"ไม่”
“เรื่องนี้...” อาจารย์หนุ่มจ้องมองบุตรีอย่างเป็นห่วง ถึงแม้ว่าตั้งแต่เด็กนางจะนิ่งสงบ มีสีหน้าท่าทางเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ ความรักใคร่ทะนุถนอมย่อมมีมากเป็นธรรมดา
หยวนจื่ออี๋เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรจึงฉีกยิ้มกว้าง “ท่านพ่อ เย็นนี้ข้าอยากกินผัดผักปวยเล้งฝีมือท่านพ่อ”
รอยยิ้มหวานของเด็กน้อยเปรียบเสมือนยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาความไม่สบายใจทั้งปวง “อี้เอ๋อร์ของพ่อช่างดวงดีเหลือเกิน วันนี้ฮูหยินลั่วมอบผักปวยเล้งให้พอดี ท่านผู้อาวุโสจิ้ง ท่านคงจะหิวแล้ว เชิญท่านพูดคุยกับบุตรสาวข้าสักประเดี๋ยว ข้าจะรีบเตรียมอาหารเย็น”
ครั้นจิ้งอวิ๋นพยักหน้ารับ หยวนเสียนจึงได้หายเข้าไปในครัว เสียงฮัมเพลงเป็นท่วงทำนองกล่อมนอนดังเอื่อยเฉื่อย เรียกรอยยิ้มบางเบาบนมุมปากของหยวนจื่ออี๋ก่อนที่มันจะจางหายไปในเวลาต่อมา
“เจ้าโกหกบิดาเรื่องที่เราเคยพบกัน” เจ้าของเรือนผมสีเหล้าองุ่นแซมขาวกล่าว
เด็กหญิงวัยห้าขวบได้ฟังเช่นนั้น แก้มขาวๆ พองออกมาเล็กน้อยในขณะที่เจ้าตัวผายมือไปยังเบาะหน้าโต๊ะไม้ตัวเตี้ยที่มุมห้อง “เชิญท่านผู้อาวุโสนั่งลงก่อน”
การโกหกสักเรื่องสองเรื่องเพื่อให้คนที่เรารักสบายใจถือเป็นสิ่งที่นางยอมรับได้ ดังนั้นนางไม่จำเป็นที่ต้องร้อนตัวแม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายจับจ้องไม่เลิกราก็ตามที
ทันใดนั้นเองภาพอันเลือนรางก็ปรากฏขึ้นในมโนภาพ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูททันสมัยสีเทาอ่อนกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาหนังสีดำ
“นี่เธอกำลังจะบอกฉันว่าเธอมองเห็นผี?”
“ไม่ใช่ผี แต่เป็นปีศาจต่างหาก”
“เหลวไหล!” หญิงสาวคนนั้นผุดลุกขึ้นจากโซฟาขณะที่จ้องเด็กหญิงอายุห้าขวบผูกเปียสองข้างในชุดอนุบาลอย่างเย็นชา “เป็นเด็กเป็นเล็กก็โกหกคำโต ปั้นน้ำเป็นตัว สมกับที่มีสายเลือดผู้หญิงคนนั้นอยู่ในตัว”
ปีศาจ?
ภาพทุกอย่างสว่างวาบขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นสีขาวโพลน หยวนจื่ออี๋กะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นผู้อาวุโสจิ้งอวิ๋นมองมาที่นางซึ่งยืนเหม่อลอยอยู่กับที่ด้วยความกังวล
อา...ภาพในอดีตชาติโผล่ขึ้นมาอีกแล้วสินะ
“หยวนจื่ออี๋?”
“ข้ามาแล้ว” ร่างเล็กป้อมขานรับเสียงแผ่วก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะฝั่งตรงกันข้าม เดิมทีนางเตรียมจะรินชาให้อีกฝ่าย แต่เพราะกาน้ำชาหนักและร้อนเกินกว่าที่นางจะถือไหว ผู้อาวุโสจึงเป็นคนรินชาให้นางกับตนเสียเอง
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” หยวนจื่ออี๋มองถ้วยน้ำชาที่วางลงตรงหน้าโดยไม่แตะต้อง ส่วนจิ้งอวิ๋นก็ยกน้ำชาขึ้นจิบด้วยทวงท่าอันสง่างามน่าเลื่อมใส
บรรยากาศภายในห้องเล็กดูหนักอึ้งกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในขั้นที่ทำให้เด็กหญิงวัยห้าขวบรู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออึดอัด ราวกับว่านางคุ้นชินกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
“ท่านอาวุโส ข้าขอถามท่าน...” เสียงเล็กน่ารักเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด “ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”
จิ้งอวิ๋นดูประหลาดใจเล็กน้อยกับคำถามอันเรียบง่ายแต่ก็ครอบคลุม มุมปากที่เรียบสนิทยกขึ้นบางเบาเมื่อนึกถึงใครบางคนในอดีต “เจ้าทำให้ข้านึกถึงใครคนหนึ่ง”
“ใครหรือเจ้าคะ”
ร่างสูงโปร่งส่ายหน้าน้อยๆ คล้ายกับยังไม่อยากพูดเรื่องนี้ “ข้าเป็นแพทย์ซึ่งผ่านทางมาโดยบังเอิญ”
“แต่เรื่องที่ท่านรู้วันเดือนปีเกิดของข้าคงมิใช่เรื่องบังเอิญกระมัง”
“หยวนจื่ออี๋” เสียงนุ่มทุ้มแม้ราบเรียบแต่กลับแฝงความนิ่มนวลเมตตา “เจ้าคงรู้ตัวใช่หรือไม่ว่าตนเองแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ”
ดวงตาของผู้ฟังสั่นระริกคล้ายผิวน้ำที่กระเพื่อมไหว ขณะที่เจ้าตัวแสร้งยิ้มหวานกลบเกลื่อน “ท่านผู้อาวุโสกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน”
“แววตาของเจ้า” เขาเกริ่นขึ้นมาเพียงเท่านี้ก็เงียบไป
หยวนจื่ออี๋กะพริบตาเล็กน้อย จิ้งอวิ๋นผู้นี้ดูท่าจะเป็นคนไม่ชอบพูด แต่การที่อีกฝ่ายกล่าวถึงดวงตาของนางมันทำให้เด็กน้อยสังหรณ์ใจแปลกๆ
“ท่านผู้อาวุโส ข้าเองก็รู้สึกว่าท่านไม่เหมือนกับท่านหมอคนอื่นๆ ที่ข้าเคยพบ” นางเอ่ยพลางยิ้มจนตาหยี “ตัวข้านี้ยังเด็กนัก เห็นทีคงต้องขอคำแนะนำจากท่าน”
“ยามจื่อ[1] แรมสิบห้าค่ำเดือนยี่เมื่อห้าปีก่อนเป็นฤกษ์อสูรภัย” จิ้งอวิ๋นกล่าวด้วยสีหน้าสงบขณะที่พินิจมองใบหน้าซีดขาวของร่างเล็ก “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี”
หยวนจื่ออี๋ที่กำลังตกใจจนหน้าถอดสีพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางรู้ตัวดีว่าตนเองไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ แต่การมาบอกว่านางเกิดฤกษ์อสูรภัยมันทำให้นางรู้สึกแย่
ไม่ใช่แค่แย่ธรรมดา... แต่แย่มากๆ
ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่แค่หมอธรรมดา แต่ยังพ่วงตำแหน่งหมอดูมาอีกต่างหาก
คนในยุคนี้หลงเชื่อการทำนายทายทักอย่างกับอะไรดี ทว่ากับนางนั้นไม่ใช่... ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ยอมให้สวรรค์หรือผู้อื่นมากำหนดชะตาชีวิตให้แก่ตนเองเป็นอันขาด
“ท่านผู้อาวุโสจิ้ง” ร่างเล็กสั่นน้อยๆ คล้ายกำลังกลั้นอารมณ์ที่ใกล้ปะทุอย่างสุดความสามารถ การถูกคนแปลกหน้ามาพูดจาเช่นนี้ใส่เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแขกของท่านพ่อ จะเสียมารยาทมากเกินไปไม่ได้ และจะให้อีกฝ่ายสงสัยในเรื่องที่นางระลึกชาติไม่ได้เช่นเดียวกัน “สิ่งที่ท่านอยากจะพูดกับข้าตามลำพังคือเรื่องดวงชะตา ‘ที่มิอาจพิสูจน์ได้’ น่ะหรือ?”
คำว่า ‘ที่มิอาจพิสูจน์ได้’ ถูกเน้นย้ำอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำนางยังทิ้งท้ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งเด็กไร้เดียงสา “อี้เอ๋อร์ช่างโง่งม หากกระทำตัวเสียมารยาทไปต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
หยวนจื่ออี๋คาดเดาว่าการแสดงออกของนางอาจจะทำให้อีกฝ่ายโกรธเคืองหรือไม่พอใจได้บ้าง หากสิ่งที่ได้รับกลับมานั้นตรงกันข้าม แม้จิ้งอวิ๋นจะยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าแววตาของเขาเปล่งประกายบางอย่างที่นางมิอาจตีความได้
จังหวะต่อไปร่างเล็กถึงกับสะดุ้งตัวเมื่อเขาลุกขึ้นจากเบาะที่นั่งแล้วเดิมอ้อมโต๊ะมาหา
ฝ่ามือใหญ่วางทาบลงบนศีรษะ ทั้งนุ่มและเย็นเสียจนหยวนจื่ออี๋เผลอปรือตาด้วยความเคลิบเคลิ้ม หลงลืมความขุ่นมัวในจิตใจไปชั่วขณะ
“หยวนจื่ออี๋ เจ้าเป็นคนพิเศษ”
นางรับฟังคำพูดของเขา ริมฝีปากบางเม้มสนิท พยายามครุ่นคิดถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายบอกกล่าวกับตนเช่นนี้
นางพิเศษ? พิเศษอย่างไร?
เพียงแค่ระลึกชาติได้ก็ถือว่าพิเศษแล้วอย่างนั้นหรือ?
“เชื่อมั่นในความพิเศษของเจ้า” น้ำเสียงของจิ้งอวิ๋นดั่งสายน้ำฉ่ำเย็น ปลอบประโลมจิตใจที่ว้าวุ่นของนางให้สงบลงกว่าเดิมเล็กน้อย
ดวงหน้าเล็กแหงนมองร่างสูงโปร่ง แพขนตางอนของเด็กหญิงขยับไหวไปมาขณะที่เจ้าตัวชักสีหน้าไม่มั่นใจออกมาเป็นครั้งแรก “พิเศษ... อย่างไรหรือเจ้าคะ”
ความไร้เดียงสาในดวงตาสีชาเรียกรอยยิ้มเอ็นดูบางเบาให้ปรากฏขึ้นบนมุมปากของผู้สูงวัยกว่า มือใหญ่ที่วางทาบบนศีรษะเล็กลูบไปมาแผ่วเบา “เด็กน้อย เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย”
“ข้า...” คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ใกล้เข้ามา
“ท่านผู้อาวุโสจิ้ง อี้เอ๋อร์ อาหารเย็นเสร็จแล้ว” เสียงของหยวนเสียนดังขึ้นมาก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึงเสียอีก
ในเมื่อนางไม่อยากให้บิดาเป็นกังวล เด็กน้อยจึงต้องเก็บงำความสงสัยเอาไว้ภายในใจพร้อมกับผายมือเชื้อเชิญแขกอย่างสุภาพ “เชิญท่านผู้อาวุโสจิ้งเจ้าค่ะ”
บุรุษในชุดสีเทาอ่อนคลุมกับด้วยเสื้อคลุมสีฟ้าปล่อยมือออกจากเรือนผมสีเปลือกไม้ ความเย็นสบายที่จางหายไปจากศีรษะส่งผลให้เด็กหญิงเผยสีหน้าเสียหายออกมาวูบหนึ่งก่อนที่มันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าเคยมีบาดแผลถึงขั้นต้องหลั่งโลหิตหรือไม่”
หยวนจื่ออี๋เติบโตมาในขณะที่สามารถระลึกชาติได้ ความทรงจำในวัยเด็กสำหรับผู้อื่นอาจจะเป็นเรื่องที่ลืมเลือนได้ง่าย แต่ไม่ใช่สำหรับนาง “ไม่เคยเจ้าค่ะ”
บิดาของนางทะนุถนอมดูแลนางอย่างดีมาโดยตลอด นางก็ไม่ใช่คนซุ่มซ่ามและมีความคิดที่โตกว่าวัยจึงไม่เคยเล่นอะไรแผลงๆ ดังนั้นจึงไม่เคยบาดเจ็บมาก่อนนอกจากเป็นหวัดหรือเป็นไข้
“จนกว่าระดูของเจ้าจะมา ห้ามเจ้าหลั่งโลหิตเป็นอันขาด”
ดวงตาสีชาช้อนมองอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก “เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ”
“มันไม่ปลอดภัย” เขาอธิบายเพียงสั้นๆ อีกเช่นเคย
หยวนจื่ออี๋นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ จิ้งอวิ๋นเป็นบุรุษที่ใช้ความรู้สึกลึกลับแต่ก็ไม่อันตราย นางเองก็เป็นเพียงเด็กห้าขวบคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องโกหก
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” นางรับปากออกไปอย่างว่าง่าย
ต่อให้เขาไม่เตือน จ้างให้นางเองก็ไม่อยากจะหาเรื่องเจ็บตัวนักหรอก
[1] ยามจื่อ คือเวลาประมาณ 23.00 น. – 00.59 น.