หนูน้อยรดาในวัย 8 เดือน เธอชอบหยิบกัด ชิมของเล่นทุกชนิด เริ่มจะยืน และติดแม่มาก พัทธ์ธีราอยู่ตรงไหนก็จะมีลูกสาวตัวน้อยเกาะติดเธออยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าตัวติดกัน 24 ชั่วโมงก็ว่าได้
วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งตอนนี้พัทธ์ธีรากับลูกสาวตัวน้อยวัยสองขวบเศษ ทั้งสองมาอยู่ที่นี้หนึ่งปีครึ่งแล้ว พัทธ์ธีราดูแลโฮมสเตย์ขนาดเล็กที่เธอใช้เงินค่าจ้างก้อนสุดท้ายนั้นส่วนหนึ่งแบ่งมาลงทุนสร้างบังกะโลเพียงแค่ 3 หลังที่เธอพอจะดูแลได้ทั่วถึงด้วยตัวเองและสามารถเลี้ยงดูลูกไปด้วยพร้อมกันได้อย่างไม่ลำบาก น้องรดาลูกสาวของเธอแม้จะซนอยากลองอยากรู้ตามประสาเด็กแต่เธอเป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายมาก ว่านอนสอนง่ายมากไม่กวนงอแงให้แม่ต้องเหนื่อย แต่ละวันเธอกิน,นอนและวิ่งเล่นวนอยู่แบบนั้น พัทธ์ธีราเองก็ไม่เคยปล่อยให้ลูกสาวคลาดสายตา
วันนี้พัทธ์ธีราพาลูกสาวตัวน้อยมาซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้าน เมื่อซื้อของครบตามที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว เธอเดินไปยังแผนกเสื้อผ้าเด็ก ในขณะที่พัทธ์ธีราอุ้มน้องรดาซึ่งหลับอยู่บนบ่าและเธอกำลังเลือกเสื้อผ้าให้ลูกอยู่นั้น
“ขอโทษนะครับ..ผมจะขอรบกวนคุณช่วยเลือกเสื้อผ้าเด็กให้ผมด้วยได้ไหมคะ”
“คะ?” พัทธ์ธีราหันไปมองชายหนุ่มอย่างสงสัย
“คือผมเลือกเสื้อผ้าเด็กผู้หญิงไม่ค่อยเก่งน่ะครับ มองหาพนักงานก็ไม่เจอใคร คงจะไปพักเที่ยงพร้อมกันหมด และบริเวณนี้ก็มีแค่คุณผู้หญิงคนเดียว”
“อ๋อ ค่ะ น้องอายุกี่ขวบแล้วคะ”
“น่าจะประมาณ 8-9 ปีแล้วนะครับ”
“เสื้อผ้าเด็กโตจะอยู่ทางนั้นนะคะ” พัทธ์ธีราบอกกับอีกฝ่าย
“แล้วคุณ..จะกรุณาเลือกให้ผมได้ไหม”
“ก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องรอสักครู่นะคะ ขอฉันซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาวก่อน”
“ครับ ขอบคุณมากครับ ผมรอได้..”
“คุณจะให้ผมช่วยอุ้มลูกให้คุณก่อนไหม” ชายหนุ่มเสนอออกมาเมื่อเห็นว่าขณะที่หญิงสาวเลือกเสื้อผ้าอยู่นั้นเธอต้องแบกลูกอยู่บนบ่าไปด้วย และน้ำหนักคงจะไม่ต่ำกว่าสิบกิโล
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันชินแล้ว” พัทธ์ธีราตอบพร้อมกับกระชับกอดลูกไว้แน่น เมื่อเธอเลือกเสื้อผ้าให้ลูกสาวเรียบร้อยแล้วเธอจึงก้าวไปอีกโซนที่เป็นเสื้อผ้าของเด็กโตและเลือกชุดเด็กผู้หญิงให้เขาสามชุดตามที่เขาต้องการ เมื่อทั้งสองก้าวออกมาจากแผนกเสื้อผ้าเด็ก ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น
“ผมขออนุญาตเลี้ยงมื้อเที่ยงคุณเป็นการขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันยินดีช่วย” พัทธ์ธีราบอกปฏิเสธออกไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เกียรติไปดื่มน้ำสักแก้วก็ได้ครับ นอกเสียจากว่าคุณจะรังเกียจ..” เขายังคงตื้อชวนหญิงสาว
“ถ้าอย่างนั้น..ก็ได้ค่ะ”
“คุณดื่มกาแฟไหมครับ”
“ไม่ค่ะ”
เมื่อหญิงสาวบอกมาอย่างนั้น เขาจึงเลือกเข้ามานั่งในร้านไอศกรีมและมีเครื่องดื่มที่หลากหลาย ก่อนจะให้เธอสั่งเครื่องดื่มที่ต้องการ ระหว่างที่ทั้งสองนั่งรอให้พนักงานมาเสิร์ฟอยู่นั้น
“ผม..ภีรภาคย์ หรือเรียกว่าภีมก็ได้ครับ แล้วคุณ..”
“พัท ค่ะ”
“คุณพัทอยู่ที่ภูเก็ตนานแล้วเหรอครับ หรือว่าเป็นคนที่นี่”
“ฉันย้ายมาจากที่อื่น มาอยู่ที่นี่ได้ปีกว่าแล้วค่ะ คุณภีมล่ะคะ เป็นคนที่นี่ใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมมาอยู่ที่ภูเก็ตเกือบ 3ปีแล้วล่ะครับ ผมมาเปิดผับอยู่ที่นี่”
“แล้วสามีของคุณพัทไม่มาด้วยกันเหรอครับ”
“ฉันแยกทางกับพ่อของรดา เอ่อ..ลูกสาวของฉันตั้งแต่แกคลอดแล้วค่ะ แล้วภรรยาของคุณภีมล่ะคะ”
“อ๋อ..ผมยังไม่มีครอบครัวหรอกครับ”
“แล้ว..เสื้อผ้าของเด็กที่ซื้อไปนี่เอาให้หลานเหรอคะ”
“ผมซื้อไปให้เด็กกำพร้าที่ผมอุปการะเลี้ยงดูแกไว้ ก็เหมือนหลานนั่นแหละครับ”
เมื่อพนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้ทั้งสอง ต่างคนก็ต่างนั่งดื่มเงียบ พัทธ์ธีราอุ้มลูกให้นอนอยู่บนตักของเธอ เธอก้มมองและลูบศีรษะเล็ก ๆ ของลูกสาวเป็นระยะ หนูน้อยยังคงนอนหลับปุ๋ยในอ้อมกอดแม่ไม่มีทีท่าจะตื่นง่ายๆ ภีรภาคย์มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างชื่นชม
“ถ้าผมจะขออนุญาตพาหลานสาวผมไปเล่นกับลูกสาวคุณพัทบ้างจะได้ไหมครับ”
“ด้วยความยินดีค่ะ โฮมสเตย์พีร์รดายินดีต้อนรับแขกผู้มาเยือนเสมอ” พัทธ์ธีราคิดว่าถ้าลูกสาวของเธอได้มีเพื่อนเล่นบ้างก็คงจะดี จะได้รู้จักการเล่นการแบ่งปันกับเพื่อน ยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงด้วยกันก็ยิ่งดี
“หม่าม้า..”
“ตื่นแล้วเหรอคะคนเก่ง” เมื่อหนูน้อยลืมตาขึ้นพร้อมกับขยับตัว พัทธ์ธีรายิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยน เธอโชคดีมากที่ลูกของเธอไม่ว่าจะตอนตื่นนอนหรือว่าก่อนนอน ลูกไม่เคยร้องไห้โยเยเลยสักนิด กลับกินง่ายนอนง่าย
“น้องรดา สวัสดีคุณอาสิคะ..” พัทธ์ธีราบอกกับลูกสาวเมื่อลูกลุกออกจากตักเธอมานั่งกอดแขนของเธอแทน
“หวะดีจ่ะจุนอา..” หนูน้อยยกมือป้อม ๆ ขึ้นมาพร้อมกับพูดออกมา
“สวัสดีค่ะคุณอา..” พัทธ์ธีราพูดชัดถ้อยชัดคำทวนให้ลูกฟังซ้ำอีกครั้ง
“น่ารักจังเลยครับสาวน้อย” ภีรภาคย์เอ่ยชมความเชื่อฟังและความน่ารักของหนูน้อยตรงหน้า
“ขอบจุนจ่ะ” หนูน้อยรดาเอ่ยขอบคุณก่อนจะซุกหน้าแอบกับแขนของผู้เป็นแม่
“น่าแปลกนะครับ เกาะนี้ก็ไม่ได้กว้างมากนัก แต่เรากลับไม่เคยเจอกันเลย”
“ฉันไม่ค่อยออกไปไหนค่ะ เพราะต้องเลี้ยงลูกด้วย”
“ส่วนผมเปิดผับอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตกลางคืนเสียส่วนใหญ่ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่เคยเจอกัน สงสัยผมจะต้องออกมาใช้ชีวิตกลางวันบ่อยขึ้นเสียแล้ว”
“เอ่อ..ฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ”
“ครับ..จะให้ผมไปส่งมั้ย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ”
“ผมก็ต้องขอบคุณคุณพัทอีกครั้งเช่นกัน”
ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตน และวันหยุดสุดสัปดาห์ถัดมา..ภีรภาคย์ก็พาพริมวรา เด็กสาวที่เขารับอุปการะมาเที่ยวที่โฮมสเตย์ของพัทธ์ธีราเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ทำความรู้จักและเป็นเพื่อนเล่นกัน
“จะเป็นการเสียมารยาทไหมครับ ถ้าผมจะขอถามอะไรคุณพัทหน่อย” ภีรภาคย์เอ่ยถามขึ้นขณะที่ทั้งสองนั่งมองเด็ก ๆ เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
“ถามได้ค่ะ แต่ฉันจะตอบหรือเปล่านั่นอีกเรื่องนึงนะคะ”
“คุณพัทอายุเท่าไหร่ครับ..” ภีรภาคย์ถามข้อสงสัยของเขา เพราะเท่าที่เขาพิจารณา หญิงสาวคงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา แต่ขอถามเพื่อความแน่นอน
“คุณไม่ควรถามอายุผู้หญิงนะคะ”
“นั่นแหละครับ ผมขอโทษ” ภีรภาคย์ทำหน้าแหย ๆ เมื่อหญิงสาวทำหน้านิ่งยิ่งกว่าที่เป็น
“ฉันอายุ 32 ค่ะ” พัทธ์ธีราตอบออกมา
“32! ผมคิดว่าคุณพัทจะอายุน้อยกว่าผมเสียอีก หน้าคุณพัทนี่โกงอายุนะครับ ดูอ่อนกว่าอายุเยอะเลย ส่วนผม 28 แต่หน้านำอายุไปไกลแล้ว” ภีรภาคย์พูดอย่างที่เขาคิด ทำให้พัทธ์ธีราเกือบจะหลุดขำออกมากับสิ่งที่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้นคุณพัทเรียกผมว่าภีมจะดีกว่านะครับ”
“แล้วคุณจะเรียกฉันว่าพี่อย่างนั้นเหรอคะ”
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมขอเรียกพัท ได้ไหมครับ”
“แล้วแต่คุณภีมจะสะดวกค่ะ”
“แต่พัทก็สะดวกเรียกผมว่าคุณภีมเหมือนเดิม” พัทธ์ธีรายิ้มบาง ๆ ให้เขา เธอพยายามรักษาระยะห่างระหว่างเธอกับเขา
“น้องพริมสวยน่ารักตั้งแต่เด็กแบบนี้ โตขึ้นต้องสวยมากแน่ ๆ เลยค่ะ คุณภีมคงจะต้องเตรียมไว้หนวดแล้วนะคะ” พัทธ์ธีราชวนเขาคุยเรื่องเด็ก ๆ
“น้องรดาโตขึ้นก็ต้องสวยเหมือนพัทเหมือนกันใช่มั้ยครับ แต่เอ๊ะ! หน้าตาออกไปทางลูกครึ่งนิด ๆ ผมสีนี้ ผมรู้สึกว่าคุ้นตายังไงก็ไม่รู้” ภีรภาคย์มองพิจารณาไปยังใบหน้าเล็ก ๆ ของหนูน้อยแต่คิดเท่าไหร่เขาก็คิดไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าตาแบบนี้ที่ไหน แต่เขาเคยเห็นมาแล้วอย่างแน่นอน เพราะรู้สึกว่าคุ้นตาใบหน้าแบบนี้อย่างมาก
ตั้งแต่นั้นมา ภีรภาคย์ก็ไปมาหาสู่สองแม่ลูกอยู่เสมอ เขาพาน้องพริมมาเล่นกับน้องรดาในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
“สัปดาห์หน้า ผมจะเข้ากรุงเทพ พัทต้องการอะไรบ้างหรือเปล่า” ภีรภาคย์แวะมาถามหญิงสาว
“ฉันไม่ต้องการอะไรค่ะ ขอบคุณ”
ภีรภาคย์เดินทางกลับมากรุงเทพฯ ปีละครั้ง และแน่นอนว่าเมื่อเขากลับมาทุกครั้งเขาก็ต้องแวะมาทักทายเพื่อนอย่างราชันย์และน้องพีร์ลูกชายของเขา คฤหาสน์หลังโตของราชันย์ในตอนนี้ เปลี่ยนไปราวกับเป็นสนามเด็กเล่นขนาดย่อม ๆ เรียกได้ว่าราชันย์เป็นพ่อสายเปย์ เขาซื้อทุกอย่างมาให้ลูกชายคนเดียวของเขา
“ไงไอ้ภีม ไปไงมาไงถึงมาได้ ผับของมึงที่ภูเก็ตล่ะ”
“มึงไม่ไปหากูไง กูเลยต้องมาหามึง ส่วนผับกูเอามาด้วยไม่ได้”
“กวนอีกแล้วนะมึงนี่ กูจะไปหามึงได้ยังไง กูต้องเลี้ยงลูก”
“ดีคับอาภีม”
“ดีคับเจ้าพีร์ เป็นไงบ้างล่ะเรา ตัวโตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย” ภีรภาคย์ทักทายหลานชายโดยยกหลานโยนขึ้นไปกลางอากาศ หลานก็หัวเราะชอบใจ
“เอาอิก ฉูง ๆ”
“พอเลยไอ้ภีม เจ้าพีร์ เดี๋ยวก็ตกลงมาเจ็บ”
“มึงนี่หวงลูกจริง ๆ เลย”
“กูไม่ได้มีง่าย ๆ นะลูกเนี่ย”
“เออ ๆ” ภีรภาคย์ยอมวางหลานชายลง
“ของจากพี” หนูน้อยรพีร์เอ่ยขึ้น
“อ๋อ..ของฝาก! นี่ไง..รถบังคับรุ่นใหม่” ภีรภาคย์ยื่นของฝากให้หลานชาย
“พีมีลดเยอะแล้ว พีอยากได้ตุ๊กตาบาบี้”
“ตุ๊กตาบาร์บี้!” ภีรภาคย์หันไปมองหน้าเพื่อนเป็นคำถาม
“เออ..ไม่รู้ว่าลูกกูนึกยังไงถึงอยากเล่นตุ๊กตาขึ้นมา” ทั้งสองมองหน้ากันอย่างแปลกใจ แต่ลูกชายอยากจะเล่นอะไรราชันย์ก็ปล่อยให้เล่นไปตามธรรมชาติตามความชอบความสนใจ เขาไม่เคยห้ามหรือบังคับลูกเพราะลูกชายของเขาก็เล่นของเล่นอย่างอื่นเป็นปกติทั้งรถยนต์ หุ่นยนต์ หรือแม้แต่ตัวต่อบล็อคต่าง ๆ เขาก็เล่นได้ทุกอย่าง
“เอ๊ะ! เจ้าพีร์มาให้อาดูหน้าใกล้ ๆ หน่อย เรานี่หน้าเหมือนใคร” ภีรภาคย์มองหน้าหลานชายอย่างพิจารณาแล้วรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา
“จะเหมือนใคร ลูกกูก็ต้องเหมือนกูสิ!” ราชันย์พูดออกไปแล้วพลันให้นึกถึงแม่อุ้มบุญของลูกชายที่เธอไม่ได้เพียงแค่อุ้มท้อง แต่ลูกยังมีใบหน้าละม้ายคล้ายเธออีกด้วย
ภีรภาคย์กลับจากกรุงเทพมาถึงภูเก็ตเขาก็รีบนำของฝากมาให้กับหนูน้อยรดาทันที
“สวัสดีค่ะรดา..อามีตุ๊กตามาฝากรดาด้วยนะ”
“จอบจุนจ่ะ” หนูน้อยรับมาถือไว้แต่ไม่มีทีท่าดีใจที่ได้ของเล่น
“รดาไม่ชอบตุ๊กตาของอาเหรอคะ” ภีรภาคย์มองปฏิกิริยาท่าทางของหนูน้อยพร้อมกับถามออกมา
“รดาชอบเล่นของเล่นแบบเด็กผู้ชายอย่างรถมากกว่าน่ะค่ะ” พัทธ์ธีราตอบแทนลูกสาว
“อ้าว..ขอโทษค่ะ อาคิดว่ารดาจะชอบตุ๊กตาเสียอีก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตุ๊กตารดาก็เล่นเหมือนกัน แต่คุณภีมไม่น่าจะลำบากซื้อมา”
“ผมอยากซื้อมาฝากน้องรดาแต่ดันไม่ถูกใจซะงั้น” ภีรภาคย์มองหน้านิ่งๆของหนูน้อยก่อนจะเอ่ยทักขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก
“ผมคิดออกแล้วว่ารดาหน้าตาเหมือนใคร หน้าคล้ายกับเพื่อนรุ่นพี่ของผมเลยครับ” ภีรภาคย์พูดออกมาอย่างไม่เอะใจสงสัย
“เหรอคะ บังเอิญจังเลยนะคะ” พัทธ์ธีราก็ไม่ติดใจสงสัยเช่นเดียวกัน
“พัทนี่เก่งนะครับ ทั้งทำงานและเลี้ยงลูกไปด้วย”
“มนุษย์แม่เกือบทุกคนทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกค่ะ” พัทธ์ธีราพูดออกมาแล้วก็อดที่จะคิดถึงลูกอีกคนของเธอไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่เธอก็รักทั้งสองไม่น้อยไปกว่ากัน
“วันนี้คุณภีมไม่พาน้องพริมมาด้วยเหรอคะ” เธอชวนเขาคุยเรื่องเด็ก ๆ ลูกสาวของเธอก็คิดถึงอยากเล่นกับพี่พริมแล้ว เพราะในระแวกนี้ก็ไม่มีเด็กวัยเดียวกันให้เล่นด้วย
“ผมยังไม่ได้กลับเข้าไปที่บ้านเลยครับ ตั้งใจแวะเอาของเล่นมาให้รดาก่อน”
“รดาบ่นคิดถึงพี่พริมแล้วค่ะ”
“แล้วอาจะพาพี่พริมมาเล่นกันรดาบ่อย ๆ นะคะ”
“จ้าา” ใบหน้าน้อย ๆ พยักหน้าเร็ว ๆ พร้อมกับยิ้มอย่างดีใจ
“ผมขอตัวกลับก่อนนะพัท”
“ค่ะ”
“อากลับก่อนนะคะรดาคนสวย บ๊ายบายค่ะ”
“ย๊าย ยายจ่ะ” มือน้อย ๆ ยกขึ้นมาโบกตอบภีรภาคย์
1 ปี ต่อมา..
ราชันย์สั่งให้เลขาของเขานำเอกสารเข้ามาให้เขาเซ็นที่บ้านเช่นเดิม
“นี่เอกสารทั้งหมดที่คุณราชย์ต้องการค่ะ” ปรางวลัยยื่นแฟ้มเอกสารให้เจ้านายก่อนจะเอ่ยทักทายหนูน้อยที่กำลังนั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ ผู้เป็นพ่อ
“สวัสดีค่ะน้องพีร์”
“ฉะหวัดดีคับป้าปาง” หนูน้อยกล่าวทักทายตอบก่อนจะหันไปสนใจตุ๊กตาบาร์บี้ในมือของตัวเองต่อ
“คุณปราง..สุดสัปดาห์นี้ผมต้องไปพูดคุยตกลงธุรกิจกับนายทุนที่ภาคใต้ เราอาจจะเปิดสาขาใหม่ที่นั่นเพราะมีนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาบ่อย คุณจองตั๋วเครื่องบินจองโรงแรมที่พักริมทะเลให้ผมด้วย รายละเอียดที่ไหนเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะแจ้งคุณอีกที”
“คุณราชย์จะไปกี่วันคะ และมีใครไปบ้าง”
“ให้น้องพีไปทะเยด้วยนะค้าบป่าป๊า” หนูน้อยเข้ามาเกาะแขนอ้อนราชันย์
“แต่ป่าป๊าต้องไปทำงานนะครับ ไม่ได้ไปเที่ยว”
“วันเกิดน้องพีป่าป๊ายังไม่พาไปเที่ยวทะเยเยย” หนูน้อยทำหน้างอนผู้เป็นพ่อเพราะวันเกิดปีนี้ป่าป๊ายังไม่ได้พาเขาไปเที่ยวที่ไหน
“สรุปจะให้ฉันจองยังไงดีคะ”
“ไปก็ไปครับ” เขาไม่เคยใจแข็งกับลูกได้สักครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็จอง 3 วัน 2 คืน มีผม น้องพีร์ แนน แล้วคุณก็ไปกับผมด้วย”
“เย้ ๆ น้องพีจะได้ไปเที่ยวทะเยแย้ววว”
“ค่ะ พรุ่งนี้ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”