“น้อง จะสุดสายแล้วนะคะ”
“ฮะ!”
ฉันสะดุ้ง ผุดลุกขึ้นยืนพรวดทันควันที่ได้ยินเสียงบอกนั้นด้วยอารามตกใจ เป็นเหตุให้เสื้อคลุมกีฬาสีฟ้าสลับขาวติดตราสัญลักษณ์โรงเรียนตกลงไปอยู่แทบเท้า
เสื้อใครน่ะ?
ฉันก้มลงเก็บเสื้อตัวนั้นขึ้นมากอดไว้อย่างสุดแสนสงสัย ทั้งสงสัยว่าที่นี่ที่ไหน นี่เสื้อใคร และในโลกนี้จะมีใครเอ๋อรับประทานถึงขั้นนั่งหลับบนรถเมล์มาสุดสายแบบฉันไหม แต่ฉันก็จ่ายค่ารถเพิ่มให้พี่สาวกระเป๋ารถเมล์โดยไม่ถามไถ่อะไร ก่อนลงจากรถ และตรงมาหยุดยืนงงอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าที่ผู้คนเดินสวนเบียดกันไปมา
ท้องถนนแปลกตายามเย็นยังคงมีรถวิ่งขวักไขว่ และรถเมล์คันที่ฉันนั่งมาก็ตีรถเปล่าห่างออกไป ทิ้งฉันเอาไว้โดยไม่เหลียวแล~
“เช็ดน้ำลายหน่อย อายเป็นป่ะเนี่ย?”
“ฮะ?”
ฉันยกมือขึ้นปิดปากฉับ และเมื่อตวัดสายตาขุ่นขวางขึ้นมองไป จึงได้สบประสานกับดวงตาหวานละมุน แฝงรอยขี้เล่น อีตาขี้เก๊กนั่น...
“นาย?”
“.....”
“นายก็นั่งเลยป้ายเหรอ?”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ อย่างกวนโทสะ แบบที่ถ้าฆ่าคนแล้วไม่โดนจับยิงเป้าตอนห้าโมงเช้า ฉันจะยกเท้าถีบเขาให้รถทับไส้แตก ณ บัดนาวเลยทีเดียว
“ตั้งใจครับตั้งใจ ไม่ได้หลับยาวเหมือนใครบางคน”
ฉันขยับปากจะเถียง แต่เถียงไม่ออก (ก็หลับจริงอะ) เลยได้แต่มุ่ยหน้ามองหมอนั่นโบกมือเรียกรถแท็กซี่ เอาละสิ คนรู้จักคนเดียวที่มีกำลังจะหนีฉันไปแล้ว พระเจ้า! ได้โปรดชี้ทางกลับบ้านให้หนูเถอะค่ะ แล้วหนูสัญญาว่าจะทำตัวเป็นเด็กดี หลับแบบถูกที่ถูกทาง จะไม่ทำชั่วช้าสามานย์แบบนี้อีกแล้ว โฮๆ
“ขึ้นมาสิ เดี๋ยวรถติดหรอก”
“หา?”
อีตาคนนั้นยื่นมือมาดึงแขนฉันรั้งให้ตามเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่คันเดียวกัน แล้วฉวยจังหวะที่ฉันยังเอ๋อรับประทาน เอื้อมมือผ่านตัวฉันไปดึงประตูรถให้ปิดลง
กรี๊ด!! ฉันโดนลักพาตัว!
“ไปตากอากาศฮะ”
อะไรนะ! หมอนี่จะพาฉันไปขังไว้ในบ้านพักตากอากาศ? แล้วเขาจะหาข้าวให้ฉันกินครบสามมื้อรึเปล่า? เขาจะจับฉันมัดไว้กับหัวเตียงไหม?
เขาจะ...เขาจะ...พลีกายให้ฉันลวนลามหรือไม่
“เธอ...คิดอะไรแปลกๆ อยู่ใช่มะ”
คนข้างกายทำหน้าหวาดๆ ขณะที่ดึงเสื้อคลุมในมือฉันไปโดยไม่ถามสักคำว่าฉันเอามาจากไหน เฮ้ๆ มันจะเกินไปละ เราสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หรือว่า...
“เสื้อนายเหรอ?”
“ก็ใช่อะดิ”
“แล้วทำไมมันอยู่ที่ฉันได้ล่ะ”
คนนั้นหรี่ตาลงมองฉันแปลกๆ ก่อนกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
“เมื่อกี้เธอหลับลึก จู่ๆ ก็เดินละเมอมาถอดเสื้อฉัน และเอากลับไปห่มนอนอะ”
“มะเหงกนี่”
อีตาบ้านั่นหัวเราะร่วน เมื่อฉันยกมือขึ้นขู่ฟอด แต่เมื่อเหล่าตึกรามเก่าแก่ละลานตาข้างทางหมดระยะไป ฉันก็เห็นดวงตะวันกลมโตส่องประกายสีแดงเจิดจ้าอยู่บนผืนฟ้าใหญ่กว้างพอดี
ทำไมวันนี้...พระอาทิตย์ดูดวงโตจัง?
“แถวนี้เป็นทะเล”
เขาอมยิ้ม เปรยออกมาราวกับรู้เท่าทันในสิ่งที่ฉันกำลังสงสัย เหอะ อยากรู้ตายละ แน่จริงบอกมาโดยไม่ต้องให้ฉันถามสิ ว่าเราอยู่ส่วนไหนของประเทศไทยกันน่ะ?
“ตอนนี้ พวกเราอยู่ที่สมุทรปราการ”
พระเจ้า! หมอนี่อ่านใจคนได้! เขาเป็นพ่อมด? หมอผี? มดกะจี้รี่? (คือตัวอะไร?) แต่ที่แน่ๆ...ผู้ชายคนนี้ไม่มีตรงไหนที่ดูน่าปลอดภัยเลยสักนิด ทั้งโครงหน้าได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน เรียวปากบางเฉียบรูปกระจับสวยจนน่าอิจฉา
และที่อันตรายที่สุดอาจเป็นดวงตา...ตาสีนิลหวานปนเศร้า แต่แฝงประกายดื้อรั้น เอาแต่ใจ และสามารถทำให้ทุกคนที่มองสบตาคู่นั้นยอมสยบลงได้โดยดุษณี...
อย่างที่ฉันบอกไง ผู้ชายคนนี้...น่ากลัว
รถแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาในสถานตากอากาศบางปู...ฉันเห็นป้ายขนาดใหญ่ด้านหน้าเขียนไว้ว่าอย่างนั้นน่ะนะ รถแล่นผ่านวงเวียนที่จัดเป็นสวนขนาดย่อมทรงกลม ตรงไปยังโค้งประตูทรงสี่เหลี่ยมที่ติดป้ายว่า ‘สะพานสุขตา’ และจอดส่งพวกฉันลงกลางสะพานใหญ่มหึมา ที่มีรถจอดสนิทอยู่เรียงรายเป็นแถวยาว
อีตาเพื่อนร่วมห้อง อืม ที่จริงฉันน่าจะถามชื่อเขานะ แต่ก็นั่นแหละ ฉันไม่ค่อยสนใจมนุษย์ต่างกลุ่มเท่าไหร่ เขาพาฉันเดินมาหยุดอยู่ใต้ซุ้มสีแดงที่มีนักท่องเที่ยวยืนอยู่เต็มพรืดไปหมด แต่ที่ดึงดูดความสนใจฉันมากที่สุดตอนนี้ คงเป็นเหล่านกนางนวลที่กำลังกระพือปีกบินร่อน เสียจนราวกับผืนฟ้าเบื้องบนถูกกางกั้นด้วยผ้าม่านขาวโพลน
“ว้าว...น่ารักจัง”
ฉันขยับเข้าไปเกาะราวสะพานที่พอมีที่ว่างให้เบียดได้ และเพียงไม่นาน เพื่อนคนเดียวของฉัน (ยอมรับเป็นเพื่อนก็ได้ถ้าเขาจะพาฉันไปส่งบ้าน) ก็เดินตามมายืนอยู่ข้างกันพร้อมกากหมูในถุงกระดาษที่เพิ่งซื้อมา
“ใช่มั้ยละ เมื่อก่อนฉันชอบมาที่นี่กับเพื่อนอีกสองคนบ่อยๆ”
เขายิ้มให้ฉัน... รอยยิ้มนั้นเจือรอยเศร้าอย่างประหลาด แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะถามถึงเพื่อนสองคนนั้น หมอนั่นก็จับกากหมูสองสามอันโยนออกไปจากราวสะพาน
แล้วนกนางนวลก็บินมางับมันไว้ได้!
ฉันอ้าปากน้อยๆ มองตามเจ้านกอัจฉริยะตัวนั้นไป และพบว่าผู้คนรอบกายก็ต่างโยนกากหมูให้นกพวกนั้นบินมางับไว้ ก่อนจะยกจะงอยปากกลืนลงคอไปอย่างชำนาญ
“อ๊าย ดูสิๆ เก่งอะ”
พอเผลอร้องลั่นตีมือไปยังต้นแขนอีตาเพื่อนร่วมห้องด้วยอารามตื่นเต้น ก็เป็นอันต้องหุบรอยยิ้มฉับ หันมองเหวมองฟ้าแบบเนียนๆ เมื่อผู้คนรอบกายเริ่มมองมาและพากันอมยิ้ม
ปัดโธ่! ขำอะไรกันนักหนา ก็ฉันไม่เคยเห็นนี่ยะ! อ๊าย หมอนี่ก็แอบหัวเราะเยาะฉันด้วยอะ นิสัยไม่ดี!
“หยุดหัวเราะนะ ไม่งั้นนายเจอดีแน่”
ฉันแยกเขี้ยวขู่ฟอด พร้อมกับล้วงกากหมูออกมาเต็มกำมือเตรียมพร้อม คนตรงหน้าจึงหุบยิ้มลงฉับ หน้านิ่ง บ้าเอ๊ย เวลาหมอนี่ไม่ยิ้มอะ น่ากลัวชะมัด!
ทำเอาฉันไม่กล้าขยับตัวตามไปด้วยเลย...
“หึๆ...ฮ่าๆๆ”
ท...ที่แท้เมื่อกี้กลั้นหัวเราะอยู่เรอะ! หน็อย ตายซะ!
“เฮ้ย! เล่นไรวะ สกปรก”
คนตรงหน้าโวยลั่นเมื่อถูกฉันจัดการยัดกากหมูใส่ปากเขาอย่างไว ก่อนจะคายกากหมูพวกนั้นออกมา พร้อมกับเบ้หน้า ฮ่าๆ อร่อยสุดๆ ไปเลยละสิ
“สกปรกไร? นกยังกินได้เลย”
ฉันยกมือขึ้นกอดอก ยักคิ้วล้อ แต่อีตานั่นกลับคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะจับแขนฉันดึงไว้ และพยายามยัดกากหมูในมือมันมาใส่ปากฉันคืน! กรี๊ด!! สกปรกที่สุด นั่นมันเข้าปากนายไปแล้วนะยะ! ฉันจะแจ้งความว่านายลวนลามฉันทางน้ำลาย!!
“อ๊ายย อย่านะ!”
“ฮ่าๆๆ”
หมอนั่นหัวเราะลั่นเมื่อฉันปัดมือไปมาพลางหลับตาปี๋ และยิ่งอิกากหมูผสมน้ำลายบูดนั่นเฉียดเข้ามาใกล้แก้ม ฉันก็ยิ่งขยะแขยงซะจน...
‘พลั่ก!’
“อะ...ยัยบ้า! เธอถีบฉัน”
ฉันยืนเหวอรับประทานอยู่ตรงหน้าร่างสูงที่ล้มหงายไปด้านหลังไม่เป็นท่าได้แค่ครึ่งวินาทีเท่านั้นก็หันหลังกลับ แล้วใส่ตีนหมาจ้ำอ้าว หนีออกมาแบบไม่คิดชีวิต โฮๆ พ่อขา ลงจากสวรรค์มาช่วยหนูที ใช้อิทธิฤทธิ์อะไรก็ได้ หรือถีบมันให้ตกทะเลเป็นอาหารปลาตีนไปเลยยิ่งดี!
ไม่อย่างนั้น...หมอนี่ฆ่าฉันแน่!