“กำลังฝันอยู่หรือไง?”
“เปล่านี่ ถ้าฝันอยู่มันจะเป็นจริงเหรอ” ผมโน้มใบหน้าลงไปแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากของพริกหวาน เธอเบิกตากว้างจนผมผลักใบหน้าสวยจนหงายเงิบ
“อะ ไอ้บ้า! นี่แหนะๆ”
“โอ๊ย ฮ่าๆ เจ็บนะยัยพริกเน่า”
“วันนี้นายขโมยจูบฉันสองหนในเวลาเดียวกันนะ ไอ้ลามก”
“จูบสองหนในเวลาเดียวกัน? อืมถ้างั้นเป็นจูบหนเดียว แต่หลายๆ เวลานี้ต้องทำยังไงอะ”
“อย่ามาพูดจาลามกกับฉันนะโซล ฉันเกลียดขี้หน้าที่สุดเลย”
ปัง!
“ยัยบ้า ทำอย่างกับฉันชอบเธอตายล่ะ” เออ... แล้วทำไมผมจะต้องขโมยจูบยัยนั่นด้วยนะ ก็แค่อยากแกล้งให้โมโห ให้ความจองหองและหยิ่งมันหายไป หรือยังไงกันเนี่ย? อะไรของผมวะ ไม่เข้าใจเลย
แต่... เวลามันได้สัมผัสริมฝีปากของพริกหวานทีไร ทำไมร่างกายมันร้อนรุ่มไปหมด เอาคืนยัยนั่นให้เป็นบ้าเป็นหลังก็สนุกดีเหมือนกันนะเนี่ย
ผมกลับมาถึงห้องในเวลาไม่นานก็เห็นร่างสูงของไอ้ตัง เพื่อนนายแบบที่ยืนรอผมอยู่หน้าห้อง “อ้าวไอ้ตัง กลับมาเมื่อไหร่มึง?”
“เมื่อกี้อะ กูเลยแวะมาหาแต่เจอนี่อยู่ในกล่องจดหมายมึง” ไอ้ตังชูโปสการ์ดที่มีสิบใบให้ดู ผมคว้ามันมาถือไว้และเปิดประตูห้องเข้าไป คอนโดของผมก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคอนโดของพริกหวานแต่ติดตรงที่ว่าห้องพักของผมมีสองชั้นและหลายห้อง ที่เลือกอยู่แบบนี้ไม่มีเหตุผลอะไรมาก แค่อยากได้ที่กว้างๆ ไว้จัดปาร์ตี้ก็เท่านั้น
“อย่าบอกนะว่าของ...”
“อือ”
“เคยอ่านข้อความในนั้นบ้างปะ” ผมส่ายหน้าไปมาเดินไปที่ครัวคว้าเอาแก้วมาสองใบ ตามด้วยวิสกี้หนึ่งขวด “น่าจะอ่านบ้างนะ โปสการ์ดแม่งล้นออกจากกล่องแล้วนั่น”
“ช่างดิใครสน”
ไอ้ตังส่ายหน้าไปมาก่อนจะชนแก้วกับผม แค่ไม่อยากอ่าน... เพราะถ้าอ่าน กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนน่ะสิ และถ้าเป็นแบบนั้นทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันจะหายไป ผมแค่ไม่อยากให้ทุกอย่างที่ผมสร้างมันหายไปเพราะใครบางคนก็เท่านั้นล่ะ ที่เก็บไว้โดยไม่อ่านมันเลยก็คงเป็นเพราะผมรับไม่ได้ต่างหาก ไม่อยากเปิดเผยตัวเองไปมากกว่านี้
“เออ กูได้ข่าวว่ามึงกับพริกหวานจูบกัน คือ?”
“หึ เปล่าแค่เล่นอะไรสนุกๆ กับยัยนั่นนิดหน่อยอะ”
“กูว่าไม่นิดนะ คนอย่างพริกหวานเนี่ยนะจะจูบมึง แค่หน้ายังไม่อยากมอง”
“แต่ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันนะไอ้ตัง” ใบหน้าหล่อเข้มขมวดคิ้วอย่างมึนงง ในบรรดาเพื่อนนายแบบผมมีแค่ไอ้ตังเท่านั้นที่รู้เรื่องราวความเป็นไปของผมดีที่สุด และมันเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวของผมไปพูดในทางที่เสียหาย ผมถึงได้ไว้ใจมันไง
“งานปาร์ตี้ที่แวนดี้จัด ถามหามึงด้วยนะ”
“เหรอ... ช่างดิ”
“แหม งอนเป็นตุ๊ดไปได้ แค่เขาไม่ยอมรับตัวเองทำมาเป็นงอน”
“งอนเชี้ยไร กูไม่เคยงอนแวนดี้อะ”
“ไม่งอนแล้วทำไมไม่ไปหายัยนั่นก่อนมาหากูล่ะ เดี๋ยวก็เป็นห่วง” ผมมองไอ้ตังที่เบ้ปากเปิดทีวีดูถ่ายทอดสดฟุตบอล อันที่จริงไอ้ตังกับแวนดี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันน่ะ และไอ้ตังก็รักแวนดี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าแวนดี้กลับหนีมันไปคบกับพระเอกคนดังที่ชื่อดีนซะก่อน นั่นเลยเป็นสาเหตุทำให้ไอ้ตังห่างเหินจากแวนดี้
“กูกับแวนดี้ คงเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วล่ะ”
“อ้าว ไมวะ”
“ถ้าขืนกูไปยุ่งกับเธอมาก เดี๋ยวไอ้ดีนก็จะพูดกรอกหูเธอ หลงไอ้นั่นอยู่นี้ จะมาสนใจกูทำไมก็แค่เพื่อน”
“ขี้งอนอะมึง” ไอ้ตังหรี่ตามองผมที่หัวเราะกับท่าทางของมัน “ช่างเหอะ ตอนนี้กูกำลังคุยกับผู้หญิงนอกวงการอยู่ด้วย”
“อ้าวเช็ด! แซงกูซะแล้ว”
“ฮ่าๆ ขอโทษด้วยนะ ที่กูมีคนคุยก่อนมึง”
“เลว” ผมตบศีรษะของไอ้ตัง ถึงจะรู้ว่ามันคุยกับสาวคนอื่น แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่มีทางลบแวนดี้ออกไปจากใจได้หรอก มันรักของมันมาตั้งนานนี่นา
“ไม่ได้ได้ทำเพื่อประชด”
“เปล่า แต่ทำเพื่อตัดใจต่างหาก... ไม่ได้คุยกับคนใหม่เพื่อประชด เพราะถึงทำไปเธอไม่สนใจอยู่แล้ว ที่ทำคือตัดใจต่างหาก ตัดใจ” มันกระดกเหล้าเข้าปากและดื่มจนผมนั่งมองมันคอพับคออ่อน ส่ายหน้าไปมาผลักมันให้นอนลงกับโซฟา ผมเดินขึ้นห้องของตัวเอง และตรงไปที่ห้องเก็บมองกล่องในมือที่มีโปสการ์ดจากต่างประเทศก่อนจะโยนเข้าไปในนั้น
ตุ้บ!
“จะส่งมาทำไม ไร้สาระจริงๆ”
ปัง!
-PHRIKWAN TALK –
ทำไม! ทำไมๆๆๆ ทำไมฉันจะต้องมายืนอยู่ที่นี่ด้วย มันเพราะอะไรกันไม่ทราบ? พริกหวาน เธอมาทำไมที่นี่เนี่ย
“ฮัลโหล” ในขณะที่ฉันกำลังงัวเงียอยู่ก็ดันรับสายของใครบางคนที่ไม่ควรจะรับไง (“ตื่นได้แล้วยัยพริกเน่า”)
“ใครอะ พูดจาแบบนี้น่าตบปากชะมัด!”
(“ตบด้วยปากนะ มาเลยฉันจะรอ”)
“อย่ามากวนประสาท ใครกัน?”
(“ฉันเองไง มาที่คอนโดฉันหน่อยสิให้เวลาสิบนาที”) ฉันหลับตาลงฟังเสียงปลายสายก็รู้ทันทีเลยว่ามันเป็นเสียงของใคร เขารู้เบอร์ฉันได้ไงเนี่ย
“เรื่องอะไรที่ฉันจะต้องทำตามคำสั่งด้วยไม่ทราบ”
(“อืม ไม่เป็นไรงั้นรอดูข่าวตัวเองเลยก็แล้วกันนะ ฉันจะส่งคลิปเสียงไปให้นักข่าวเดี๋ยวนี้ล่ะ”)
“ยะ อย่านะ! ได้ฉันจะไป รอก่อนนะไอ้บ้า”
ใช่ เรื่องมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ ฉันจำต้องตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวมาที่คอนโดของเขาที่บอกเลขห้องเสร็จสัพ ดีที่คอนโดของเราสองคนอาศัยอยู่ปราศจากพวกบรรดานักข่าวที่มีหูตาเป็นสับปะรด เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการฉันก็กดออดหน้าห้องเขา กระทั่งประตูเปิดขึ้นแต่กลับไม่ใช่เขาน่ะสิ
“เอ๋? นะ นาย...”
“เชี้ยโซล มึงทำได้ไงวะเนี่ย!”
“อึ้ง อึ้งเลยอะดิ... กูบอกแล้วว่ากูสามารถทำให้พริกหวานมาหากูถึงที่ได้ตามที่ต้องการเลยล่ะ” ฉันเบิกตากว้างมองสองหนุ่มตรงหน้าที่ถอดเสื้อโชว์ร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและรอยสักที่น่าหลงใหล ฉันกระแอมไอยกมือพัดใบหน้าตัวเองเพราะจู่ๆ มันดันเกิดร้อนเห่อขึ้นมาน่ะสิ ตายจริง! ถ่ายงานกับนายแบบมาก็เยอะ ทำไมจะต้องมาใจเต้นเพราะผู้ชายตรงหน้าด้วยเนี่ย
“เข้ามาก่อนสิ เดี๋ยวไปบริษัทพร้อมกัน”
“ไม่ นายมีอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”
“จะเข้า หรือไม่เข้า” โซลพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่แฝงไปด้วยการวางอำนาจ กรี๊ด! อยากจะกระโดดกัดคอให้ขาด ฉันเดินกระแทกส้นสูงเข้ามาในห้อง ห้องของเขากว้างกว่าของฉันเยอะเลยนะ ที่สำคัญมีสองชั้นด้วยนี่สิ
“มากินข้าว ฉันทำเผื่อ”
“ไม่กิน”
“อะไรของเธอ ข้าวเย็นก็ไม่กินเพราะลดหุ่น ข้าวเช้ายังไม่กินอีก”
“เรื่องของฉัน!” ฉันกอดอกเชิดหน้าหนีเขาแต่ทว่ากลิ่นอาหารที่อยู่บนโต๊ะมันทำให้ฉันแทบจะกระโจนเข้าไปสวาปามให้หมด แต่ต้องหยิ่งเข้าไว้ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะมานั่งกินข้าวกับคนที่เกลียดขี้หน้ากันหรอกนะ
“มาเถอะพริกหวาน ไอ้โซลมันทำเผื่อเธอจริงๆ นะ”
“นายหน้าคุ้นมากเลยนะ เดี๋ยวนะ... ตังใช่ไหม?”
“ถูกต้องนะครับ ขอบใจนะที่จำกันได้”
“ต้องจำได้สิ นายกับฉันเราก็เคยร่วมงานกัน ตอนที่ฉันเพิ่งจะเข้าวงการมาใหม่ๆ” โซลเบ้ปากก่อนจะดึงแขนฉันให้นั่งลงที่โต๊ะอาหาร ตักข้าวสวยร้อนๆ ที่หอมกรุ่นมาไว้ตรงหน้าฉัน
“ทีกับฉันไม่เห็นจำได้แบบนี้บ้างเลยนะ”
“คนอย่างนาย ฉันจะจำให้รกสมองทำไม เปลืองเนื้อที่เปล่าๆ”
“นั่นสินะ ฉันก็ว่าเปลืองเนื้อที่จริงๆ นั่นแหละ มือถือของฉันเนี่ย” ฉันชะงักช้อนไว้ในปาก เงยหน้ามองโซลที่เท้ามือกับโต๊ะอาหาร โน้มใบหน้าลงจนฉันตกใจ
“ให้โอกาสพูดใหม่อีกที”
“คะ คือว่าไม่เปลืองเนื้อที่ในหัวสมองเลย ฉันว่าหัวสมองฉันจำได้เยอะเลยล่ะ... พอใจมะ” โซลยิ้มเยาะและนั่งกินข้าวเช้าต่อ ตังเป็นนายแบบที่ชื่อดังพอๆ กับโซลนี่แหละ แต่เขาจะเป็นคนที่เก็บตัวนิดหน่อย ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใคร อ่อเห็นมีก็สนิทกับแวนดี้ที่เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้นล่ะ ตอนแรกฉันคิดว่าสองคนจะคบกันซะอีกแต่ตอนนี้แวนดี้คบกับดีนพระเอกที่เล่นละครด้วยกันได้เดือนหนึ่งแล้วมั้ง