สิบ
เวลามิเคยหยุดเดิน
การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังยอดเขาพ้นโลกาเดิมทีใช้เวลาไม่มาก ทว่าอาการป่วยของบิดาที่ทรุดลงเป็นช่วงๆ ส่งผลให้จำเป็นต้องหยุดพักอยู่บ่อยครั้ง
และในที่สุดคณะเดินทางก็มาถึงสำนักแพทย์หัตถ์สวรรค์ในเวลาเจ็ดวันต่อมา
ตำหนักเมฆายิ่งใหญ่ตระการตาแบ่งออกเป็นสัดส่วนอย่างเหมาะเจาะ เรียบง่ายทว่าโอ่อ่ากว้างขวาง กลิ่นหอมของกำยานคลอเคลียมากับสายลม ปลอบประโลมหัวใจอันเหนื่อยล้าให้ปลอดโปร่ง ความระแวงที่ก่อกวนจิตใจมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาราวกับถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นยกออกจากอก ไม่ว่าจะลุกจะนั่งก็โล่งใจอย่างที่สุด
หยวนเสียนกับศิษย์สำนักหัตถ์สวรรค์ที่เพิ่งเข้าไปรายงานให้ผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นี้ทราบเรื่องรั้งรออยู่ด้านนอก ขณะที่เด็กน้อยวัยห้าขวบเข้าไปเผชิญหน้ากับท่านเจ้าสำนักที่มิเคยพบหน้ามาก่อนตามลำพัง
เด็กน้อยมิอาจปฏิเสธได้ว่าประหม่า ทว่าเมื่อนึกย้อนถึงความเมตตาที่ศิษย์สำนักแพทย์หัตถ์สวรรค์มีให้นางกับบิดาแล้ว นางจึงคาดเดาว่าผู้นำของพวกเขาคงมีมิตรไมตรีและจิตใจโอบอ้อมอารีไม่ต่างกัน
หยวนจื่ออี๋เดินตัวลีบเข้ามาภายในห้องที่มืดสลัว แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนหนาเข้ามาเผยให้เห็นการตกแต่งอันเรียบง่าย เน้นไปที่ผ้าโปร่งหลากสีสันซึ่งมีสีเหลือง เขียว และฟ้า อันคาดว่าเป็นสีที่สำคัญสำหรับสถานที่แห่งนี้
“นั่งลงก่อนสิ”
เสียงแหบชราซึ่งเจือความมีชีวิตชีวาส่งผลให้ผู้ที่กำลังใช้สายตาสอดส่องอย่างเพลิดเพลินสะดุ้งโหยง ร่างเล็กรีบหันกลับมาก่อนจะโค้งศีรษะให้แก่ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“หยวนจื่ออี๋คารวะท่านเจ้าสำนัก”
“อย่าได้เกรงใจเลย” อี้โหลวหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มเมตตาให้แก่ร่างเล็ก “หากเจ้าอยากขอบคุณ ก็ไปขอบคุณตงฟางฉุนหยาเถิด”
“ตงฟาง...ฉุนหยา?” เด็กหญิงทวนชื่อที่รับฟังจากท่านเจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์แผ่วเบาก่อนจะเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้านางคือชายชราร่างอ้วนที่ไม่เคยพบหน้า ด้วยเหตุนี้นางชักสีหน้าฉงนสงสัยในเวลาต่อมา “ท่านผู้อาวุโส ข้ามิได้รู้จักท่านตงฟางเป็นการส่วนตัว...”
“เขาคือเจ้าสำนักเมฆาเรือง อาจารย์ของเหวยเซียวผู้นั้นที่ไปพบเจ้าที่หมู่บ้าน”
คราวนี้ผู้ฟังชะงักเล็กน้อย แต่ก็สามารถตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว นางเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะขนแกะใจกลางห้อง อี้โหลวเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะขนเกาะทองคำบนพื้นยกสูง แม้จุดที่นางกับเขานั่งจะห่างกันอยู่พอสมควร ทว่าภายในห้องที่มีพวกเขาอยู่ตามลำพังก็สามารถได้ยินคำพูดของกันและกันได้อย่างชัดเจน
หยวนจื่ออี๋ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงคำพูด “ข้าซาบซึ้งมากที่สำนักหัตถ์สวรรค์ให้ความช่วยเหลือข้ากับบิดา”
อี้โหลวพยักหน้ายิ้มๆ ยังคงมิเอื้อนเอ่ยสิ่งใดเพราะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะมีคำถามมากมายที่อยากถามเขา
“ข้าขออนุญาตถามไถ่บางสิ่งจากท่านได้หรือไม่”
ท่านเจ้าสำนักแพทย์อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพได้ฟังเช่นนั้นมีหรือจะถือสา “เด็กน้อย อย่าได้เกรงใจเลย”
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าพอทราบมาบ้างแล้วว่าข้าพิเศษกว่าผู้อื่น” นางเว้นจังหวะ ย่นคิ้วคล้ายพยายามนึกหาคำพูดที่เหมาะสมอยู่นานจึงกล่าวต่อ “แต่มันพิเศษมากถึงขนาดทำให้ท่านเจ้าสำนักเมฆาเรืองไหว้วานให้ท่านผู้อาวุโสมาดูแลข้า... ตัวข้านั้นซาบซึ้ง แต่อีกด้านหนึ่งก็เกรงใจยิ่งนัก คือ...”
อี้โหลวหมุนกายไปหยิบน้ำชาจากโต๊ะข้างตัวขึ้นจิบ “ข้อสงสัยบางอย่าง รู้ไปก็เท่านั้น ไม่รู้ไปก็เท่านั้น ในเมื่อมีผู้ใหญ่เมตตาก็ควรรับไว้”
หยวนจื่ออี๋ก้มหน้าพลางเม้มริมฝีปาก เป็นอีกครั้งที่ผู้ใหญ่มองว่านางยังเด็กเกินไป
“เจ้าค่ะ” ร่างเล็กทำได้เพียงรับฟังในสิ่งที่เขาพูด นางไม่อวดเก่งหรือโต้เถียง จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นนางยังอ่อนหัดเรื่องทางโลก ตราบใดที่นางกับบิดายังปลอดภัยอยู่ เท่านี้ก็มากพอแล้ว
อี้โหลวทอดมองเด็กหญิง ความอดทนฉายชัดอยู่ในการกระทำและดวงตาสีชาของอีกฝ่าย
สิ่งที่จิ้งอวิ๋นกล่าวไว้นั้นถูกต้อง หยวนจื่ออี๋มีความคิดอ่านที่โตเกินวัย ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความด้อยประสบการณ์ของตนเอง
...น้อยคนนักที่จะทำได้เยี่ยงนี้
“ข้ารับปากตงฟางฉุนหยาไว้แล้วว่าจะดูแลพวกเจ้าสองพ่อลูกเป็นเวลาสามปี”
คราวนี้ผู้ที่นิ่งเงียบเริ่มมีท่าทีตอบสนอง “สามปี?”
ร่างในชุดเด็กชายนิ่งงันไปพักใหญ่ ความจริงที่กระแทกเข้าใส่ประหนึ่งถูกตบหน้าฉาดใหญ่ เจ็บจนชาไปจนถึงขั้วหัวใจ
ที่แท้สิ่งที่หรงเสี่ยเคยพูดเอาไว้นั้นถูกต้อง... บิดาของนางเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
สามปี...อีกแค่สามปีเท่านั้น
แม้จะเริ่มทำใจได้ส่วนหนึ่งแล้ว ทว่าคำว่า ‘สามปี’ มันก็กะทันหัน ยากเกินกว่าที่นางจะรับมันได้ทันทีอยู่ดี
น้ำตาของเด็กน้อยระเรื่อขึ้นที่ขอบตาร้อนผ่าว ก่อนที่มันจะไหลรินอาบแก้มนวลโดยไร้เสียงสะอื้น
นางอยากจะพูดแต่ริมฝีปากกลับหนักอึ้ง อยากจะคิดหาทางออกแต่ก็คิดไม่ได้ สรรพสิ่งล้วนมืดแปดด้าน พบเจอแต่เพียงทางตัน ปราศจากหนทางทั้งปวง
อี้โหลวมองหยวนจื่ออี๋ก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ในเมื่อมันเป็นชะตากรรม นางก็มิอาจหลีกเลี่ยง
“ท่านตงฟางกับข้ามีความเห็นตรงกันว่า เจ้ากับบิดาควรพำนักอยู่ที่สำนักหัตถ์สวรรค์แห่งนี้เสียสามปี ส่วนเรื่องจะไปศึกษาร่ำเรียนที่สำนักพรตหลังจากนั้นหรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า”
ดวงตาสีชาโศกศัลย์เบือนกลับมายังผู้พูด เมื่อคิดว่าจะต้องอยู่ต่อโดยไร้บิดาก็สั่นคลอนความมั่นคงหนึ่งเดียวในชีวิตจนเจ้าตัวสับสนไปหมด “ข้า...”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่เมตตา”
เสียงทุ้มไร้น้ำหนักขัดการสนทนาขึ้นมา หยวนจื่ออี๋เบิกตากว้างหันไปยังด้านหลัง ตะลึงงันกับความประจวบเหมาะของชายหนุ่ม
“ท่านพ่อ...” นางรีบปาดน้ำตา แต่มันกลับได้ผลตรงกันข้าม ยิ่งได้เห็นหน้าบิดา ยิ่งทำให้นางใจหายและเสียใจเสียจนหยาดน้ำหลั่งรินออกมาจากดวงตามากเป็นทวีคูณ
“แค็กๆ” หยวนเสียนยกมือขึ้นมาปิดปาก กระชับผ้าคลุมขนหมีที่ห่มอยู่บนบ่ามากขึ้นเพื่อหาไออุ่นก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าได้ยินหมดทุกอย่างแล้ว”
อาจารย์หนุ่มผู้รู้ตัวว่าเหลือเวลาอยู่ไม่มากตรงเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าชายชราผู้เป็นเจ้าสำนักแพทย์อันดับหนึ่งในยุทธภพ
“ต่อแต่นี้... ขอให้ท่านได้โปรดดูแลอี้เอ๋อร์ด้วย!” เขาโขกศีรษะลงบนพื้นเย็น ทั้งน้ำเสียงและการกระทำนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
อี้โหลวหลุบตามองหยวนเสียน บัณฑิตผู้นี้ป่วยหนักอาการยังทรงตัว ที่นี่เป็นสำนักแพทย์ซึ่งอาจเป็นที่สุดท้ายที่เขาอาจหวังพึ่งพิงให้รักษาตัว ทว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับขอร้องอ้อนวอนให้ดูแลบุตรสาวแทนที่จะเป็นตนเอง
ความรักของบุพการียิ่งใหญ่ดุจภูผา กว้างใหญ่ดั่งผืนมหาสมุทร
...ช่างเป็นบิดาที่ประเสริฐโดยแท้
ชายชราคิดพลางเบือนสายตาไปยังหยวนจื่ออี๋ เห็นนางคลานเข่าเข้ามาสวมกอดบิดาก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ
...ช่างเป็นบุตรที่กตัญญูโดยแท้
คนหนึ่งประเสริฐ อีกคนหนึ่งกตัญญู แต่กลับต้องมาพบเจอโศกนาฏกรรมเช่นนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว” เจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์ทอดถอนหายใจเสียงดัง “พวกเจ้าคงเหน็ดเหนื่อยกันมามาก รีบไปพักผ่อนเถิด”
เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ช่วงเวลาที่สองพ่อลูกจะได้อยู่ร่วมกันมีจำกัด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่แย่งเวลาจากพวกเขาไปมากกว่านี้
เจ้าสำนักหัตถ์สวรรค์ครุ่นคิดพลางเบือนสายตามองผืนฟ้าด้านนอกผ่านช่องว่างของม่านทึบ รับรู้ถึงความแปรปรวนของอากาศรอบตัวที่หนักอึ้งมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เด็กหญิงเดินทางมาถึง
หยวนจื่ออี๋ทำความเคารพชายชราก่อนจะลุกขึ้นพยุงบิดา หากมิทันได้ก้าวเดินก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงดึงสายตากลับมายังอี้โหลวอีกครั้ง “แล้วตระกูลหยวน...”
“ที่ผ่านมาเมืองหลวงฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวันจนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ผู้คนบาดเจ็บล้มป่วย คาดว่าอีกไม่กี่วันราชสำนักอาจต้องขอความช่วยเหลือจากสำนักหัตถ์สวรรค์” ผู้อาวุโสกล่าวพลางรินน้ำชาเพิ่มลงถ้วย ควันสีขาวล่องลอยขึ้นในอากาศชวนให้จิตใจผู้มองรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
“เช่นนั้นก็หมายความว่า...”
อี้โหลวยกยิ้มกว้างขึ้น ยกถ้วยชาขึ้นมาปิดริมฝีปากพลางกล่าว “สำนักหัตถ์สวรรค์จะดูแลเรื่องความปลอดภัยของพวกเจ้าสองพ่อลูกเอง”