ญาติ [ต้น]

1751 คำ
สี่ ญาติ  “อี้เอ๋อร์ ชุดของเจ้าคับอีกแล้วใช่หรือไม่” เด็กน้อยซึ่งกำลังนั่งเหยียดขาอย่างเกียจคร้านก้มมองกางเกงสีเทาขุ่นที่เต่อเลยข้อเท้าขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะหันไปยิ้มแหยๆ ให้บิดา “ท่านพ่อ ดูเหมือนข้าจะสูงขึ้นอีกแล้ว” สำหรับเด็กหญิงวัยห้าขวบในยุคนี้ การสูงประมาณสี่ฉื่อ[1] นั้นถือว่ามากกว่ามาตรฐานอยู่พอสมควร แต่สำหรับนางซึ่งสูงประมาณหนึ่งร้อยสองเซนติเมตรโดยประมาณ นำเด็กคนอื่นๆ ในวัยไล่เลี่ยกันชนิดที่เรียกได้ว่าทิ้งห่างเลยทีเดียว หากเป็นโลกปัจจุบัน นางคงมีความสุขที่ตนเองคงจะเติบโตกลายเป็นนางแบบสาวที่ใครๆ ต่างก็ต้องอิจฉา ทว่าสำหรับยุคนี้มันไม่เหมือนกัน... ผู้คนนิยมชมชอบสตรีที่ตัวเล็กบอบบาง น่าทะนุถนอมมากกว่าสตรีตัวสูง แต่ก็เอาเถิด... ไม่ว่านางจะเติบโตไปเป็นเช่นไร นางก็จะรักตนเองในสิ่งที่ตนเองเป็น “อยากได้กางเกงตัวใหม่หรือไม่” ผู้เป็นบิดาที่ยังคงถือหนังสือตำราเก่าซึ่งกระดาษกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มไว้ในมือ สำหรับหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้ การหาซื้อตำราซึ่งทำจากกระดาษเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก นานๆ จะมีคนผ่านทางหอบหิ้วหนังสือตำราจากเมืองหลวงมาขายต่อในราคาแพง และก็มีแต่บิดาของนางเท่านั้นที่ยอมจ่ายเงินซื้อตำราบางเล่มกลับบ้านมาอ่าน แลกกับการกินข้าวต้มเปล่าๆ ไปหลายมื้อ นางจึงพลอยได้รับโอกาสในการร่ำเรียนไปด้วย “ท่านพ่อ ไว้รอขากางเกงเต่อกว่านี้ค่อยเปลี่ยนใหม่ก็ได้” หยวนจื่ออี๋กล่าวเสียงเรียบเรื่อยเพราะไม่อยากให้บิดาควักเงินจ่ายซื้อใหม่ เสื้อผ้าของเด็กมักจะสิ้นเปลืองอยู่เสมอ เผลอไปครู่เดียวประเดี๋ยวก็โตจนใส่ไม่ได้ “เห็นฮูหยินกุ้ยบ่นว่าชุดของบุตรชายเล็กเกินไปจำต้องเปลี่ยนใหม่เช่นกัน” ชายหนุ่มลูบคางที่เริ่มมีเคราขึ้นเบาบางของตนเอง “แต่ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าสวมใส่ชุดเด็กผู้ชาย” นางส่ายหน้า “ข้าไม่ถือเจ้าค่ะ หากฮูหยินกุ้ยยอมยกให้ ข้าก็ยินดีรับไว้” ชุดของสตรีโบราณค่อนข้างกรุยกรายทั้งยังมีหลายชั้น โดยเฉพาะของบรรดาคุณหนูผู้สูงศักดิ์ยิ่งมีลวดลายปักและผ้าหลากสีราคาแพง ทว่าสำหรับเด็กชาวบ้านเยี่ยงนาง ขอเพียงแค่นำชุดเก่าๆ จากคนข้างบ้านมาปะชุนใหม่ก็ใส่ได้แล้ว “อี้เอ๋อร์ของข้ากลายเป็นคนขี้เหนียวเสียแล้ว” หยวนเสียนพึมพำ “ข้าไม่เคยสอนให้เจ้าเป็นคนขี้เหนียว” แก้มของร่างเล็กพองโตขึ้น “ท่านพ่อ ข้ามิได้ขี้เหนียวเสียหน่อย!” ผู้เป็นบิดาหัวเราะอย่างขบขัน มือที่เว้นว่างจากตำราลูบตักของตนเองเบาๆ “ขี้เหนียวถือเป็นเรื่องดี” หยวนจื่ออี๋มองค้อนอีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “ท่านพ่อแกล้งข้า” ในเมื่อมีน้อยก็ควรจะประหยัด เรื่องนี้ถูกต้องที่สุดแล้วมิใช่หรือ “เอาเถิดๆ” อีกฝ่ายยังคงเหลือเสียงหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ ก่อนที่จะหันไปให้ความสนใจตำราในมือต่อ “ท่านพ่อ” เด็กน้อยตั้งข้อสงสัย “ท่านจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าสิ่งที่เขาเขียนไว้ในตำราเป็นความจริง” หยวนเสียนเบือนใบหน้ากลับมายังบุตรสาว “อี้เอ๋อร์” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งนัก “ตัวอักษรทุกตัว คำทุกคำมีความหมาย พวกมันไม่เคยโกหกหรือทรยศตัวตนของตนเอง ผู้ที่เรียงร้อยมันต่างหากที่บิดเบือนมันด้วยทัศนคติ ความเชื่อ อคติ และความชอบของตนเอง” หยวนจื่ออี๋พยักหน้าน้อยๆ สิ่งที่บิดากล่าวมานั้นมีเหตุผล สมแล้วที่เป็นอาจารย์ “แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” “วิจารณญาณ” เขาเว้นจังหวะ “ที่ข้าอ่านตำราต่างๆ ไม่ใช่เพราะว่าข้าเชื่อในทุกสิ่งที่เขาเขียน แต่เป็นเพราะข้าต้องการซึมซับคำทุกคำในตำราเหล่านั้นเพื่อกลั่นกรองผ่านวิจารณญาณของตนเอง” ร่างเล็กได้ฟังคำอธิบายของบิดาแล้วรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความรู้และความคิดที่ลึกซึ้งมากกว่าผู้อื่น ย่อมหมายความว่าท่านพ่อคงจะมาจากครอบครัวที่มีการศึกษาดีพอสมควร การที่ต้องมาอยู่ในถิ่นกันดารห่างไกลความเจริญเยี่ยงนี้... กลับเป็นนางเสียอีกที่รู้สึกผิด หลงคิดว่าไปตนเองอาจกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้บิดาต้องย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ เด็กน้อยคิดพลางเท้าแขนลงบนโต๊ะและขยับนิ้ววนเล่น ทว่าความเจ็บปวดที่แล่นผ่านเข้าสู่ปลายนิ้วก็ทำให้นางเผลอส่งเสียงร้องออกมา “โอ้ย!” หยวนเสียนได้ยินเสียงบุตรีร้องก็ทิ้งตำราในมืออย่างตกใจ “อี้เอ๋อร์! เจ้าเป็นอันใดไป” “ขออภัยด้วยท่านพ่อ” เด็กน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด เป็นเพราะนางเผลอส่งเสียงร้องจึงทำให้บิดาพลอยตกใจไปด้วย “ข้าเพียงแค่ถูกเสี้ยนตำเท่านั้น” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือเล็กป้อมของหยวนจื่ออี๋ขึ้นมาสำรวจ พบว่าที่ปลายนิ้วชี้มีเสี้ยนไม้ตำเข้าไปค่อนข้างลึกพอสมควร “อี้เอ๋อร์ เสี้ยนไม้จำเป็นต้องเอาออก มิเช่นนั้นจะยิ่งระบม” “เอาออกอย่างไรหรือเจ้าคะ” หยวนจื่ออี๋นิ่วหน้าเมื่อปลายนิ้วของผู้เป็นบิดาสัมผัสถูกจุดที่นางโดนตำ “รอข้าประเดี๋ยวหนึ่ง” ร่างสูงโปร่งปล่อยมือก่อนจะหายลับเข้าไปในห้องนอน เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ถือเข็มเย็บผ้าอยู่ในมือ “จำต้องใช้หัวเข็มสะกิดออกมา” เด็กน้อยนิ่วหน้า “จะเจ็บมากหรือไม่” “ไม่เป็นไรอี้เอ๋อร์ ไม่เป็นไร” ผู้เป็นบิดาเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน เมื่อนำเข็มไปรนไฟแล้วก็ดึงนิ้วเล็กไปสะกิดเอาเสี้ยนที่ตำลึกอยู่ออกอย่างเบามือ เสี้ยนไม้ที่ตำหลุดออกไปแล้วพร้อมกับเลือดหยดหนึ่ง หยวนจื่ออี๋หลงลืมความเจ็บไปชั่วครู่ ขณะที่ใบหน้ากลมซีดเผือดลงเรื่อยๆ ผู้อาวุโสจิ้งอวิ๋นเตือนมิให้นางหลั่งเลือดจนกว่าจะมีระดู แต่อีกฝ่ายคงลืมเลือนไปเสียสนิทใจว่า... เพียงแค่ดึงเสี้ยนที่ตำนิ้วออกก็สามารถทำให้หลั่งโลหิตได้แล้ว หากนางหลั่งเลือดแล้วจะเป็นเช่นไรต่อ... ร่างเล็กขนลุกซู่โดยไม่ทราบสาเหตุ นางเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ ภายในห้องก็มืดครึ้มประดุจยามราตรี หยวนจื่ออี๋เบือนสายตาไปมองด้านนอก พบว่าท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งถูกเมฆาก้อนใหญ่บดบังจนมิอาจเห็นแสงอาทิตย์ ค่ำคืนนี้มีพายุพัดผ่านอย่างรุนแรง ต้นไม้ใหญ่หักโค่นล้มทับบ้านของนาง หลังคาที่รั่วเป็นรูใหญ่ทำให้น้ำไหลซึมเข้ามาจนอยู่ไม่ได้ นับว่ายังโชคดีที่บิดาของเสี่ยวจูผ่านทางมาจึงชักชวนให้พวกนางมานอนค้างด้วย ด้วยความที่เสื้อผ้าข้าวของทุกอย่างของนางเปียกชุ่มยับเยินไปหมด ฮูหยินฟางจึงแบ่งชุดของเสี่ยวจูมาให้นางสวมใส่เป็นการชั่วคราว รุ่งเช้าท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆหนา ทว่าฝนหยุดโปรยปรายลงมาแล้ว หยวนเสียนตัดสินใจวกกลับไปดูสภาพของเรือนอีกครั้งเพื่อพิจารณาดูการซ่อมแซม ส่วนหยวนจื่ออี๋อยู่เรือนเดียวกับเสี่ยวจูและฮูหยินฟาง “อาอี๋ น้ำชาของเจ้าเย็นชืดหมดแล้ว ไว้ข้าจะขอให้ท่านแม่ต้มน้ำมาใหม่” เด็กชายร่างผอมเอ่ยพลางผุดลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้น หยวนจื่ออี๋ส่ายหน้าปฏิเสธ เมื่อคืนนางกระสับกระส่ายนอนไม่ค่อยหลับ ทั้งยังไม่ค่อยกระหายน้ำหรือหิวข้าว “เสี่ยวจู พวกเราเป็นสหายกัน ทำตัวตามสบายเถิด ฮูหยินฟางเองก็กำลังยุ่งอยู่กับงานทำความสะอาด” “ไม่ได้หรอก” เสี่ยวจูชักสีหน้าขึงขัง “ท่านแม่บอกว่า หากมีแขกมาเยี่ยมเยือนก็ต้องดูแลเอาใจใส่ให้ดีที่สุด” เด็กหญิงมองหน้าสหายแล้วกลั้นขำ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบไล้ศีรษะเสี่ยวจูราวกับผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กคนหนึ่ง “เป็นเด็กดีจังเลยนะ” นางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางเบาที่มุมปาก “เจ้าปั้นหน้าเยี่ยงนี้ยิ่งทำให้ข้าไม่หิวน้ำเข้าไปใหญ่” ใบหน้าของเด็กชายแห้งเหี่ยวลงในเวลาต่อมา “อาอี๋ เจ้าจะไม่ไปเมืองหลวงกับพวกเราจริงๆ หรือ” เป็นอีกครั้งที่หยวนจื่ออี๋พยักหน้าโดยปราศจากความลังเล “ข้า...กับคนอื่นๆ คงคิดถึงเจ้า” เสี่ยวจูสีหน้าเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด “ข้าไม่อยากให้พวกเราแยกจากกันเลย” “วันนั้นมันยังมาไม่ถึงเสียหน่อย” ร่างเล็กเอ่ยปลอบก่อนจะฉีกยิ้มหวังเปลี่ยนบรรยากาศ “ไหนๆ วันนี้เราก็ออกไปเล่นข้างนอกกันไม่ได้ เช่นนั้นเราก็มาหาอะไรสนุกๆ ทำ...” หยวนจื่ออี๋กล่าวยังมิทันจบประโยคก็มีเสียงของฮูหยินฟางดังแทรกขึ้นมากลางคัน “อา...ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสอง...” “ที่นี่มีคนแซ่หยวนอยู่หรือไม่” “ชะ...เชิญทางนี้” หยวนจื่ออี๋ตัวเกร็งสะดุ้งยืนขึ้นมา ยามนี้ท่านพ่อก็ไม่อยู่ที่นี่ เพียงแค่เสียงทุ้มราบเรียบไร้อารมณ์จากด้านนอกก็ทำให้นางรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว จิตใจไม่สงบเอาเสียเลย นางไม่อยากพบหน้าผู้ที่ถามถึงคนแซ่หยวน ทว่าอีกใจหนึ่งก็สงสัยใคร่รู้ แอบคาดเดาไปเองว่าอาจจะเป็นญาติมิตรของท่านพ่อจากเมืองหลวงมาออกตามหา ในขณะที่เด็กหญิงกำลังตัดสินใจอยู่นั่นเอง เสียงฝีเท้าจากด้านนอกก็ดังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งบานประตูเปิดออก เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มสองคนหน้าตาคล้ายคลึงกันแต่งกายหรูหราโอ่อ่า ทั้งสองคนรวบผมเกล้าเป็นมวยสูง ขณะที่ข้างกายห้อยหยกทรงกลมแกะสลักอักษรหยวนเอาไว้อย่างเด่นชัด [1] 1 ฉื่อ มีค่าประมาณ 22.7 – 23.1 เซนติเมตร
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม