ซิ่นหนิงเยว่และหยวนเพ่ยใช้เวลาอยู่นอกจวนเป็นเวลานาน แต่ก็มิสามารถหาจวนที่ประกาศขายได้ นางมิต้องการดิ้นรนไปอยู่นอกเมืองด้วยเหตุผลบางประการ หนึ่งคือนางมิมีผู้คุ้มภัย ไม่เป็นวรยุทธ หากเกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นชีวิตสตรีเช่นนางต้องเดือดร้อนแน่หากอยู่ในจวนแค่เพียงนางกับหยวนเพ่ย อีกหนึ่งนางจะหาหนทางทำการค้า หรือไม่ก็หางานทำสักอย่าง หากย้ายไปอยู่ต่างเมือง การเดินทางคงทำให้นางลำบาก คนเราต้องรู้จักกำลังแขนขาของตนเอง ยิ่งนางเดินหานานเท่าไหร่ความเหนื่อยก็มีทวีมากขึ้น ประกอบกับร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัว จึงทำให้นางหยุดหา และตัดสินใจกลับจวนในยามที่พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า
ภายในเรือนใหญ่บุคคลคุ้นหน้ากำลังนั่งล้อมวงกินอาหารมื้อค่ำโดยมิมีใครรอนาง ใช่ว่าซิ่นหนิงเยว่จะสนเพราะในจวนแห่งนี้ก็มิมีใครใคร่สนใจนาง หากจะมีคงนับพ่อสามีที่ไม่สนใจครอบครัวของบุตรชาย สิ่งที่ชอบพอก็คงเป็นตำราในห้องหนังสือ หรือการสนทนาของบุรุษ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีนาง ซิ่นหนิงเยว่ควรจะนับว่าห่วงใยลูกสะใภ้คนนี้ดีหรือไม่ เพราะสายตาที่มองมาที่นางหาได้พอใจ แต่ก็มิได้ต่อว่า หรือมีท่าทีรังเกียจนาง
"กลับเสียค่ำ คงไม่มีใครรอเจ้ากินมื้อค่ำหรอกนะ" แม่สามีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาชำเลืองมาเห็นท่าทีอ่อนล้าที่สังเกตได้จากสีหน้าของซิ่นหนิงเยว่ นางก็แอบลอบทอดถอนหายใจอย่างระอา
"ข้าน้อยขออภัยท่านแม่เจ้าค่ะ"
"อืม เช่นนั้นก็นั่งลงกินข้าว ท่านแม่ทัพไม่อยู่หรอก เจ้าไม่ต้องมองหา เป็นฮูหยินเอกย่อมรู้ดีว่าสามีงานยุ่ง งานกองทัพดูแลประชาราษฎร์ เป็นหูเป็นตาแทนเจ้าแห่งแคว้น ย่อมเข้านอกออกในจวนไม่ตรงเวลา"
"เจ้าค่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าให้สาวใช้นำชาม ตะเกียบ มาวางให้สะใภ้ใหญ่
"อาการป่วยของเจ้าคงหายแล้วสินะ ถึงได้ตระเวนไปไหนต่อไหนได้" คำพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่เมื่อฟังให้ดีน้ำเสียงย่อมชี้ชัดว่านางกำลังถูกตำหนิ และถูกตำหนิต่อหน้าอี๋เหนียงทั้งสี่ จนทำให้บรรดาสตรีที่ใช้สามีคนเดียวกันแอบลอบมองมาที่ซิ่นหนิงเยว่ รอดูเรื่องสนุกที่จะเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร พวกนางลุ้นจนตัวโก่งว่าซิ่นหนิงเยว่จะตอบฮูหยินผู้เฒ่าเช่นไร
"หายดีแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าน้อยอยากออกไปเที่ยวชมอะไรบ้าง"
"อืม ก็ดีจะได้ไม่อุดอู้อยู่แต่ในเรือน แต่ก็ควรรักษาเวลา กินอาหารได้แล้ว!" มารดาฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยคล้ายเห็นดีเห็นงาม แต่ก็วกกลับมาตำหนินางอยู่ดี
นางก็มิอาจจะท้วงติงได้ ทำเพียงก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าให้จบๆ ไปเสีย ส่วนบรรดาอี๋เหนียงต่างก้มหน้าก้มตากินข้าวและรู้สึกผิดหวังกับงิ้วฉากน้อยๆ ที่ไม่มีความสนุกเอาเสียเลย
กว่ามื้อค่ำจะสิ้นสุด ก็ทำให้ซิ่นหนิงเยว่รู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน หากนางได้กินอาหารมื้อค่ำกับคนที่นางรักจะดีแค่ไหน จิตใจคงพองโตและอิ่มสุขมากเป็นแน่ ระหว่างการเดินกลับเรือนมีความคิดหนึ่งเข้าแทรก สองขาที่เดินกลับเรือนพลันหยุดลงและหันมาเอ่ยกับหยวนเพ่ย
"หยวนเพ่ย อาทิตย์หน้าเจ้าเตรียมอาหารด้วย ข้าจะเข้าครัว"
"คุณหนูจะเข้าครัวทำไมหรือเจ้าคะ?"
"ข้าจะไปเยี่ยมท่านแม่"
"คุณหนู!"
"เจ้าจัดการตามที่สั่งก็พอ"
"เจ้าค่ะ คุณหนู"
ตามที่ซิ่นหนิงเยว่สั่งหยวนเพ่ย นางเข้าครัวทำอาหารเพียงไม่กี่อย่างและบรรจุลงตะกร้า เมื่อทุกอย่างพร้อมทั้งซิ่นหนิงเยว่และหยวนเพ่ยก็เตรียมจะเดินทางออกจากจวน และหมายจะตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง แต่นางก็ต้องหยุดการเดินทางชั่วครู่ เพราะหรงเซียะเหม่ยมาดักรอนางกลางทางก่อนออกประตูจวน
"จางฮูหยินจะไปไหนหรือเจ้าคะ ให้ข้าช่วยดีหรือไม่”
หรงเซียะเหม่ยในร่างของอาจูเอ่ยถามด้วยใบหน้าผูกมิตร
"ข้ามีธุระ หลีกทางด้วย" ซิ่นหนิงเยว่ไม่แม้แต่จะแลใบหน้าจอมปลอมของวิญญาณที่สิงสถิตในร่างของหรงเซียะเหม่ย แต่ก็ไม่อาจปิดปากตนที่จะไม่ตอบคำถามจากความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของนางนัก
"ธุระ? ที่ไหนหรือเจ้าคะ ให้ข้าน้อยไปเป็นเพื่อนดีหรือไม่เจ้าคะ" ซิ่นหนิงเยว่ตวัดสายตากลับ ด้วยรู้สึกว่านางผู้นี้จะล้ำเส้นตนมากเกินไป และการที่รู้เรื่องราวของอาจู ก็ใช่ว่าซิ่นหนิงเยว่จะต้องทำดีกับนาง...เพียงเพราะว่าเคยอาศัยร่างของนางอยู่
"ขอโทษเจ้าค่ะ...เพียงแต่ข้าแค่อยากรู้ ...เอ่อ...เผื่อท่านแม่ทัพเอ่ยถามถึงท่าน ข้าจะได้ตอบได้ถูกต้อง หรือหากท่านแม่ทัพเห็นว่าท่านกับข้าออกไปด้วยกัน ท่านจะได้มีเรื่องได้แก้ต่างได้อย่างไรเล่า" หรงเซียะเหม่ยรีบเอ่ยตอบ และก้มหน้าก้มตา เพราะสังเกตแววตาของซิ่นหนิงเยว่แล้วคงไม่รับไมตรีของนางเสียเลย