พิรุณพรำ พรรณพฤกษา ระเริงรื่น
เหล่าปักษี บินหวนคืน พนาสัณฑ์
ผู้เปลี่ยวเหงา ร่ำสุรา เขียนภาพฝัน
ตัดฟ้อจันทร์ มิฉายส่อง สู่ดวงใจ
ตอนที่ 6
“คุณชายท่านนั้นเป็นใคร”
อึ้งย้งมองตามร่างสูงสง่าของชายหนุ่มที่เดินออกมาจากจวนนายอำเภอด้วยความตะลึงงัน นางแอบเดินตามกลุ่มทหารองครักษ์ของจวนคายซินมาด้วยความหวังว่าจะได้พบกับท่านอ๋องสามหยางหลง แต่การได้พบเห็นชายหนุ่มรูปงามปานเทพบุตรผู้นี้แทนก็ไม่ถือว่าเสียแรงเปล่า
“นายอำเภอคนใหม่ของลู่เจ๋อ ชื่อคุณชายซือเหยีียนเจ้าค่ะท่านหญิง”
เข่อซินหญิงรับใช้คนสนิทของกงเก๋อเก๋ออึ้งย้งมองตามนายหญิงแล้วรีบร้อนสาธยาย
“นายอำเภอคนใหม่ของเมืองลู่เจ๋อ หนุ่มแน่นหล่อเหลาขนาดนี้เชียวรึ”
อึ้งย้งเอ่ยเสียงเบาเหมือนรำพันกับตัวเอง แม้ซือเหยียนจะรับจดหมายจากทหารองครักษ์ของจวนคายซินและเดินกลับเข้าไปในจวนแล้ว แต่นางก็ไม่อาจตัดใจเดินจากจุดที่ยืนอยู่ไปได้โดยง่าย
“นอกจากจะรูปงามแล้ว ยังชาติตระกูลดีเป็นบุตรชายคนเดียวของตระกูลซือเศรษฐีใหญ่แห่งเมืองซือโฉว เชียวนะเจ้าคะท่านหญิง”
“คนอะไรเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้างดงามแย้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินคุณสมบัติของซือเหยียน ทว่าก็ต้องหุบฉับลงทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องขุ่นเคืองหัวใจบางอย่าง
“เพียบพร้อมทุกอย่าง ฮึ! กลัวแต่จะตายด้านเช่นใครบางคน” อึ้งย้งทำเสียงดูถูกดูแคลน
“ท่านหญิงเจ้าคะ แต่บ่าวได้ยินมาว่า...”
เข่อซินสาวรับใช้คนสนิทของอึ้งย้งยกชายแขนเสื้อปิดบังเสียงหัวเราะคิกคัก ทำนัยน์ตาแพรวพราว แต่เล่นตัวไม่ยอมกล่าวต่อจนจบ
“ได้ยินมาว่าอย่างไร”
เข่อซินมองซ้ายแลขวา เห็นว่าปลอดผู้คนอยู่ใกล้บริเวณนั้นจึงกล่าวต่อ
“บ่าวได้ยินข่าวลือที่กระฉ่อนมาจากหอนางโลมว่า อาวุธส่วนตัวของคุณชายซือใหญ่โตเทียบเท่าเครื่องเพศของม้าหนุ่มและยังแข็งขังตั้งไม่ล้ม ลีลารักไร้เทียมทาน”
“เจ้าแน่ใจรึว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอย”
“แน่ใจเจ้าค่ะ วันก่อนบ่าวเห็นแม่นางซู่ฮวาดาวเด่นของหอคณิกาชื่อดังตบตีกับนางโลมซ่องอื่นที่คิดจะแย่งคุณชายซือไปจากอกนาง”
“ซู่ฮวาคณิกาอันดับหนึ่งของลู่เจ๋อถึงขนาดลดตัวไปตบตีกับนางโลมชั้นต่ำเพื่อแย่งผู้ชาย แสดงว่าคุณชายซือผู้นี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา”
อึ้งย้งยิ้มระรื่นในหน้า นอกจากท่านอ๋องสามหยางหลงก็เห็นจะมีเพียงคุณชายซือเหยียนที่มีคุณสมบัติคู่ควรกับนางและที่สำคัญเขาเป็นชายแท้ทั้งแท่งอย่างที่สตรีฝันหา ในเมื่อนางไม่เป็นที่ต้องการของชินอ๋องผู้เฉยชาน่าเบื่อหน่าย อึ้งย้งก็ยังมีเป้าหมายใหม่ที่ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่า ไฉนเลยต้องอดเปรี้ยวเพื่อคนตายด้านให้เสียเวลา
หยางหลงสังเกตุเห็นว่าทุกเช้าหลิวอี้เฟยจะต้องเดินผ่านตรอกทางเดินเล็กๆ ข้างสวนดอกท้อเพื่อไปเก็บสำรับอาหารจากห้องทำงานของอาจารย์ฟ่านเจิงบนหอสมุด จึงมาดักรอนางตรงนี้
เพราะทุกครั้งที่พบกัน หลิวอี้เฟยมักจะก้มหน้าก้มตาจนคางแทบจรดกับอกและเร่งฝีเท้าเดินหนีเขาไปเหมือนหยางหลงเป็นเสือเป็นจระเข้ ทิ้งให้เขามองตามหลังนางเก้อเหมือนสุนัขมองเงาก้อนเนื้อในน้ำ ทว่าคราวนี้หยางหลงจะไม่ปล่อยให้นางทำกับเขาเช่นนั้นอีก
เขาตั้งใจออกมายืนนางด้วยความมาดหมายจะใช้โอกาสสนทนากับหลิวอี้เฟยให้สำเร็จ
“อรุณสวัสดิ์” หยางหลงกล่าวทักทายและฉีกยิ้มกว้าง ขณะยืนกอดอกขวางทางเดินสัญจร
“อรุณสวัสดิ์” นางพยักหน้าทักทายตอบเสียงเบาและใช้สายตามองข้ามไหล่ของหยางหลงให้เขารู้ตัวว่ากำลังยืนขวางทางเดิน
ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเพิกเฉยเสีย
“พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลร่วมกันข้ามวันข้ามคืน เจ้าไม่คิดจะทำความรู้จักกับข้าบ้างรึ”
หยางหลงชวนนางพูดคุยและจ้องใบหน้าหวานล้ำไม่วางตา ได้ใกล้ชิดกับนางเพียงแค่นี้หัวใจของเขาก็มีความสุขจนแทบจะพาร่างลอยขึ้นฟ้า
“ข้าชื่อว่าหลิิวอี้เฟย คิดว่าท่านหยางหลงก็คงทราบดีอยู่แล้ว” หลิวอี้เฟยตอบเสียงสั่น รู้สึกขนลุกไปหมดเพราะถูกคนที่ไม่อยากเผชิญหน้าจ้องเอาๆ
“ข้าคงน่ารังเกียจมากจนเจ้าไม่อยากเสวนาด้วย”
“ท่านไม่น่ารังเกียจสักนิดเพียงแต่..”
“เพียงแต่อะไรรึ” คิ้วเข้มของหยางหลงเลิกขึ้นสูง เอ่ยถามน้ำเส่ียงเฉียบขาดจนคนฟังรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขาคาดคั้น
“ข้ามีคู่หมั้นแล้ว” หลิวอี้เฟยรีบกัดปากตัวเองเมื่อพลั้งเผลอพูดอะไรโง่ๆออกไป และเงยหน้ามองหยางหลงทันทีด้วยความตกใจ
ทว่าเมื่อมองสบตากับเขาตรงๆ นางกลับรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมากลางใบหน้า มือไม้พาลพากันอ่อนเปลี้ยจนแทบทำถาดสำรับอาหารร่วงหล่น โชคดีที่หยางหลงมือไวนักและเขาช่วยคว้าเอาไว้ได้ทัน
“เจ้าไม่สบายรึ” หยางหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอนาทร
“ข้า... ข้าหน้ามืด”
ความอับอายแล่นพล่านไปทั่วร่าง ใบหน้าของนางร้อนวูบเย็นวาบราวถูกไฟลวกและถูกพายุหิมะสาดกระทบพร้อมๆกัน หากเขารู้ว่าแท้จริงแล้วที่นางมือไม้อ่อนเพราะถูกความหล่อเหลาของเขาเล่นงานหลิวอี้เฟยคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ตรงไหน
“ให้ข้าอุ้มเจ้าไปส่งที่พักดีกว่า”
กล่าวไม่ทันจบประโยค หยางหลงก็รีบวางถาดสำรับอาหารบนพุ่มไม้แล้วช้อนอุ้มร่างบางไว้ในอ้อมแขนอย่างรวดเร็วโดยที่หลิวอี้เฟยไม่ทันตั้งตัวแบบถือวิสาสะ
“อย่า! ไม่! ข้าต้องเอาสำรับไปเก็บโรงครัว”
นางรีบพูดเร็วปรื๋อ มือน้อยผลักไสเขาพัลวัน ทว่าคนร่างสูงใหญ่ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านแม้แต่เส้นขน
“ข้าจะกลับมาเก็บถาดพวกนี้เอง” เขากล่าวน้ำเสียงเรียบเหมือนออกคำสั่งกับทหาร ใบหน้าหล่อเหลาวางดูเฉยไม่มีพิรุธ มีเพียงแววตาที่วูบไหวด้วยความหมายที่หากสังเกตุเห็นจะรู้ว่าเจ้าตัวกำลังยินดีปรีดามากเพียงไหน
“ปล่อยข้าเถิด ข้าเดินเองได้”
นางดิ้นขลุกขลักอย่างกระอักกระอ่วน ยิ่งเมื่อเขาพาเดินผ่านบริเวณที่มีผู้คนยืนสนทนากันอยู่ตามรายทาง หลิวอี้เฟยยิ่งขวยอายจนอยากกลั้นหายใจให้ตัวเองเป็นลมหรือหมดสติไปเสีย ทว่ายิ่งดิ้นอ้อมกอดแข็งแรงก็ยิ่งกระชับแน่นจนอึดอัด
“อยู่นิ่งๆเถิด เจ้าหน้ามืดจนเกือบทำถาดสำรับตกหล่นเสียหาย พรุ่งนี้เราต้องเดินทางไกลขึ้นเขาลงห้วย ข้าไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เจ้าเดินกลับเรือนนอนเอง”
หลิวอี้เฟยปิดปากเงียบและหลับตาลง หลบสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่หันหน้าเข้าหากันแล้วทำเสียงซุบซิบ ขณะลอบมองมายังนางกับหยางหลง
“ถึงเรือนนอนแล้ว ปล่อยข้าลงเถิด”
นางขอร้อง ใจจริงแทบอยากจะกระโดดลงไปยืนบนพื้นเสียเดี๋ยวนั้น
เห็นนางกระวนกระวาย หยางหลงนึกสงสารจึงวางหลิวอี้เฟยลง แม้จะรู้สีึกเสียดายแทบขาดใจ
“จะให้ข้าไปเรียกหมอมาดูอาการเจ้าดีหรือไม่”
“ไม่... ไม่ต้องลำบากหรอกข้าดีขึ้นมากแล้ว”
นางตอบอย่างรีบร้อน ดวงตากลมโตยังเบิกกว้างเหมือนคนยังไม่หายตกใจ
เห็นหยางหลงยิ้มขันเหมือนผู้ใหญ่รู้ทันเด็ก หลิวอี้เฟยจึงรู้สึกตัวและรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
“ขอบคุณท่านมาก”
นางโค้งตัวกล่าวขอบคุณหลายครั้ง พลางบีบมือตัวเองอย่างขวยอาย เพราะทำอะไรไม่ถูกและเขาก็ไม่ยอมกลับไปเสียที
“ด้วยความยินดี”
หยางหลงเห็นนางไม่เป็นตัวของตัวเองก็รู้สึกปลาบปลื้มเสียจนหุบยิ้มไม่ลง หัวใจพองโตคับอกจนเผลอลืมหายใจ
เพื่อนร่วมห้องของหลิวอี้เฟย พากันวิ่งกรูออกมาจากเรือนนอนทันทีที่หยางหลงหันหลังเดินกลับไป หลายคนยืนทำตาลุกเอามือปิดปากขณะมองตามหลังเขาไปจนสุดสายตา หลายคนกรูกันมาลากตัวหลิวอี้เฟยเข้าเรือนนอนเพื่อคาดคั้นถามหาสาเหตุที่นางถูกเขาอุ้ม
ท่าทางเหม่อลอยนำถ้วยชามที่ล้างแล้วมาล้างซ้ำหลายรอบของหลิวอี้เฟย สร้างความแปลกใจให้แก่นางเล่งหงส์แม่ครัวของบ้านพิณสวรรค์ยิ่งนัก เพราะปกติแล้วหลิวอี้เฟยเป็นคนที่ทำอะไรว่องไวแต่เป็นระบบระเบียบเสมอ
“พอเถิดอี้เฟย ล้างแค่สองรอบจานก็สะอาดเกินพอแล้ว” เล่งหงกล่าวเตือน พลางส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู
“อี้เฟยขอโทษท่านป้าหงส์”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ทำให้นางรู้สึกผิด เหมือนกับกำลังทรยศต่อความรักของซือเหยียนและนึกกังวลไปถึงการเดินทางในวันพรุ่ง นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นหญิงใจง่ายหลายรัก เข้าใกล้ใครก็หวั่นไหวตัวอ่อนใจอ่อน
“เจ้าไม่สบายรึ”
เล่งหงส์พิศมองใบหน้างามล้ำของสาวน้อย
“ข้าสบายดี ขอบคุณท่านป้าหงที่เป็นห่วง”
“ข้าต่างหากต้องขอบใจ เจ้ามีเรื่องกลัดกลุ้มอะไรหรือ”
เล่งหงส์เสี่ยงโยนหินฟังเสียเจ้าทุกข์ นางอาบน้ำร้อนมาก่อนย่อมดูออกว่าหลิวอี้เฟยมีบางอย่างผิดปกติ
“ข้ากังวลที่จะต้องเดินทางไกลกับผู้ชายแปลกหน้า”
หลิวอี้เฟยยอมเปิดปากปรับทุกข์กับเล่งหงส์ในที่สุด
พอได้พูดสิ่งที่รู้สึกอึดอัดออกไปบ้าง นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้น
“เรื่องแค่นี้เอง... เอ๋ หรือว่าไม่แค่นี้”
ช่างไร้เดียงสาเสียจริง! หญิงสูงวัยขบขัน พลางหรี่ตามองผู้อ่อยวัยกว่าอย่างนึกรู้ทัน
“แค่นี้จริงๆ”
หลิวอี้เฟยหน้าร้อน รีบหันหลังให้สายตารู้ทันของนางเล่งหงส์ พลางทำทีเป็นวุ่นวายกับการเช็ดจานชามให้แห้ง แล้วนำไปเก็บใส่ตะกร้าหวายอันใหญ่
“เอาเถิด เอาเถิด ถ้าเจ้าไม่ต้องการที่ปรึกษาข้าก็จะไม่ทำตัวสู่รู้”
เล่งหงส์พูดพลางหัวเราะเสียงเบา ก่อนจะชวนนางคุยเรื่องอื่น ที่คิดว่าหลิวอี้เฟยน่าจะให้ความสนใจมากกว่า
“เจ้าเคยบอกว่าคนรักเดินทางไปสอบจอหงวนที่เมืองลู่เจ๋อใช่รึไม่”
“ผลสอบเป็นเช่นไรหรือ ข้า… ยังไม่ได้ข่าว”
หลิวอี้เฟยตอบเสียงเบา
ครุ่นคิดไปถึงซือเหยียน จำได้ว่ากำหนดการประกาศผลสอบล่วงเลยมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าซือเหยียนกลับเงียบหายไม่ยอมส่งข่าวคราว และนางก็ไม่ต้องการเขียนจดหมายไปคาดคั้นเอาคำตอบเพราะหากซือเหยียนสอบตก ก็จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเขา จึงได้แต่รอ
“เฮ้อ... เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับวาสนา เจ้าก็อย่าได้คิดมาก”
นางเล่งหงส์เห็นผู้อ่อนวัยกว่ามีท่าทางเซื่องซึม ก็กล่าวปลอบใจแล้วเดินไปหยิบย่ามผ้านำมายื่นให้หลิวอี้เฟย ตอนที่นางจัดเก็บจานชามกอบใหญ่ใส่ตะกร้าจนหมด
“ข้าจัดเสบียงอาหารแห้งเตรียมไว้ให้เจ้ากับทหารหลวงสองนายนั้นด้วย ข้างในมีอาหารแห้งและข้าวสาร เจ้าคงรู้วิธีหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ใช่ไหม”
“ขอบคุณท่านป้าหง วันพรุ่งต้องเดินทางแต่เช้ามืด อี้เฟยขอลาท่านป้าตอนนี้”
หลิวอี้เฟยรับย่ามผ้านั้นมาถือไว้และกล่าวลาผู้อาวุโสกว่า
ร่างเล็กเดินถือย่ามผ้ากลับเรือนนอนด้วยความรู้สึกเหม่อลอย ขณะครุ่นคิดถึงอนาคตของตัวเองกับคนรัก
ถ้าหากซือเหยียนไม่ได้เป็นนายอำเภอ อนาคตที่นางจะได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับเขาก็มองแทบไม่เห็นหนทาง
บนหลังคาหอสมุด
มีใครบางคนนั่งมองหลิวอี้เฟยอยู่บนนั้น และกำลังหงุดหงิดจนพาลโกรธนางอย่างไม่มีเหตุผล
นั่งอยู่บนหลังคา หยางหลงได้ยินเรื่องที่หลิวอี้เฟยสนทนากับแม่ครัวของบ้านพิณสวรรค์ชัดเจนแจ่มแจ้งครบทุกประโยค
ทหารองครักษ์ซึ่งนำจดหมายของหลิวอี้เฟยไปส่งต่อให้แก่คนรัก พึ่งมารายงานว่าซือเหยียนสอบได้จอหงวนฝ่ายบุ๋นอันดับหนึ่งและได้เข้ารับตำแหน่งนายอำเภอคนใหม่ของเมืองลู่เจ๋อแล้ว ซือเหยียนขณะนี้ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ มีสาวงามและบุตรสาวของชนชั้นสูงมากหน้าหลายตาแวะเวียนเข้าหาเพื่อผูกสัมพันธ์ไมตรี ทว่าหลิวอี้เฟยกลับยังไม่รู้ระแคะระคายเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด สถานที่ที่นางแจ้งให้นำจดหมายไปส่งยังเป็นบ้านพักของผู้เข้าสอบจอหงวนที่บัดนี้ไม่มีบัณฑิตพำนักอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ใจหนึ่งอยากกระโดดลงไปยืนขวางหน้าหลิวอี้เฟยและจับนางเขย่าให้ตาสว่าง
แต่ก็ถูกจิตสำนึก ตอกความจริงใส่จนหน้าหงายว่าตัวเองเป็นเพียงคนที่รู้จักนางแค่ฝ่ายเดียว ในสายตาของหลิวอี้เฟยแล้วเขาแทบไม่มีความสลักสำคัญอะไร