"ท่านแม่ทัพจางมิใช่บุรุษเยี่ยงชายผู้นั้น นางใดที่ได้ชื่อว่าสตรีของเขา เขาย่อมดูแลสตรีของเขาอย่างดี พร้อมปกป้องราวหยกล้ำค่า ขนาดเจ้าของร่างเดิมที่เจ้าอาศัยอยู่ เมื่อยามป่วย เขายังไหว้วานหมอหลวงมาตรวจดูอาการเลย" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทั้งที่วาจากล่าวเช่นนั้น แต่ในใจนางกลับคิดต่าง ราวกับมีเข็มนับพันทิ่มแทงในหัวใจให้รู้สึกเจ็บแปลบ จะให้นางมิคิดได้อย่างไร เพราะนางนอนอยู่ที่เรือนร่วมสองเดือนเขายังไม่เคยมาเยี่ยมนางหรือแม้แต่เรียกหมอมาดูอาการนางเลยสักนิด
"เจ้าต้องกังวลสิ่งใดอีกเล่า? ความรักของเขาทั้งหมดมอบให้เจ้าแล้วนี่ เพียงแต่เจ้ายังเป็นรองอีกหลายคน" ใช่นางเป็นรองอี๋เหนียงทุกคนรวมถึงนางด้วย
"สิ่งที่เจ้าพูดมาข้าไม่เข้าใจในเมื่อเขารักข้า ไม่สิ! เขารักเจ้าของร่างนี้" หรงเซียะเหม่ยเอ่ยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
"เจ้าแต่งมาเป็นอี๋เหนียงสี่ ไม่ได้เป็นรองแค่ข้าเพียงผู้เดียว แต่ยังเป็นรองคนอื่นด้วย ถึงเจ้าจะมีฐานะเป็นอนุเท่ากับอี๋เหนียงคนอื่นๆ แต่ก็มาทีหลัง จะทำสิ่งใดย่อมต้องไว้หน้าพวกนาง นอกเสียจากว่า..."
"นอกเสียจากอะไร?" นางถามด้วยท่าทีกระตือรือร้นมากกว่าเดิม นั่นยิ่งทำให้ซิ่นหนิงเยว่ชิงชังอนุผู้นี้เหลือเกิน นางช่างแตกต่างกับ
หรงเซียะเหม่ยที่อ่อนหวาน สงบเสงี่ยมเจียมตัวอย่างลิบลับ
"เจ้าย่อมรู้นี่ เรื่องนี้เจ้าถนัดดีนี่"
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?" หรงเซียะเหม่ยที่ภายในเป็นวิญญาณอาจูเอ่ยถามด้วยพื้นอารมณ์ที่เริ่มไม่ดีนัก
"ให้ข้าขยายความเช่นนั้นหรือ?เอาสิ! เรื่องของเจ้าไม่ใช่ความลับของข้า เจ้ากล้าฟังไหมล่ะ ข้าจะได้ทบทวนให้เจ้าฟัง อาจู" ซิ่นหนิงเยว่
จ้องตาหรงเซียะเหม่ยเขม็ง ทำให้นางรู้สึกเป็นรอง แต่ก็ยังฝืนกล้าตอบกลับ "เจ้ากล้า?!" นางหรงเซียะเหม่ยพูดเสียงดังใส่ซิ่นหนิงเยว่ ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจขึ้นบ้าง
"ข้าย่อมกล้า เจ้าอย่าลืมสิ โลกใบนี้อนุอย่างเจ้าไม่มีความหมาย ก็พอๆ กับฐานะของเจ้าที่ไม่ได้มีความหมายใดๆ กับบุรุษที่ช่วงชิงมา"
ซิ่นหนิงเยว่เริ่มกล่าว น้ำเสียงก็แข็งกร้าวมากยิ่งขึ้น
"มันจะมากไปแล้วนะ ข้ามาที่นี่หวังเพื่อผูกมิตรกับเจ้า ไม่ใช่ให้เจ้ามาสั่งสอนข้า" หรงเซียะเหม่ยตบโต๊ะบันดาลโทสะที่สุมในอก เมื่อเรื่องของนางในโลกเดิมถูกเอ่ยออกมาจากปากสตรีที่เคยอยู่ในร่างนาง ความแค้นใจทำให้นางยับยั้งไม่อยู่
"ข้าจะเอาสิ่งใดมาสั่งสอนเจ้า ขนาดผู้เป็นมารดายังเอ่ยคำไม่ได้เลย ช่างประเสริฐนัก!"
"นี่!" สาวใช้ทั้งสองได้ยินเสียงตบโต๊ะของหรงเซียะเหม่ย ทำให้ทั้งสองมองหน้ากันและรีบเดินเข้าไปในศาลาทันที ต่างต่างฝ่ายต่างยืนประจำกายของนายสาวของตนเอง เพราะกลัวจะเกิดเรื่องราวใหญ่โต พร้อมเอ่ยถามอย่างเบาเสียงว่าฝ่ายของตนมีอะไรหรือไม่ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน
ซิ่นหนิงเยว่ทำเพียงยิ้มเยาะการกระทำของสตรีเบื้องหน้า นางพลาดแล้ว นางหลงลืมธรรมเนียมที่แท้จริงของโลกใบนี้ แต่ที่นางรู้สึกสะใจที่สุดคือ เมื่อกล่าวถึงตงฉิน ตงฉินก็มา เพราะสายตาของนางเห็นบุรุษเบื้องหลังหรงเซียะเหม่ยที่เดินตรงเข้ามาในศาลาจากในระยะไกล เขาเดินมาพร้อมกับพ่อบ้านใหญ่และมู่ไห่บ่าวข้างกาย นางจึงยิ้มหยันขึ้นก่อนเอ่ยคำ
"ดูเจ้าจะควบคุมอาการไม่อยู่แล้วนะหรงอี๋เหนียง เท่าที่ข้าจำได้กิริยาเจ้างดงาม รูปโฉมสะคราญจนถูกตาต้องใจบุรุษรวมทั้งท่านแม่ทัพจาง ขนาดต้องเอ่ยปากทาบทามเจ้า งอนง้อขอแต่งเจ้าด้วยตนเอง แต่ไหนแต่ไรเมื่ออี๋เหนียงเหยียบเข้ามาเป็นคนสกุลจางแล้ว ข้ามิเคยเห็นท่าทีไม่พอใจเช่นนี้มาก่อน ถือว่าข้าเปิดหูเปิดตาเสียแล้ว" คำพูดของซิ่นหนิงเยว่ทำให้ไฟโทสะในทรวงของหรงเซียะเหม่ยทวีมากยิ่งขึ้น แต่นางก็ทำอะไรมิได้ เพียงแค่กำมือเข้าหากันจนขึ้นข้อขาว
"ไปเถอะหยวนเพ่ย" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยกับสาวใช้
"เจ้าค่ะคุณหนู" หยวนเพ่ยรับคำ แล้วหันหลังไปเก็บข้าวของอย่างรวดเร็ว เมื่อเรียบร้อยดีแล้วนางก็เดินตามหลังซิ่นหนิงเยว่ไป
ทั้งซิ่นหนิงเยว่และหยวนเพ่ยเดินลงจากศาลาโดยมิสนใจสตรีที่อยู่เบื้องหลังตนว่าจะมีท่าทีอย่างไร เมื่อเดินไปพ้นศาลาเพียงไม่กี่ก้าว ซิ่นหนิงเยว่ก็ต้องเผชิญหน้ากับจางหยูเยี่ยน ผู้สามีเพียงในนามของตน นางเตรียมใจไว้แล้วว่าเขาต้องเอ่ยบางสิ่งกับนาง
"คารวะท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ" นางจำต้องคารวะบุรุษเบื้องหน้าอย่างเสียมิได้ เมื่อนางทำตามธรรมเนียมปฏิบัติเรียบร้อย จึงตั้งใจเดินเลี่ยงเพื่อมิต้องการสนทนากับเขาแต่อย่างใด
"นั่นเจ้าจะไปไหน?" เขาเอ่ยโดยมิได้เอี้ยวตัวหันหน้าไปมองหานางโดยมิได้เอี้ยวตัวตามโดยมิหันตัวแต่อย่างใด
"ท่านแม่ทัพคุยกับข้าหรือเจ้าคะ?"
"ใช่!"
"ข้าน้อยแค่จะกลับเรือน ออกมานานแล้วเจ้าค่ะ" เขาหันมาจ้องหน้านาง ดูนางตอบเขาเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ หาได้สนใจการมาของเขาแม้แต่น้อย
"แล้วนั่นอะไร?ในมือสาวใช้ของเจ้า"
"ไม่มีอะไรนี่เจ้าคะ แค่กระดาษไม่กี่แผ่น หากไม่มีอะไรแล้วข้าน้อยขอตัว" นางกำลังจะย่อกายจากไปแต่เขากลับรั้งตัวนางเอาไว้
"เดี๋ยว! เล่นหมากเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย" เขาเอ่ยโดยไม่ยอมให้นางปฏิเสธ เขาแล้วเดินเดินเข้าไปยังศาลาที่หรงเซียะเหม่ยยืนมองพวกเขาคุยกันอยู่
ซิ่นหนิงเยว่จำต้องมานั่งทิศตรงข้ามกับจางหยูเยี่ยนเพื่อเล่นหมากล้อม โดยข้างกายยังคงมีหรงเซียะเหม่ยนั่งปรนนิบัติเขาอย่างเอาอกเอาใจ ภายในศาลาไร้ซึ่งสาวใช้อยู่เป็นเพื่อนนายหญิงของตน เท่ากับว่าภายในจวนจะเหลือเพียงหนึ่งบุรุษ สองสตรี ส่วนภาพวาดของซิ่นหนิงเยว่ถูกมู่ไห่บ่าวประจำตัวจางหยูเยี่ยนนำไปเก็บไว้ให้เรียบร้อยตามคำสั่งของเขา
"หมากนี้ข้าแพ้แล้วเจ้าค่ะ" ซิ่นหนิงเยว่เอ่ยอย่างเบื่อหน่าย นางไร้อารมณ์ที่จะเล่นแล้วจริงๆ อีกทั้งรู้สึกชิงชังสายตาที่เขาจ้องนางเป็นระยะ
"เจ้าแสร้งแพ้" เขาเอ่ยพร้อมชำเลืองมอง แล้วจึงหันกลับมามองกระดานหมากล้อมอีกครั้ง เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่านางไม่ได้สนใจหมากบนกระดานนี้เลยแม้แต่น้อย เพียงวางส่งๆ เพื่อให้จบหมากบนกระดานนี้ให้เร็วขึ้น
"ข้าน้อยภรรยามีความคิดอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพต้องการฟังหรือไม่?"
"ว่ามา"
"ข้าน้อยมีความเห็นว่า ท่านแม่ทัพควรประลองฝีมือหมากล้อมกับหรงอี๋เหนียงดีกว่านะเจ้าคะ ฝีมือนางมิเป็นรองใคร อาจสร้างความสำราญให้ท่านแม่ทัพได้มากกว่าข้าน้อยนะเจ้าคะ" นางเอ่ยพร้อมปรายตาไปทางหรงเซียะเหม่ย ที่หันหน้ามามองตนเองอย่างไม่เชื่อหู ภายในใจอดนึกต่อว่าซิ่นหนิงเยว่ไม่ได้ นางเล่นเป็นที่ไหนกัน นี่มันกลั่นแกล้งกันชัดๆ
"ไม่เหมาะนักเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพเล่นกับฮูหยินจะเหมาะสมเสียกว่าข้าน้อยผู้เป็นอนุ" นางเอ่ยตอบเสียงเบา คล้ายพูดกับตนเอง น้ำเสียงนั้นที่จางหยูเยี่ยนกลับฟังคือคิดว่านางถ่อมตน เขาระลึกได้ว่าตนควรแสดงน้ำใจต่อนางจึงกล่าวปกป้องสตรีข้างกายไม่ให้ถูกรังแก
"นางเป็นสตรีในห้องหอจะเล่นเป็นได้อย่างไร เจ้าคงฟังมาผิดแล้ว"
"เช่นนี้นี่เอง ข้าก็หลงนึกว่าจะได้เห็นฝีมือของแม่นางสะคราญเมือง ข้าน้อยก็เป็นสตรีที่อยู่แต่ในเรือนคงฟังผิดมาจริงๆ ถ้าเล่นไม่เป็นข้าน้อยผู้เป็นภรรยาแนะนำท่านแม่ทัพช่วยสอนนางสิเจ้าคะ จะได้เล่นด้วยกันทั้งในห้องและนอกห้อง ข้าน้อยหมายความถึงหมากล้อมนะเจ้าคะ หาไม่ใช่เป็นอื่น...เพราะคงไม่ต้องสอน ช่ำชองกันทั้งคู่" ซิ่นหนิงเยว่ยังคงเอ่ยคำถากถางหรงเซียะเหม่ยอีกครั้ง ทำให้นางแอบลอบกำหมัด ก้มหน้าเพื่อปิดบังสีใบหน้าที่เริ่มบิดเบี้ยว
"เจ้ากลับเรือนไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง" จางหยูเยี่ยนเห็นแววตาที่นางมองมาทางหรงเซียะเหม่ย มิใช่แววตาของผู้หึงหวงหรือชิงชัง แต่เป็นแววตาที่เย้ยหยัน ประกอบด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยมิได้ตัดพ้อที่เขาปกป้องนางหรงเซียะเหม่ยเลยสักนิด
"เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ" หรงเซียะเหม่ยเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองและเอ่ยคำ ก่อนลุกขึ้นคารวะแล้วละเดินจากไป ทั้งที่ในใจนางอยากจะอยู่ต่อเพื่อฟังว่าเขาคนทั้งสองสนทนากันเรื่องใด แต่ใครจะกล้าขัดได้
ซิ่นหนิงเยว่เห็นว่าเขายังไม่เอ่ยคำใด ทั้งที่สตรีของเขาได้เดินออกจากศาลาไปนานแล้ว สายตาเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่กระดานหมากล้อมอยู่อย่างนั้น นางวางหนึ่งเม็ด เขาก็วางหนึ่งเม็ดเป็นอย่างนี้ราวหนึ่งเค่อ นางจึงตัดสินใจเอ่ยถาม
"ข้าน้อยผู้เป็นภรรยาขออนุญาตถาม ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพมีธุระอะไรกับข้าน้อยหรือ"
"ไม่มี"
"ไม่มี? เช่นนั้นข้าน้อยต้องขอตัวก่อน" นางลุกขึ้นหมายจะออกจากศาลาเพื่อกลับเรือนบ้าง
"อยู่เป็นเพื่อนข้าอึดอัดนักหรืออย่างไร?" เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ นางยืนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ ออกมา
"ใครว่าล่ะเจ้าคะ ข้าน้อยผู้เป็นภรรยามิเคยรังเกียจท่านแม่ทัพจางเลยสักนิด"