเอามือทั้งสองกุมก้น แล้วมองหล่อนด้วยสายตาตัดพ้อ
‘แม่ใจร้าย!’
ตะโกนแล้วก็วิ่งหนีไป ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่เก็บตุ๊กตามาคืนให้ลูกไหม แล้วโอ๋เด็กหญิงกันต่อ ส่วนเขานอกจากแม่จะไม่ง้อ เขายังต้องหายโกรธเองด้วย ดูสิ! ผู้หญิงแบบนี้น่ะเหรอที่แม่จะให้เขาเอาทำเมีย
ให้ตายก็เอาไม่ลง!
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย วันนี้วันเกิดน้องนะ น้องอายุสิบแปดแล้ว โตเป็นสาวแล้ว”
แม่หันมาพูดกับเขาจากทางเบาะด้านหน้าของรถตู้คันใหญ่ วันนี้ขุนเขาไม่สบาย ไม่มาด้วย แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พอเขาแกล้งไอค่อกแค่ก บอกแม่ว่าไม่สบายเหมือนกัน ติดหวัดจากขุนเขา ไปงานวันเกิดยัยลูกไหมไม่ได้หรอก แม่ดันไม่เชื่อเขา ไปเอาที่วัดไข้มาวัด
ความแตก โดนจับแต่งตัวแล้วโยนขึ้นรถมาเนี่ย โธ่โว้ย! มีแม่ฉลาด ลูกแบบเขาก็พลาดเสมอ
“อายุก็แค่ตัวเลขแหละแม่ ยัยเด็กนั่นป่านนี้ก็คงเอาแต่เดินกอดบาร์บี้น้ำมูกน้ำตากรังเหมือนตอนเป็นเด็กแหละ ชุดก็คงสวมชุดกระโปรงสีชมพูพอง ๆ เหมือนชุดตุ๊กตาเงี้ย"
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือมารตบแขนเขาเสียงดังไปทั่วรถ
“ดูพูดเข้า ก็เจอน้องอยู่ทุกปี ห่างไปแค่สองปีหลังนี่เอง เห็นไม่ใช่เหรอว่าน้องสวยวันสวยคืน”
ขุนพลอยากจะแบะปากเป็นรูปสระอิ แต่เขาก็ไม่ได้ทำ เพราะถ้าทำ รุ่งฤดีต้องตบปากเขาแหง ก็จริงของแม่ เขาเจอยัยนั่นทุกปีแหละ งานปีใหม่บ้าง สงกรานต์บ้าง คริสต์มาสบ้าง บ้านนั้นต้องมาบ้านเขา ไม่งั้นบ้านเขาก็ไปบ้านนั้น สนิทสนมกันยิ่งกว่าญาติ โชคดีที่เพื่อนสนิทแม่อีกคนอยู่ไกล เชียงใหม่นู่น ไม่อย่างนั้นอาจมีอีกบ้านที่เขาต้องไปหาเรื่อย ๆ ตามคำสั่งของแม่
น่าเบื่อเป็นบ้า
ดีนะที่สองปีที่ผ่านมาเขาไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศ เลยไม่ต้องปาร์ตี้คนแก่กับบ้านนั้นอีก ไม่ได้เจอยัยนั่นมาสองปีแล้วด้วย
ลูกไหมน่ะ เป็นเด็กหน้าตาสวยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่สเปกเขา ขุนพลชอบแบบเซ็กซี่ ๆ แต่งตัวเปิดนู่น โชว์นี่ เห็นแล้วเจริญหูเจริญตากว่าผู้หญิงที่ดูแล้วก็มีทรวดมีทรงดีนะ แต่ดันปกปิดมิดชิดอยู่ในชุดกระโปรงทรงสุ่ม ที่ส่วนมากก็มีแต่สีชมพู! น่าเบื่อ!
“สวยคร้าบ สวย”
ขุนพลเอนตัวพิงเบาะรถ มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสีหน้างั้น ๆ ทำให้รุ่งฤดีเลิกวุ่นวายกับลูกชาย ปล่อยให้เขานั่งเซ็งไปจนถึงบ้านของลูกไหม
บ้านหลังนี้อยู่ติดถนนใหญ่แปดเลนของพื้นที่ที่ขึ้นชื่อว่าแพงสุด ๆ ของกรุงเทพฯ วันเกิดอายุสิบแปดปีของลูกสาวคนเดียวก็ประดับประดาบ้านด้วยสไตล์ที่ลูกสาวตัวเองชอบ ลูกโป่งเอย ดอกไม้สีชมพูเอย แถมพอได้เจอกับหล่อน ลูกไหมก็อยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้อย่างที่ขุนพลพูดไว้ในรถเป๊ะ
ขุนพลเห็นลูกไหมแล้วก็หันไปยิ้มกวนตีนแม่ ก่อนจะเปิดโทรศัพท์เสิร์จหาภาพตุ๊กตาบาร์บี้สวมชุดสีชมพูส่งให้แม่ดูเป็นเชิงว่าเนี่ย ๆ ดูสิ ผิดจากปากเขาที่ไหน
แม่ส่งค้อนให้วงใหญ่ ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้เขาเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วพาเขาเดินไปหาน้ามะลิด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อ้าว มาแล้วเหรอรุ่ง ต๊าย! โตเป็นหนุ่มแล้วนะพล นี่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีอะไรแล้วล่ะลูก”
“ปีสองครับ”
ขุนพลตอบพร้อมกับยกมือไหว้
“สวัสดีครับน้ามะลิ น้ามนัส”
“จ้า ๆ จำน้องได้ไหม ไม่ได้เจอกันสองปี น้องโตเป็นสาวแล้วนะ”
มะลิดึงแขนลูกสาวให้ขยับมายืนใกล้ ๆ พอเห็นหล่อนใกล้ขึ้น ไม่ใช่จากที่ไกล ๆ จนเห็นแต่สีกระโปรงชมพู ๆ ขุนพลก็ต้องยอมรับว่าหล่อนโตขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อนจริง ๆ อื้อหือ... ไม่ใช่แค่ตัวนะ ทั้งนม ทั้งก้น เออ เขายอมรับก็ได้