"มี่เอ๋อร์มาแล้วหรือลูก เดินมาเหนื่อยไหม แม่จะให้คนนำอาหารไปให้ที่เรือนเจ้าก็ออกมาก่อน" ท่านแม่พูดพร้อมกับเดินมารับนางไปนั่งลงข้างกัน เมื่อนั่งลงแล้วก็มองคนร่วมโต๊ะสักหน่อย นอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้ว ก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีอยู่สองคน นางมองทั้งสองด้วยความสนใจท่านแม่จึงเอ่ยขึ้น
"มี่เอ๋อร์จำพี่ชายใหญ่ กับพี่ชายรองไม่ได้หรือลูก" นางหันไปมองท่านแม่พร้อมกับส่ายหน้า
"ท่านแม่ลูกจำสิ่งใดไม่ได้เลย ลูกไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุใดที่ทำให้ลูกต้องนอนรักษาตัว จำได้เพียงว่าตนเองชื่อซานเฟิงมี่เท่านั้นเจ้าค่ะ" ซานเฟิงมี่กล่าวออกไปพร้อมกับหันไปมองท่านแม่และท่านพ่อ แล้วจึงมองเลยไปยังชายหนุ่มทั้งสอง ซึ่งทุกคนมีสีหน้าที่เศร้าหมองและดูเจ็บปวดทันที
"เอาล่ะถ้าเจ้าจำไม่ได้ หลังกินอาหารเรียบร้อยแม่จะเล่าให้ฟังเองดีไหม" ท่านแม่เอ่ยขึ้น
"ดีเจ้าค่ะงั้นเรากินกันเลยได้หรือไม่เจ้าคะ ลูกหิวมากเลยตอนนี้" เมื่อฟังท่านแม่พูดจบ นางจึงรีบตอบและพยักหน้าหงึกๆ ใส่ จนท่านแม่ยิ้มขำแล้วมื้ออาหารก็เริ่มขึ้น
เนื่องจากร่างกายนี้ไม่ได้กินอาหารมานาน อาหารมื้อเช้าจึงเป็นโจ๊กปลาเนื้อละเอียดที่แทบไม่ต้องเคี้ยว ตักใส่ปากแล้วกลืนได้เลยเพื่อกระเพาะจะได้ไม่ต้องทำงานหนัก อันนี้ท่านหมอแนะนำมาท่านแม่ก็เอามาบอกให้นางฟังอีกที
เมื่อรับอาหารเรียบร้อยแล้วท่านแม่ก็พานางมาเดินย่อยที่สวนด้านหลังที่เดินผ่านมาเมื่อตอนเช้า เดินมาจนถึงศาลาที่สระบัวท่านแม่ก็พานั่งลงในศาลา อากาศดีมากสดชื่นปราศจากมลพิษและค่าพีเอ็มทั้งหลาย ซานเฟิงมี่สูดหายใจเข้าลึกและผ่อนออกมาอยู่สี่ห้าครั้งจนท่านแม่ยิ้มขำนางจึงยิ้มเขินๆ ส่งไป
"ท่านแม่ขำลูกหรือเจ้าคะ ก็ลูกรู้สึกเหมือนกับว่าไม่ได้สูดอากาศที่สดชื่นเช่นนี้มานานแล้วนี่เจ้าคะ" นางบอกออกไปด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อยเพราะลืมตัว
"แม่แค่ดีใจที่ลูกฟื้นขึ้นมาแค่นั้น มี่เอ๋อร์ลูกหลับไปถึงสองปี แม่กับพ่อแทบจะขาดใจเลยทีเดียว" ท่านแม่พูดพร้อมกับเอามือมาลูบหัวของนางด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
"มันเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านแม่ ทำไมลูกถึงจำอะไรไม่ได้เลย" นางเอ่ยปากถามท่านแม่อีกครั้งและท่านแม่ก็เริ่มเล่าให้นางฟังว่า
เมื่อตอนที่นางอายุแปดหนาวซึ่งเป็นช่วงอายุที่เด็กทุกคนจะได้รับการกระตุ้นเพื่อวัดพลังปราณและพลังธาตุนั้น เกิดความผิดพลาดขึ้นในช่วงที่ร่างนี้เข้ารับการกระตุ้นเกิดการสะท้อนกลับของพลัง ทำให้ร่างนี้บาดเจ็บสาหัสอีกทั้งพลังทั้งสองไม่สามารถเปิดขึ้นได้อีกด้วย
ท่านหมอฟางที่เป็นคนรักษาได้บอกให้ร่างนี้ทำการจำศีลหรือนอนหลับจนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูแล้วตื่นขึ้นมาเอง นี่คือเหตุผลที่ทำไมร่างนี้จึงได้นอนอยู่บนเตียงเช่นนั้น โดยจะมีแม่นมผิงและบ่าวหญิงทั้งสี่คนคอยเฝ้าดูแลทั้งทำความสะอาด ป้อนยาและน้ำโสมให้กินทุกวัน
ส่วนครอบครัวนี้คือตระกูลซาน ร่างนี้มีชื่อว่าเฟิงมี่ อายุสิบจะย่างสิบเอ็ดหนาวแล้ว มีพี่ชายสองคนพี่ชายคนโตชื่อซานเหออายุ 18ปี พี่ชายคนรองชื่อซานอ้ายอายุ 15ปี มีท่านพ่อซานหมิงอายุ 38ปี ท่านแม่กงอี้หลินอายุ 37ปี มีท่านปู่และท่านย่าซึ่งตอนนี้ทั้งสองไปถือศีลที่วัดประจำตระกูลจึงไม่ได้เจอ
ท่านแม่เป็นบุตรสาวของตระกูลกงซึ่งมีท่านตา ท่านยาย ท่านลุงและท่านน้าอีกด้วย ส่วนท่านพ่อเป็นบุตรชายคนเดียว
ท่านแม่เล่าให้ฟังอีกด้วยว่าที่นี่คือแผ่นดินซื่อหลิง และแคว้นที่เราอยู่นี้คือแคว้นหวงหลงหรือแคว้นกลาง แคว้นกลางนี้มีตระกูลเก่าแก่ที่ร่วมกันดูแลอยู่ทั้งหมดห้าตระกูลด้วยกันได้แก่ตระกูลหลง เหอ เถา ซาน กง
โดยตระกูลหลงจะถือเป็นผู้นำของทั้งหมดเพราะประมุขตระกูลหลงเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นนี้ขึ้นมาก่อนที่จะมีอีกสี่แคว้นตามมา โดยต้นตระกูลหลงนั้นสืบเชื้อสายมาจากเทพมังกรทองหวงหลง ซึ่งตอนนี้ถือเป็นสัตว์เทพประจำแคว้น อีกทั้งยังเป็นผู้ควบคุมดูแลแคว้นและความเป็นอยู่ของคนในแคว้น อีกทั้งมีสถานศึกษา โรงประมูล และโรงสัตว์อสูรด้วย
ซึ่งอีกสี่ตระกูลที่เหลือก็จะดูแลในเรื่องต่างๆ กันไปตระกูลเหอดูแลโรงหมอและร้านสมุนไพร ตระกูลเถาดูแลร้านขายผ้าและร้านเครื่องประดับ ตระกูลซานนั้นดูแลเหลาอาหารและโรงเตี๊ยม ตระกูลกงดูแลเรื่องร้านค้าข้าว ธัญพืช เกลือและพวกเครื่องปรุงต่างๆ
ซึ่งก็ยังมีตระกูลอีกหลายตระกูลในแคว้นที่ดูแลร้านค้าอื่นๆ อีกด้วย แต่กฎของแคว้นกลาง คือคนแคว้นอื่นไม่สามารถมาเปิดร้านค้าได้ เปิดได้เฉพาะคนของแคว้นกลางเท่านั้น
พอฟังถึงตรงนี้นางคงแสดงสีหน้าสงสัยออกไป ท่านแม่จึงหัวเราะและเล่าต่อว่าถึงแม้คนแคว้นอื่นจะมาเปิดร้านค้าไม่ได้แต่คนของแคว้นกลางก็ไปติดต่อรับซื้อสินค้าจากแคว้นนั้นๆ มาขายหรือขยายกิจการไปเปิดได้ หรืออาจจะถือหุ้นส่วนกันก็ได้เพียงแต่ผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของต้องเป็นคนของแคว้นกลางเท่านั้น
เมื่อได้ฟังถึงตรงนี้ก็อดนับถือคนตั้งกฎนี้ขึ้นมาไม่ได้ ให้คนของตนเป็นหลักเพื่อที่จะได้มีช่องทางทำมาหากินกันทุกคน ก็อยู่ที่ว่าใครจะมีความคิดพัฒนามากกว่ากัน
ท่านแม่ยังบอกอีกด้วยว่าในห้าแคว้นทั้งหมดแคว้นกลางอาจจะมีพื้นที่เล็กเพียงแค่เมืองเมืองเดียวแต่ถือว่าร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดเพราะไม่มีคนไร้บ้านและขอทานเลย ทุกคนมีงานทำมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง การเก็บภาษีมีการแบ่งจ่ายตามอาชีพและพื้นที่ที่ถือครอง และยังมีห้าตระกูลใหญ่คอยดูแลช่วยเหลือตระกูลอื่นๆ และชาวบ้านอีกด้วย
เมื่อฟังท่านแม่เล่าจบนางจึงเข้าใจความเป็นไปของร่างนี้ความโชคดีอีกอย่างก็คือคนในแคว้นกลางแห่งนี้ไม่นิยมการมีหลายภรรยา ซึ่งนั้นก็คือเกือบทุกครอบครัวในแคว้นกลางนี้จะมีภรรยาเพียงคนเดียวจึงไม่มีการแก่งแย่งกันของบ้านหลักบ้านรองเลย ซึ่งมันดีมากๆ สำหรับคนที่มาจากยุคสองพันเช่นนาง
เมื่อคุยจนมาถึงตรงนี้นางก็เริ่มรู้สึกเพลียแล้ว ท่านแม่คงสังเกตเห็นจึงให้สาวใช้ที่คอยดูแลเมื่อเช้ามาพานางกลับไปพักผ่อน ซึ่งข้าก็พึ่งรู้ชื่อของพวกนางว่าชื่อมู่อิงกับมู่ถิง และยังมีอีกสองคนชื่อมู่จินกับมู่ปิง
ทั้งสี่คนมีอายุสิบสี่ปีเท่ากันและนี่จะเป็นคนรับใช้ประจำตัวของนาง โดยมีแม่นมผิงเป็นคนดูแลรับผิดชอบประจำเรือน เมื่อมาถึงเรือนมู่อิงกับมู่ถิงก็เอาอ่างน้ำและผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดมือและช่วยเปลี่ยนชุดจนเรียบร้อยก็นอนหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ตื่นเถอะเจ้าค่ะใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว" ได้ยินเสียงใครพูดอะไรอยู่ข้างหูพร้อมความรู้สึกว่าถูกเขย่าเบาๆ ที่แขน จึงลืมตาขึ้น เห็นมู่อิงอยู่ข้างๆ พร้อมกับร้องเรียกเบาๆ จึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มู่อิงจึงเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าและมือให้ก่อนจะช่วยเปลี่ยนชุดเพื่อมากินอาหารกลางวันที่ห้องโถงในเรือน
"อืม..โจ๊กอีกแล้วรึ" พึมพำออกมาเสียงเบาเมื่อเห็นอาหารมื้อกลางวัน
"ท่านหมอฟางบอกว่าให้วันนี้คุณหนูรับโจ๊กไปก่อนอีกสักวัน พรุ่งนี้ค่อยเปลี่ยนเป็นข้าวต้มและถ้าคุณหนูไม่มีอาการปวดท้องมะรืนก็ทานอาหารที่รสไม่จัดได้แล้วเจ้าค่ะ" มู่จินผู้ดูแลเรื่องอาหารเป็นคนกล่าวให้ฟัง ซึ่งข้าก็พยักหน้ารับและก้มกินโจ๊กของตนเองไป
เมื่อกินมื้อกลางวันเรียบร้อย มู่ปิงจึงพาออกมาเดินเล่นที่สวน จากที่ได้คุยกับสาวใช้ทั้งสี่จึงจำแนกหน้าที่ของแต่ละคนได้ว่า มู่อิงกับมู่ถิงจะเป็นคนคอยดูแลเรื่องส่วนตัว มู่จินจะดูแลเรื่องอาหารการกิน มู่ปิงจะดูแลเรื่องการติดต่อนอกเรือนรวมไปจนถึงการออกไปซื้อของนอกจวน แม่นมถิงจะดูแลเรื่องทั่วไป คนรับใช้และความสะอาดเรียบร้อยของเรือน
ตอนนี้ก็ได้รับรู้เรื่องของร่างนี้ครบทุกอย่างแล้วต่อไปคงต้องถึงคราวเรื่องการเรียน ร่างนี้เคยได้รับการเรียนมาบ้างแล้ว ทั้งอ่านเขียนอักษร ดนตรี ปักผ้า และยังเคยฝึกวรยุทธ์ด้วยเพราะการจะเปิดพลังปราณต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อที่จะกักเก็บปราณและใช้พลังธาตุ ถ้าได้รับการฝึกฝนที่ดีจะสามารถใช้ปราณแฝงธาตุในการต่อสู้ได้
เมื่อทำความเข้าใจและรับรู้มาแล้วว่าร่างนี้ได้เปิดพลังปราณและพลังธาตุแล้วแต่อยู่ขั้นไหนธาตุอะไร คงต้องไปวัดพลังที่หอกลางประจำแคว้นแต่คงต้องรออีกสักสี่ห้าวัน รอให้ร่างกายแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยค่อยให้ท่านพ่อพาไป เพราะตอนนี้หลังจากกินอิ่มแล้วมันก็เริ่มง่วงอีกแล้วนะสิ แต่จะนอนอีกไม่ได้เพราะไม่งั้นตอนกลางคืนอาจจะนอนไม่หลับ
ในเมื่อไม่นอนก็ต้องหาอะไรทำ ซึ่งก็คือการสำรวจเรือนของตนเอง นางจึงเรียกทั้งสี่มู่เข้ามาหาและถามว่าเรือนนี้นอกจากห้องนอนแล้วมีห้องอะไรอีกบ้าง ซึ่งทั้งสี่คนก็ค่อยๆ ไล่ให้ฟังว่ามีห้องตำราและห้องเก็บสมบัติอยู่ด้วย เมื่อได้ยินว่ามีห้องเก็บสมบัติข้าก็ตาโตด้วยความอยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร
หนึ่งในสี่สาวจึงไปตามแม่นมผิงมา ห้องเก็บสมบัติจะอยู่ด้านหลังของห้องหนังสือ ทางเดินเข้าออกต้องใช้ผ่านห้องหนังสือเท่านั้น เมื่อเปิดประตูออกก็พบห้องห้องหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ถึงครึ่งเรือนเลยทีเดียว และในนั้นยังเต็มไปด้วยหีบไม้ หีบเหล็กขนาดต่างๆ จนเต็มพื้นที่มีเพียงทางเดินเล็กๆ ให้ใช้เดินแค่นั้น
เมื่อเห็นข้าก็ตกใจจนตาโตแม่นมผิงและสี่มู่อาจจะคิดว่ายังไม่พอ จึงพากันเดินไปเปิดหีบแต่ละใบที่ตั้งอยู่ด้านข้างให้ดู มองเห็นก้อนทองเต็มหีบใบใหญ่ กล่องไม้ใบเล็กใบใหญ่วางเรียงอยู่จนเต็มหีบ ข้าลองหยิบมาเปิดดูว่าเป็นกล่องอะไร ก็พบว่าเป็นกล่องเครื่องประดับมีทั้งแบบเป็นชุดและแบบแยกชิ้นเมื่อเห็นเช่นนั้นแม่นมผิงจึงได้บอกกล่าวว่า
"ของพวกนี้เป็นของที่เตรียมไว้เป็นสินเดิมที่นายท่านและนายหญิงเตรียมไว้ให้คุณหนู นอกจากเครื่องประดับและตำลึงทองเหล่านี้ ยังมีแหวนจัดเก็บ ก้อนหยกสลัก ป้ายห้อยหยก หินปราณ หินธาตุอีกหลายหีบเลยเจ้าค่ะ" เมื่อแม่นมพูดจบนางก็ยังคงอ้าปากค้างอยู่ หินปราณหินธาตุที่ไว้ใช้ดูดซับเพื่อเพิ่มพลังก็ยังมี ตอนนี้นางกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้วสินี่ โฮะๆๆ
แม่นมผิงเดินไปเปิดหีบใบหนึ่งและหยิบกล่องขนาดกลางมายื่นให้ ข้ารับมาเปิดดูพบว่าเป็นแหวนและกำไลหลากหลายแบบจึงลองหยิบขึ้นมาดู
"กล่องนี้เป็นแหวนและกำไลจัดเก็บระดับสูงเจ้าค่ะ มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่และยังสามารถรักษาคุณภาพสิ่งของไม่ให้เน่าเสีย คุณหนูเพียงแค่หยดเลือดทำพันธะก็จะเปิดใช้งานได้เจ้าค่ะ" เมื่อฟังที่แม่นมผิงพูดจบข้าจึงลองพิจารณาพวกมันอย่างตั้งใจ จนไปสะดุดเข้ากับแหวนหยกสีขาววงหนึ่ง เมื่อมองดีๆ จะเห็นประกายสีทองแฝงอยู่ด้วย จึงเลือกแหวนวงนี้ขึ้นมาและให้นำที่เหลือไปเก็บไว้เหมือนเดิม
หนึ่งในสี่มู่ก็ช่างรู้ใจเรียกเอาเข็มเล่มเล็กมาเจาะเลือดของข้าป้ายไปที่แหวน ตอนแรกแหวนวงนี้มีขนาดใหญ่กว่านิ้วมากแต่พอสวมเข้าไปมันกลับมีขนาดเล็กลงจนพอดีกับนิ้วมือ จากนั้นจึงลองส่งจิตเข้าไปสำรวจพื้นที่ข้างในแหวน
มันเป็นพื้นที่โล่งเหมือนห้องห้องหนึ่งแค่นั้น ในนั้นมีหีบไม้ตั้งอยู่สามใบ นางจึงลองดึงออกมาดูหีบใบที่หนึ่งเป็นตำราฝึกฝนพลังปราณและพลังธาตุ หีบใบที่สองเป็นตำราศึกษาอักขระ หีบใบที่สามเป็นตำราศึกษาสมุนไพร เมื่อดูจนครบจึงเก็บหีบทั้งสามใบไปไว้ในแหวนตามเดิม อีกทั้งยังเก็บหีบตำลึงทอง หีบตำลึงเงิน หีบหินปราณ หินพลังธาตุมาอีกอย่างละหนึ่งหีบ แล้วจึงให้ปิดห้องไว้ตามเดิมและเดินกลับมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือต่อ
*********