แต่จะไม่สนใจเขาเลยก็ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นลูกค้าคนหนึ่งของร้าน อีกอย่างผู้จัดการก็อยู่ในห้องทำงานด้วย เกิดมาเห็นว่าเธอไม่ต้อนรับลูกค้าก็จะแย่เอา หญิงสาวเดินทำหน้าซังกะตายไปหาลูกค้าตรงโซนโต๊ะอาหาร
“สนใจโต๊ะกินข้าวเหรอคะ” น้ำเสียงห้วนๆ ไม่ได้อ่อนหวานเหมือนตอนต้อนรับลูกค้าสองคนก่อนหน้า ศิลาดลหันมายิ้มหวานใส่คนพูดแบบหน้าตาย
“ก็สนหมดแหละครับ” ‘ทั้งโต๊ะทั้งคน’ เขาคิดแล้วอมยิ้มแบบยียวนกวนประสาท
“ถ้าสนใจก็ดูไปก่อนนะคะ มีเยอะเลยค่ะ ไม้สักแท้หรือหินอ่อนหรือจะกระเบื้องธรรมดาราคาไม่กี่พันก็ได้ค่ะ” เป็นการต้อนรับลูกค้าแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก เพราะเธอรู้สึกได้ว่าเขามาแบบมีเลศนัย
“นี่คุณทำไมพูดกับผมห้วนจัง ทีกับลูกค้าสองคนเมื่อกี้เสียงหวานมาเชียว ผมคอมเพลนได้นะครับ ผมก็ลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน” ศิลาดลได้ทีก็ทำท่าขึงขังใส่ พลางแสร้งสอดสายตามองหาคนที่อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าไปด้วย
“งั้นก็เชิญลูกค้าเลือกดูสินค้าตามสบายเลยนะคะ ถ้าได้แล้วก็ค่อยมาบอกก็แล้วกัน”
“แล้วกัน คุณไม่เห็นแนะนำเลยว่ามีโปรโมชั่นหรือส่วนลดอะไรยังไง คุณอย่ามักง่ายสิ”
‘โอ๊ย! เกลียด’ พนักงานขายคนงามพยายามเก็บความคิดนี้เอาไว้ข้างในสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเดินไปยังโต๊ะอาหารที่แพงที่สุดในร้าน
“ตัวนี้ค่ะ 49,999 บาท ไม้สักทั้งชุด โต๊ะหมุนได้ 360 องศา มีเก้าอี้ 8 ตัว เก้าอี้ทุกตัวแกะสลักลวดลายสวยงาม นี่ราคาลดแล้วนะคะปกติเราขาย 69,999 บาท”
“โม้ป่ะคุณอะไรจะลดทีสองหมื่น”
“โปรโมชั่นไงคะ ที่คุณอยากได้สนใจรับไว้สักโต๊ะไหมคะ”
“เอ่อ พอดีที่บ้านผมมีโต๊ะกินข้าวอยู่แล้วน่ะครับ ผมไม่สนผมสนคนขายมากกว่าครับ”
“นี่คุณ จะซื้อหรือไม่ซื้อ ถ้าไม่ซื้อก็ออกจากร้านนี้ไปเลย”
“คุณไล่ลูกค้าแบบนี้ไม่ได้นะ ผมฟ้องสคบ.ได้นะ”
“จะฟ้องสปช.ก็ไปเลย เอ๊ะ ยัยมุ่ยมานี่หน่อย” บุญสิตาเห็นตัวช่วยเดินเข้าร้านมาไวๆ ก็รีบตะโกนเรียก
“อ้าว คุณนั่นเอง”
“รู้จักกันเหรอมุ่ย งั้นดีเลยคุณลูกค้าคนนี้เขาต้องการคนแนะนำสินค้าเพิ่มเติม พี่ปวดหัวตัวร้อนคล้ายจะเป็นไข้ มุ่ยช่วยพาลูกค้าดูของในร้านต่อหน่อยนะ พี่ไปละ” หญิงสาวคว้าแก้วกาแฟจากมือรุ่นน้องในร้าน แล้วเดินหลบเข้าไปในหลังร้านเร็วๆ
“เดี๋ยวสิคุณ ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”
“คุยกับมุ่ยก็ได้ค่ะคุณ สนใจตัวไหนคะมุ่ยพร้อมบริการเต็มที่ค่ะ” มารียายืดอกเสนอตัวช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มใจ ศิลาดลหันมายิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ ผมดูไว้เฉยๆ เดี๋ยววันหลังค่อยมาดูใหม่อีกที”
“ดีเลยค่ะ อาทิตย์หน้าของเข้าร้านใหม่อย่าลืมแวะเข้ามาดูอีกนะคะ”
“ยินดีเลยครับ” เขายิ้มรับอย่างยินดี โบกมือให้อีกคนก่อนจะเดินออกจากร้านไป
ระหว่างเลือกซื้อของใช้ให้มารดา ในหัวก็มัวแต่คิดไปถึงผู้หญิงในร้านเฟอร์นิเจอร์ มัวแต่สนุกที่ได้ต่อปากต่อคำกันจนลืมที่จะถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนาม แต่เมื่อรู้สถานที่ทำงานแล้วทุกอย่างก็คงไม่ยากเกินความสามารถของเขา อย่าว่าแต่ชื่อเลยเบอร์โทรศัพท์เขาก็ต้องได้
ขณะที่หญิงสาวที่อยู่ในร้านกลับรู้สึกกลัวต่อภัยคุกคามแบบลูกค้าคนนั้น บุญสิตาไม่ชอบให้ใครตามตื๊อหรือรุกกล้ำความเป็นส่วนตัวถึงเพียงนี้ เพราะสถานะของเธอนั้นไม่อำนวยสำหรับเรื่องเหล่านี้
ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วแต่ทำไมเธอยังเห็นเขาเดินผ่านหน้าร้านไปมาหลายๆ รอบ แวะเข้าร้านโน้นออกร้านนี้อยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งจะได้เวลาเลิกงานก็ยังเห็นเขานั่งกินกาแฟตรงร้านฝั่งตรงข้ามอยู่เลย บุญสิตาเริ่มกลัวขึ้นมา เธอตัวคนเดียวขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านตอนมืดๆ ค่ำๆ ด้วย เกิดเขาตามมาฉุดกระชากระหว่างทางจะทำอย่างไร รีบกดหมายเลขโทรศัพท์หาคนช่วยในทันที
“โอ๋ว่างไหมตอนนี้”
“ไม่ว่างซ่อมรถอยู่ แต่ถ้าบุญอยากเจอโอ๋ว่างเสมอ”
“นี่บุญซีเรียสนะโอ๋ บุญอยากให้โอ๋มารับบุญไปส่งบ้านหน่อย มีพวกโรคจิตแอบตามบุญอยู่”
“จริงดิ! ได้เสียเลยงานนี้”
“อืม รีบๆ มานะบุญกลัว”
“โอเคๆ เดี๋ยวโอ๋จัดให้” บุญสิตารู้สึกแปลกๆ กับคำว่าจัดให้ของเขา แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าขอให้เขามาพาเธอกลับบ้านในค่ำนี้อย่างปลอดภัยก็เป็นพอ
และหญิงสาวก็เข้าใจในเวลาต่อมาว่ามันหมายถึงอะไร เพราะภากรไม่ได้มาแค่คนเดียว กลับพกลูกน้องในอู่ซ่อมรถมาด้วยสองคน
“คนไหนบุญไอ้โรคจิต” คำพูดแรกที่ภากรถามเธอ
“เอ่อ” บุญสิตายืนอ้ำอึ้งข้างรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
“บุญไม่ต้องกลัวโอ๋อยู่นี่แล้ว เดี๋ยวจัดการให้” ภากรแตะไหล่เพื่อนเบาๆ พร้อมกับสอดส่องสายตาหาตัวต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวออกอาการหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้
“ฟอร์ดสี่ประตูสีดำตรงโน้น” หญิงสาวจำต้องบอกเขาตามตรง เพราะอีกคนนั้นเล่นนั่งอยู่บนรถไม่ยอมขับออกไปไหนสักที เธอเลยไม่กล้าขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านเหมือนกัน
“เห็นแล้วได้เจอดีแน่”
“โอ๋ บุญว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย เขายังไม่ได้ทำอะไรบุญนะ โอ๋แค่ไปส่งบุญที่บ้านก็พอมั้ง เขาคงไม่กล้าตามไปแล้วล่ะ”
“ไม่ได้หรอกบุญ เกิดวันหลังมันมาอีกโอ๋ไม่อยู่จะแย่เอา ต้องจัดให้หนักเอาให้หลาบจำ”
“แต่บุญว่า”
“บุญขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านไปเลย ทางนี้โอ๋จัดการเอง ขืนบุญอยู่ด้วยเดี๋ยวจะเดือดร้อนไปถึงเรื่องงาน” ภากรโบกมือไล่หญิงสาวให้กลับบ้านก่อนด้วยความเป็นห่วง
“อืม แบบนั้นก็ได้” บุญสิตารีบทำตามเพื่อนสนิทบอกในทันที เพราะขืนไม่มีงานทำตัวเธอกับยายศรีจันทร์จะแย่เอา รีบเสียบกุญแจรถแล้วบิดคันเร่งกลับบ้านในทันที
ศิลาดลมองเห็นความไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ผู้ชายสามคนนั้นเดินเข้าไปคุยกับคนที่ตนเฝ้าตามอยู่ ก่อนจะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทั้งหมดกลับรู้จักกันเป็นอย่างดี เขารีบเลี้ยวรถออกจากลานจอดแล้วขับตรงกลับบ้านไป
“พี่โอ๋ไม่เล่นมันเลยละ” หนึ่งในลูกน้องของภากรถามขึ้นเมื่อเห็นลูกพี่ยืนมองรถของไอ้โรคจิตขับผ่านไปช้าๆ
“คนเยอะว่ะไปดักข้างนอกดีกว่า” จากนั้นทั้งหมดก็ขับรถตามกระบะฟอร์ดสี่ประตูออกจากห้างไป
ศิลาดลเริ่มรู้สึกตัวว่าถูกตามเพราะรถกระบะสีขาวคันด้านหลังไม่ยอมแซงเขาไปสักที ทั้งที่เขาเจตนาหลีกทางให้แล้วแท้ๆ ครั้นเพ่งมองอีกรอบถึงรู้ว่าเป็นคันเดียวกับที่ขับเข้ามาจอด แล้วลงไปคุยกับพนักงานร้านขายเฟอร์นิเจอร์คนนั้น
“เฮ้ย!” เผลอนิดเดียวก็ถูกกระบะสีขาวตัดหน้าอย่างกะทันหัน ชายหนุ่มสติไวพอที่จะเหยียบเบรกได้ทัน และคนในรถคันนั้นก็กรูกันเข้ามาหาเขา
“ลงมา!” คนลืมล็อกประตูนึกโกรธตัวเอง เพราะทำให้เขาถูกกระชากลงจากเบาะนั่งได้อย่างง่ายดาย ผู้ชายที่ยืนคุยกับสาวสวยคนนั้นตรงลานจอดรถ ก็มายืนจ้องหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง
“น่าเสียดายนะมึง หล่อแต่ดันโรคจิต!”
“คุณพูดอะไร”
“ก็พูดกับไอ้โรคจิตที่แอบตามเมียกูอยู่นี่ไง”
“เมีย!”
“เออ ผู้หญิงที่มึงตามในห้างนั่นน่ะเมียกู”
‘น่าน มีผัวแล้วก็ไม่บอก ซวยไหมล่ะไอ้ศิลา’
“ใครไปตามเมียคุณไม่ทราบ ผมก็แค่เข้าไปดูเฟอร์นิเจอร์ของผม” นาทีเอาตัวรอดของศิลาดล เพราะดูไปแล้วสามรุมหนึ่งอย่างไรเสียเขาก็เจ็บตัวแน่ๆ
“มึงไม่ต้องมาตอแหล เมียกูบอกหมดทุกอย่างแล้วว่ามึงตามตั้งแต่หนก่อน แล้วยังมาตามถึงที่ทำงานในวันนี้อีก พวกเรา! สั่งสอนมันหน่อย” ภากรหันไปบอกลูกน้องทั้งสองคน
“อย่านะ ผมหลานกำนันนะ” โอ๊ย ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาพูดแบบนี้เลยจริงๆ
“กำนันไหนกูก็ไม่สนทั้งนั้น ถ้ามึงยังไม่เลิกยุ่งกับเมียกูอีกมึงตายแน่” ทั้งสามคนล้อมวงศิลาดลเข้ามา
ผัวะ! ศิลาดลเผลอเลยหลบไม่ทัน จากนั้นก็เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ชายหนุ่มต้องงัดแม่ไม้มวยไทยที่เคยร่ำเรียนในอดีตเข้าสู้ แต่มีหรือหนึ่งจะสู้สามได้ ถูกชกถูกต่อยจนลงไปนอนตัวงออยู่กับพื้น
“มึงจำเอาไว้นะนี่แค่สั่งสอนแบบเบาะๆ ถ้าขืนมึงยังไปวอแวกับเมียกูอีก คราวนี้มึงเจอลูกปืนแน่ ไป! พวกเรากลับ” ภากรไม่ใจร้ายพอจะทำให้ต้องพิกลพิการไป เขาเลือกที่จะออมมือให้คนตรงหน้าแล้วพากันกลับบ้านไป
นี่เป็นวันที่ศิลาดลจะต้องจดจำไปจนตาย เขาไม่เคยต้องรู้สึกเสียเหลี่ยมมากขนาดนี้มาก่อน ยกมือขึ้นเช็ดเลือดตรงมุมปากออกแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดีที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่างกายจึงยังยืนหยัดอยู่ได้
‘บ้าเอ๊ย!’
เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เนื้อตัวก็คงจะเขียวช้ำไม่ต่างกัน ที่สำคัญคือหน้าของเขานี่สิคงมีรอยฟกช้ำให้คนในบ้านเห็นอย่างแน่นอน ศิลาดลเดินขึ้นไปนั่งบนรถแล้วตบพวงมาลัยอย่างคนโมโหให้ทุกสิ่งอย่างรอบตัว โดยเฉพาะผู้หญิงคนนั้น
‘มีผัวแล้วทำไมไม่บอกแต่แรกวะ’
ขืนกลับบ้านไปตอนนี้ก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ดีไม่ดีตาของเขาอาจจะเค้นเอาความจริงว่าใครทำ เดือดร้อนกันไปอีก ศิลาดลคิดว่าคงต้องวนรถไปที่อื่นก่อนสักสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับบ้าน แต่จะไปไหนได้ล่ะ ทั้งอำเภอแทบไม่มีที่ให้นั่งพักผ่อนยามค่ำคืน เขาขับรถต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะสะดุดสายตาเข้ากับต้นมะตาดด้านหน้า
‘บ้านยายศรีจันทร์’ ใช่ เขามีที่ลงแล้ว