“เชิญทานได้เลยนะ อาหารของรีสอร์ทเราไม่หรูหราแต่รสชาติดีมาก ฉันเห็นนักท่องเที่ยวเข้าไปคอมเมนต์ในโซเชียลน่ะ” คุณธีระกล่าวก่อนหันมาคุยกับลูกชาย
“จัดห้องพักให้เพื่อนแล้วใช่มั้ย”
“ครับพ่อ อัยกับเอรินพักที่นี่ แต่แดนกับน๊อตกลับไปนอนที่บ้านครับ”
“ไม่ค้างด้วยกันไปเลยหรือ นี่ก็ดึกมากแล้วนะ”
“ผมชวนแล้วแต่พวกเขาเกรงใจ ว่าแต่พ่อต้องเดินทางกี่โมงครับเนี่ย”
“กินข้าวเสร็จก็ต้องขึ้นรถไปแล้ว“ คุณธีระตอบก่อนหันไปสังเกตเห็นแดนไม่ค่อยตักกับข้าวก็อดสงสัยไม่ได้ “อาหารไม่อร่อยหรือแดน”
เขาท่าทางลนลานนิดหนึ่งก่อนตอบกลับเสียงเบา “อร่อยครับ ผมแค่จะค่อยๆทานน่ะครับ”
“แบบนั้นก็ดีนะ ไม่ต้องรีบร้อน” คุณธีระเหลือบมองน๊อตซึ่งอีกฝ่ายเอาแต่สนใจข้าวในจานจึงไม่ได้สังเกต คุณธีระจึงกล่าวทักขึ้นก่อน “แล้วพ่อของน๊อตล่ะ สบายดีมั้ย”
สีหน้าของน๊อตชะงักนิดหนึ่งเหมือนแปลกใจแต่ก็ยอมตอบกลับสีหน้านิ่ง “ตอนนี้อาการยังทรงตัวอยู่ครับ ส่วนใหญ่จะนอนหลับเลยไม่ค่อยได้คุยกัน”
“ฉันรู้ว่าเธอยังโกรธเรื่องเมื่อสิบปีก่อนอยู่ ขอโทษด้วยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลยนอกจากเรื่องค่าใช้จ่าย”
“แค่นั้นก็ช่วยได้มากแล้วครับ”
ฉันมองดูบทสนทนาอึมครึมตรงหน้าแต่ไม่ได้มาจากคุณธีระ เป็นบรรยากาศรอบตัวน๊อตต่างหากที่ออกจะมืดมน แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการนั่งร่วมโต๊ะกับคุณธีระทำให้ทุกคนเกร็งไปตามๆกัน หลังจากกล่าวทักทายอัย เขาก็หันมาทางฉันด้วยสายตาที่เหมือนจะทดสอบบางอย่าง “ได้ยินเรื่องเธอจากเชนมาเยอะเลย ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบกัน”
“ฉันหรือคะ” ฉันตอบรับเบาๆ “ไม่น่ามีอะไรให้พูดถึงมากนักมั้งคะ”
“ไม่รู้สิ แต่เขาคุยให้ฟังไว้เยอะว่าเธอเป็นคนช่างสังเกต ให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นแล้วก็…”
“พ่อครับ ไว้หน้าลูกชายนิดนึงครับ” เชนรีบแทรกขึ้นทำให้คุณธีระหัวเราะเบาๆ
“เอาเถอะ พ่อหยอกเล่นน่ะ” เขากล่าวพลางมองดูนาฬิกาซึ่งบอกเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนกล่าวลาทุกคน “ฉันต้องไปขึ้นรถแล้ว พักผ่อนกันตามสบายนะ”
หลังจากคุณธีระเดินออกจากศาลาไปบรรยากาศรอบโต๊ะอาหารก็ผ่อนคลายลงมาก ฉันหันไปถามเชนด้วยความแปลกใจ “ไหนบอกว่าเลยสองทุ่มแล้วหมอกจะหนาจนหาทางเข้าออกไม่เจอไม่ใช่หรือ คุณพ่อนายไม่เป็นไรแน่นะ”
“ลุงเกริกคนขับรถแกเป็นคนเก่าแก่ของเมืองนี้ แกขับรถให้บ้านเรามาตั้งแต่รุ่นคุณปู่แล้ว ไปกับแกไม่ต้องกลัวหรอก”
น๊อตวางช้อนส้อมลงบนจานที่ว่างเปล่า “ฉันต้องรีบไปดูอาการของพ่อที่บ้าน คงต้องกลับก่อน”
“มีอะไรให้พวกเราช่วยมั้ย” เชนรีบลุกขึ้นเสนอตัวแต่น๊อตส่ายหัว
“แค่น้ำใจก็พอ พวกนายกินข้าวต่อเถอะ ฉันขับรถกลับบ้านได้” น๊อตกล่าวพลางเดินออกจากศาลาไป
เชนลงนั่งเก้าอี้อีกครั้งรู้สึกเหมือนโต๊ะอาหารเงียบเหงาลง “แล้วพวกเราจะเอาไง กลับไปพักผ่อนมั้ย”
“ฉันยังไม่ง่วงเท่าไร แต่ถ้าพวกเธอจะกลับที่พักเลยก็แยกย้ายกันก็ได้” แดนพูดด้วยสีหน้าผิดหวังนิดๆ
ที่จริงบรรยากาศรอบๆศาลาแห่งนี้สว่างนวลไปด้วยแสงสีส้มจากเสาโคมไฟเตี้ยๆที่วางเรียงรายอยู่ในสวนท่ามกลางหมอกจางๆทำให้ดูเหมือนภาพในเทพนิยายต่างกับหมอกที่ทางเข้าเมืองลิบลับ อากาศหนาวขึ้นอีกจนฉันอดไม่ได้ที่จะดึงกระชับปกเสื้อยีนส์ ถึงแม้บรรยากาศจะน่ารื่นรมย์แค่ไหนแต่ฉันก็ไม่อยากให้เพื่อนเสี่ยงขับรถกลับบ้านท่ามกลางหมอกที่ไม่มีทีท่าว่าจะจางลงเลย “ฉันว่าพรุ่งนี้พวกนายค่อยนำทางเราไปเที่ยวรอบเมืองก็ได้ วันนี้กลับเถอะ”
แดนพยักหน้ารับรู้แล้วจึงหันไปคุยกับอัย “เธอติดรถฉันไปได้นะ ยังไงก็ขับผ่านที่พักเธออยู่แล้ว”
“ก็ไปสิ” อัยตอบเสียงเบาก่อนจะเดินนำหน้าแดนออกจากศาลาไป
ฉันกับเชนมองหน้ากันอย่างสงสัย เชนถามคำถามที่ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน “เค้าสองคนคบกันแล้วหรือ”
เชนเดินข้างๆฉันเพื่อพาไปส่งที่บ้านพัก ระหว่างเดินออกจากศาลาผ่านเข้ามาในสวนเชนชี้ให้ดูสระน้ำกว้างซึ่งทอดยาวจากบริเวณที่พักไปยังไร่องุ่น เขาอธิบายว่าสระใช้กักเก็บน้ำในฤดูฝนและนำมาใช้ในการรดน้ำต้นไม้ทำให้มีน้ำใช้ตลอดปี เชนกล่าวถึงรสชาติของไวน์อัณยาวิลล์ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในร้านอาหารชื่อดังในประเทศก่อนทำให้มีคนสนใจเข้ามาเยี่ยมชมไร่องุ่น คุณธีระจึงเปิดรีสอร์ทเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมด้วย รวมถึงการบริจาคเงินให้โรงเรียนในเมืองอัณยาและทุนสนับสนุนให้เด็กรุ่นใหม่ๆไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงเพื่อได้โอกาสทำงานดีๆ ฉันรู้สึกได้จากน้ำเสียงของเขาที่บ่งบอกความภาคภูมิใจในตัวพ่อ เชนกับแดนจะกลับมาที่เมืองอัณยาเดือนละครั้งแต่น๊อตต้องกลับมาดูแลพ่อทุกสุดสัปดาห์ โชคดีที่คุณธีระจ้างคนดูแลพ่อของน๊อตในระหว่างที่น๊อตเข้าไปทำงานในเมืองหลวงทำให้ภาระของเขาเบาลงมาก พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ฉันนึกสงสัยเรื่องเมื่อสิบปีก่อนที่คุณธีระคุยกับน๊อตบนโต๊ะอาหาร ฉันจึงเผลอพลั้งปากเอ่ยถามเชนโดยไม่ตั้งใจ
“สิบปีก่อนมีอะไรเกิดขึ้นหรือ”
เชนมองฉันอย่างแปลกใจ “สนใจเรื่องนั้นด้วยหรือ”
“ที่จริงนอกจากเรื่องไร่องุ่นแล้ว นายก็ไม่ค่อยพูดถึงเมืองอัณยาให้ฟังเลยนี่”
“ฉันก็พามาดูให้เห็นกับตาเลยนี่ไง”
“มันก็ใช่…” ฉันแค่รู้สึกว่าคำตอบของเขามันสั้นเกินไป “แต่นายไม่เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กให้ฟังเลย”
“สมัยเด็กฉันขี้โรคน่ะ จำได้ว่าเริ่มดีขึ้นก็เมื่อราวๆสิบปีก่อนนั่นแหละ”
“ขี้โรคหรือ นายเป็นอะไร มีโรคประจำตัวหรือ แล้วตอนนี้ยังเป็นอยู่มั้ย”
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว หายตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องนั้นแหละ” เขากล่าวก่อนจะยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มแบบที่เหมือนจะพูดความจริงไม่หมดหรือพยายามเปลี่ยนเรื่อง “ตั้งแต่นั้นมาพ่อฉันก็พยายามบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลเพื่อพัฒนาการแพทย์ของเมืองอัณยาให้ก้าวหน้าไม่แพ้ในเมืองหลวง เด็กบางคนที่ไปเรียนจบหมอในเมืองหลวงถึงยอมกลับมาทำงานที่เมืองอัณยา”
“ได้ยินว่ามีการจัดทัวร์การแพทย์รับคนต่างประเทศมาพักฟื้นที่โรงพยาบาลในเมืองนี้ และได้รับความนิยมมากด้วย”
“พ่อเป็นคนต้นคิดเพราะมีชาวต่างชาติมาเที่ยวไร่องุ่นเยอะอยู่แล้ว ก็เลยเสนอจัดทัวร์การแพทย์ด้วย”
“พ่อนายเก่งจัง”
“เห็นแบบนี้แต่ในเมืองก็มีทั้งคนรักแล้วก็คนเกลียดนั่นแหละ ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อมีเรื่องผิดใจอะไรกับน๊อตหรือเปล่า”
“ฉันรู้สึกเหมือนเป็นความไม่พอใจฝ่ายเดียวมากกว่า” ฉันเผลอพูดเพราะนึกถึงปฎิกริยาที่น๊อตมีต่อคุณธีระ “ถ้านายไม่อยากเล่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนก็ยังไม่ต้องไปพูดถึงก็ได้ แล้วพรุ่งนี้นายจะพาฉันไปเที่ยวที่ไหนหรือ”
เชนเม้มปากนิ่งเหมือนกำลังใช้ความคิด ฉันได้แต่มองเขาอย่างสงสัย “นี่นายยังไม่ได้วางแผนไว้หรือ”
“ก็ต้องถามความเห็นพวกเธอด้วยว่าอยากไปไหนก่อน อย่าลืมสิว่าพวกเธอใช้สิทธิ์พักร้อนกันมาแค่สามวันนะ รวมเสาร์อาทิตย์ก็แค่ห้าวัน”
“ที่จริงรวมวันนี้อีกครึ่งวันด้วย กว่าจะเคลียร์งานฝากงานได้ ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้มาแล้ว” ฉันถอนหายใจยาว “จะว่าไปวันนี้ก็เป็นวันที่ยี่สิบเจ็ด วันมะรืนก็ถึงวันทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์ใช่มั้ย”
“อย่าบอกนะว่าอยากไปดูพิธีขุดศพที่สุสาน เขาไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือคนนอกเข้าไปในเขตสุสานช่วงนี้”
“แต่นายไม่ใช่คนนอกไม่ใช่หรือ แล้วนายก็ต้องทำพิธีส่งตัวผู้วายชนม์…” ฉันหยุดชะงักนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรพูด
“คุณทวดของฉันก็เป็นหนึ่งในผู้วายชนม์ที่ต้องทำพิธีปีนี้” เชนพูดแทนอย่างไม่ถือสา “เธอนี่นะ ทำไมสนใจเรื่องแบบนี้จัง”
“ก็มันดูลึกลับดี” ฉันกล่าวยิ้มๆจนในที่สุดเราก็เดินมาถึงบ้านพักที่เชนจัดไว้ให้ “วันนี้เราแยกย้ายกันพักผ่อนเถอะ ฝนทำท่าจะตกแล้วด้วย พรุ่งนี้นายต้องทำหน้าที่ไกด์ให้พวกฉันนะ”
“งั้นฉันจะมารับตอนแปดโมงตรงพรุ่งนี้”