บทที่ 1 Red Daisy

3345 คำ
บทที่ 1 Red Daisy ดอกเดซีสีแดง มีความหมายว่า ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว                   ไฟนีออนที่ส่องแสงสว่างจ้าแต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นของร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ใจกลางเมืองใหญ่กำลังดึงดูดให้ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาแวะทักทายเหล่าบรรดาเครื่องดื่มและขนมหวานในร้านได้อย่างง่ายดาย                 บางคนเป็นลูกค้าประจำ มาเพื่อสั่งเครื่องดื่มที่โปรดปรานแล้วนั่งละเลียดของหวาน และรับประทานบรรยากาศที่คุ้นเคยจนอิ่มหนำ                 บางคนเป็นขาจร มาเพื่อสั่งเครื่องดื่ม นั่งเพียงชั่วครู่ แล้วจากไปพร้อมกับรอยยิ้มประทับใจ                 เฉกเช่นเดียวกับ 'อคิราห์' ที่เป็นขาประจำของที่นี่เช่นเดียวกันกับลูกค้าคนอื่น ๆ ทฤษฎีที่ว่าชอบกินร้านไหนจะกินร้านนั้นไปเรื่อย ๆ มักเป็นจริงเสมอ                  อคิราห์ชอบกาแฟและของหวานร้านนี้ และเขาก็กินเรื่อย ๆ มาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว นับตั้งแต่ที่ย้ายออกจากบ้านมาอยู่คอนโดใหม่ใจกลางเมือง                 ความที่ชอบเดินเล่นและถ่ายภาพเก็บบรรยากาศของเมือง ตึกรามบ้านช่อง รถราที่แล่นไปมาขวักไขว่อยู่ตามถนน ผู้คนและแสงไฟ ทำให้อคิราห์บังเอิญเจอร้านคาเฟ่แห่งนี้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมา                 ไฟสีส้มอ่อนที่สะท้อนออกไปยังด้านนอกชักชวนให้เขาเดินหลงเข้ามาในคาเฟ่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย อเมริกาโน่เพิ่มช็อตคือสิ่งแรกที่เขาสั่ง อคิราห์เลือกที่นั่งดี ๆ หรือนัยหนึ่งก็คือมุมโปรด แล้วเดินไปหย่อนก้นลงตรงนั้นเพื่อรอเครื่องดื่มที่สั่ง                 กล้องตัวโปรดราคาหลายหมื่นถูกยกขึ้นมาบันทึกภาพของดอกไม้ที่ถูกจัดไว้อย่างสวยงามในมุมหนึ่งของร้าน ยอมรับว่าคาเฟ่แห่งนี้ตกแต่งได้อย่างสวยงามและน่าดึงดูด มาเพียงครั้งเดียวไม่ได้ ต้องมีครั้งที่สองสามสี่ห้าตามมาเสมอ                 คงต้องมาบ่อย ๆ แล้วสิ                 หลังจากนั้นทุกวันที่กลับจากสถานีโทรทัศน์ อคิราห์จะแวะที่คาเฟ่แห่งนี้ก่อนเสมอ ใช้เวลากับบรรยากาศที่แสนอบอุ่นแฝงไปด้วยความโรแมนติก เกือบชั่วโมงแล้วค่อยขับรถกลับคอนโด หรือแม้กระทั่งในวันหยุดเขาก็มักจะเดินมาที่นี่เสมอในช่วงเย็น เพราะคาเฟ่กับคอนโดของเขาอยู่ไม่ไกลกันมากนัก                  "เหมือนเดิมใช่ไหมคะ"                 อคิราห์ส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของร้านคนสวยพร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ ตอนนี้เขาค่อนข้างที่จะสนิทกับคุณเจ้าของร้านแล้วล่ะ                  เนื่องจากมาเกือบทุกวัน ครั้งละเกือบชั่วโมง เป็นเวลาปีกว่า ก็ต้องสนิทชิดเชื้อเป็นธรรมดาอยู่แล้ว                 แต่วันนี้ดูเหมือนว่าคนจะเยอะเป็นพิเศษ รู้แบบนี้น่าจะมาตั้งแต่เลิกงานแล้วนะ ไม่น่ามัวแวะถ่ายรูปเล่นเลยจริง ๆ อคิราห์นึกตำหนิตัวเองในใจ                 "โต๊ะเต็มหมดเลย"                 เปรยกับตัวเองเบา ๆ เมื่อมองดูรอบ ๆ ร้านแล้วไม่มีที่นั่งเหลือสักที่ วันนี้มันวันอะไรกัน หรือว่าที่ร้านจัดโปรโมชั่นส่วนลดคนถึงได้แน่นร้านขนาดนี้ และทันทีที่พูดจบเขาก็สังเกตเห็นโต๊ะเล็ก ๆ ตัวหนึ่งตั้งอยู่หลังมวลหมู่ดอกไม้นานาชนิดที่ทางร้านจัดไว้เพื่อให้ลูกค้าได้ถ่ายภาพ                 ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยนะ                 "คงเป็นโต๊ะเสริม"                 สรุปกับตัวเองเสร็จสรรพอคิราห์ก็ได้เวลาพาตัวเองไปนั่งลงยังโต๊ะตัวนั้น          น่าแปลกที่มันเป็นเพียงโต๊ะเล็ก ๆ และมีเก้าอี้เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่วางตั้งอยู่                 สำหรับหนึ่งคนสินะ                 อคิราห์กำลังหยิบกล้องมาบันทึกดอกไม้ชนิดใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ต้องชะงักมือเอาไว้ เนื่องจากดวงตาเรียวเล็กสังเกตเห็นสมุดเล็ก ๆ เล่มหนึ่งเสียก่อน                 ปกสมุดเป็นกระดาษคราฟท์ที่ช่วยถนอมสายตาได้เป็นอย่างดี ด้านหน้าถูกตกแต่งด้วยกลีบดอกไม้นานาชนิดที่อคิราห์ไม่รู้จักชื่อ มีเพียงกลีบสีแดงสดกลีบเดียวที่เขารู้ นั่นก็คือกลีบดอกกุหลาบที่ถูกแปะไว้มุมขวาด้านบนสุดของสมุด                  ดอกไม้ตรงกลางพิเศษกว่าใครเพื่อน เพราะถูกเจ้าของสมุดแปะไว้ทั้งดอก ดอกไม้ดอกนั้นเป็นสีแดง และมีเกสรตรงกลางเป็นสีเหลือง ช่างแปลกจริง ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน                 เจ้าของสมุดคงชอบดอกไม้มาก และคงจะชอบการตกแต่งเป็นพิเศษ เนื่องจากปกสมุดไม่มีพื้นที่ว่างสำหรับตัวหนังสือเลย มีแต่กลีบดอกไม้สีแดงวางสลับซับซ้อนกันเต็มหน้ากระดาษไปหมด แต่กระนั้นคนมองก็ยังสบายตาอยู่ดี ขอเรียกสมุดเล่มนี้ว่าสมุดดอกไม้แล้วกันนะ เป็นสมุดดอกไม้ที่มีแต่สีแดง เจ้าของของมันคงเป็นคนที่สดใสน่าดู อคิราห์คิดในใจพร้อมกับแย้มยิ้มออกมา                 อคิราห์ถือวิสาสะเปิดเข้าไปดูด้านในของสมุด เพราะอีกความคิดของเขาก็บอกว่าเป็นของที่ทางร้านเตรียมไว้ให้อ่านเพื่อฆ่าเวลาหากต้องรอเครื่องดื่มเป็นเวลานาน เขาจึงไม่ได้คิดเกรงใจใครหากจะเปิดสมุดเล่มนี้ดูและอ่านมัน                 "ตัวหนังสือสวยจัง"                 ยกยิ้มอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเมื่อสายตาปะทะกับตัวหนังสือที่วางเรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ แม้คนเขียนจะตั้งใจประดิษฐ์ให้ตัวอักษรเป็นตัวหวัด แต่กระนั้นก็ยังอ่านง่ายอยู่ดี                 นึกอยากเห็นหน้าคนเขียนเสียแล้วสิ                 ปึก!                 คนที่นั่งอยู่สะดุ้งน้อย ๆ เมื่อถาดพลาสติกใบเล็กที่รองรับแก้วกาแฟถูกวางลงบนโต๊ะอย่างไม่ค่อยจะเบามือนัก บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนที่ถือมันมาไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่                 จากนั้นอเมริกาโน่เย็นแก้วโปรดของเขาก็ถูกหยิบขึ้นมาและวางลงบนโต๊ะต่อหน้าอย่างเบามือ ผิดกับเมื่อครู่ตอนวางถาดราวกับคนละคน                  น่าแปลกที่กาแฟแก้วโปรดวางอยู่ตรงหน้า แต่อคิราห์กลับไม่ได้กลิ่นของกาแฟแม้แต่น้อย ตอนนี้เขารับรู้เพียงกลิ่นของอะไรบางอย่างที่หอมตลบอบอวล กลบทุกอย่างให้ดูจืดชืดไปเสียสนิท                 "ขอสมุดคืนด้วยค่ะ"                 คนเสิร์ฟไม่ได้บอกกับเขาว่า 'กาแฟที่สั่งได้แล้วค่ะ' เหมือนดังเช่นพนักงานคนอื่น ๆ แต่เธอกลับพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะเสนาะหูว่าขอสมุดคืน นี่คงเป็นของของเธอสินะ                 เสียมารยาทจริงเชียว อคิราห์นึกตำหนิตัวเองในใจ                 มือเรียวปิดสมุดเล่มนั้นลงให้อยู่ในสภาพเดิมดังที่เจอในตอนแรก แอบเสียดายอยู่ไม่น้อยที่เขายังไม่มีโอกาสได้อ่านข้อความที่อยู่ภายในเลย แม้จะเห็นตัวหนังสือพวกนั้นผ่านตาแล้วก็ตาม                 คนเสียมารยาทยื่นสมุดเล่มนั้นออกไปตรงหน้าเพื่อที่จะให้เจ้าของสมุดตัวจริงหยิบเอาคืนไป อคิราห์ยืดตัวนั่งหลังตรงในทันที เสียมารยาทไปแล้วก็ต้องรู้จักขอโทษสินะ                  แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวเมื่อสายเกินไป เมื่อผู้หญิงตัวหอมคนนั้นหยิบเอาสมุดแล้วหันหลังเตรียมตัวเดินจากเขาไป หากจะปล่อยเลยตามเลยให้หายไปก็กระไรอยู่                 "เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ!"                 หญิงสาวร่างเล็กหันมาตามเสียงเรียก 'บริมาส' สูดลมหายใจแล้วพ่นออกช้า ๆ เพื่อระงับความไม่พอใจเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ พี่สาวบอกเสมอว่าต้องดูแลลูกค้าอย่างดี อาจจะไม่ดีเท่าดูแลพระเจ้า แต่ลูกค้าก็คือพระเจ้า ไม่ว่าใครก็ตามที่ย่างกรายเข้ามาในคาเฟ่แห่งนี้ พนักงานทุกคนรวมถึงเธอซึ่งเป็นน้องสาวของเจ้าของร้านต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเหล่านั้นด้วยกาย วาจา และจิตใจที่เป็นมิตรให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้                 บริมาสรู้สึกไม่พอใจคนตรงหน้าตั้งแต่ที่เขาถือวิสาสะเดินแหวกผู้คนที่แน่นขนัดอยู่ภายในร้านมายังพื้นที่แห่งนี้แล้ว โต๊ะที่ตั้งอยู่หลังแจกันไม้ดอกไม้ประดับที่วางเรียงรายกันอยู่เพื่อโชว์ให้ลูกค้าได้ยล นั่นคือพื้นที่ส่วนตัวของเธอ และไม่เคยมีผู้ใดได้ย่างกรายบุกรุกเข้ามาเลยสักครั้ง                 ไม่ใช่ว่าทุกวันเธอจะมาที่นี่ บริมาสประจำอยู่ที่ร้านขายดอกไม้ของผู้เป็นแม่ในเวลากลางวัน และในตอนเย็นเธอจะเดินข้ามฝั่งมาที่ร้านคาเฟ่ของพี่สาว แต่เฉพาะในวันที่ว่างเว้นจากการปั่นนิยายเพียงเท่านั้น ไม่ได้มาที่นี่ในทุกเย็น                   แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ใช้อภิสิทธิ์การเป็นน้องสาวเจ้าของร้านในการมีโต๊ะส่วนตัวที่หลบมุมอยู่หลังเจ้าดอกไม้ทั้งหลายเพื่อหลบซ่อนจากผู้คนที่พลุกพล่านอยู่ด้านนอก                 เหตุไฉนวันนี้ถึงมีคนแปลกหน้าก้าวเข้ามานั่งในพื้นที่ส่วนตัวของเธอได้เล่า แถมคนผู้นั้นยังตั้งหน้าตั้งตาสนใจอ่านสมุดดอกไม้ของเธออีก ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย                 "ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ"                 บริมาสคิดในใจว่าเขารู้ตัวก็ดีแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมหันหน้ามาเผชิญกับคนที่ยังนั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของเธออยู่ดี เท้าเล็กกำลังเดินออกห่างเพื่อเสิร์ฟออเดอร์ต่อไป                 "ตัวหนังสือคุณสวยดี"                 แต่เสียงลูกค้าของพี่สาวก็ยังส่งมากระทบโสตประสาทไม่เลิก                 "ขอบคุณค่ะ"                 เป็นประโยคที่สองที่บริมาสยอมพูดกับบุคคลผู้ที่ชอบเสียมารยาทผู้นี้ เท้าเล็กเตรียมก้าวเดินอีกครั้ง และเสียงของลูกค้าก็ดังขึ้นอีกครั้งเช่นเดียวกัน                 "ดอกไม้สีแดงที่อยู่ตรงกลางสมุดคือดอกอะไรเหรอคะ"                 คราวนี้บริมาสหันกลับมาเผชิญหน้ากับลูกค้าของพี่สาวตรง ๆ ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เขาจะอยากรู้อะไรนักหนา                 สมุดเล่มนี้บริมาสเพิ่งทำเสร็จเมื่อวาน กลีบดอกไม้ที่เริ่มโรยราถูกเธอเก็บมาแปะไว้ที่ปกสมุดดังเช่นที่เคยทำเป็นประจำ เธอตั้งใจไว้ว่าภายในของสมุดเล่มนี้จะเขียนความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดที่เธอได้แปะกลีบบาง ๆ ของพวกมันเอาไว้ที่หน้าปก และใจกลางของสมุดก็ถูกแปะด้วยดอกเดซีสีแดงหนึ่งดอก                  อาจเพราะดอกไม้ดอกนั้นอยู่ตรงกลางจึงทำให้เขามองเห็นเด่นชัดกว่าดอกอื่น ก็เลยสนใจมันเป็นพิเศษก็เป็นได้ แต่จะอยากรู้ไปทำไมกัน วุ่นวายจริงเชียว                 "ดอกเดซีสีแดงค่ะ"                 เนื่องจากเป็นคนแปะดอกไม้เองกับมือ บริมาสจึงไม่เสียเวลาเสสายตามองดูสมุดเล่มเล็กที่วางอยู่บนถาดในมือเลยแม้แต่น้อย                 "อ่อ"                 เปล่งเสียงออกมาได้เพียงเท่านั้น โชคดีแค่ไหนที่อคิราห์ยังหาเสียงตัวเองเจอ ผู้หญิงตัวเล็กที่เกล้าผมขึ้นไว้กลางศีรษะลวก ๆ ส่งผลให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสวยหวานปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน คนตัวเล็กตรงหน้าผูกผ้ากันเปื้อนที่ปักชื่อร้านไว้ตรงช่วงเอวมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ ใบหน้าของเธอตอนนี้ช่างแตกต่างกับเสียงหวาน ๆ นั่นเสียจริง                 ตอบเขาเพียงเท่านั้นบริมาสก็หันหลังกลับ ไม่สนใจหันมามองเขาอีกเลย ต่างจากอคิราห์ที่นั่งมองจนเธอผู้นั้นหายลับไปกับดอกไม้ที่ค่อย ๆ บดบังเธอเรื่อย ๆ จนลับสายตา น่าแปลกที่เธอผู้นั้นเดินจากไปแล้วแต่กลิ่นหอมอ่อน ๆ ยังลอยเข้ามาเตะจมูก                 ไม่ใช่เพราะเขานั่งอยู่ในดงดอกไม้ อคิราห์รู้ดี กลิ่นนั้นมันต่าง ต่างจากดอกไม้ที่เขาสูดดมกลิ่นอยู่ในตอนนี้เป็นไหน ๆ                  "สวย"                 หมายถึงดอกไม้ที่เธอบรรจงสร้างสรรค์ลงบนกระดาษ เห็นเพียงเท่านั้น อคิราห์ก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่ต้องเป็นหญิงมารยาทงามและสุภาพเรียบร้อยอ่อนช้อยน่ารักอย่างแน่นอน                 แต่มีเพียงแค่ดอกไม้เท่านั้นหรือที่สวยสดงดงาม อคิราห์รู้ดีว่าไม่ใช่                 ร่างสูงทิ้งตัวลงบนที่นอนเมื่อกลับมาถึงห้อง ตลอดเวลาที่เดินทางกลับมาที่นี่อคิราห์เอาแต่คิดถึงใบหน้าของพนักงานคนนั้น ขอเดาว่าอาจจะเป็นพนักงานคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานวันแรก หรืออาจจะเป็นเด็กมัธยมมาสมัครทำพาร์ทไทม์ก็ได้ เพราะตลอดหนึ่งปีกว่า ๆ ที่เข้าออกคาเฟ่แห่งนี้อยู่เป็นประจำเขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย                 หรือไม่เธอก็คงเป็นทูตแห่งสวรรค์ที่เดินทางลงมาปกปักรักษาดอกไม้งามจากคนมารยาททรามอย่างเขาก็เป็นได้                 "ดอกเดซีสีแดง"                 เปรยกับตัวเองเบา ๆ แล้วหยิบสมาร์ตโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกง                      อคิราห์แค่อยากรู้ว่าดอกเดซีสีแดงสำคัญมากแค่ไหน ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้แปะดอกไม้ชนิดนี้ไว้ตรงกลางหนังสือ                 ริมฝีปากแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อค้นหาความหมายของมันจนเจอ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง             "ดอกเดซีสีแดง มีความหมายว่า ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว"                 อคิราห์พยักหน้าขึ้นลงช้า ๆ อย่างเข้าใจ ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัวงั้นหรือ เราสามารถตกหลุมรักคนคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัวได้ด้วยเหรอ                  สมองของเขากำลังคิดหาเหตุและผลมาลบล้างกัน แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ในเมื่อภาพที่ปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึงของเขามีแต่ภาพใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเจ้าของสมุดเล่มนั้น                 คนเราจะแสดงสีหน้าเวลาโกรธหรือไม่พอใจอะไรสักอย่างได้น่ารักขนาดนั้นเชียวหรือ                 ผมที่ถูกเกล้าขึ้นไว้กลางศีรษะลวก ๆ ผ้ากันเปื้อนที่กระชับร่างเล็กให้ดูทะมัดทะแมงยิ่งขับให้เธอผู้นั้นดูโดดเด่นแม้ตัวจะเล็กแค่นิดเดียว                 เพราะมัวแต่สนใจสมุดดอกไม้อคิราห์จึงมองเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นไม่ชัดเจนนัก แต่กระนั้นสายตาของเขาก็ยังจดจำสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์มึนตึงของผู้หญิงคนนั้นได้เป็นอย่างดี                 คงไม่พอใจเขามากสินะถึงได้หน้างอเป็นปลาทูคอหักขนาดนั้น                 แล้วทำไมเขาต้องเอาแต่คิดถึงเรื่องของเธอกันด้วยเล่า                 "นอนได้แล้วอคิณ"                 "..."                 "คิดเรื่อยเปื่อยไม่เข้าท่า"                 ปรามตัวเองเสร็จสรรพอคิราห์ก็ปิดไฟทุกดวงในห้องจนมืดสนิท แต่ดวงตาของเขากลับไม่ปิดลงตามดวงไฟ                 ทำไมยังไม่นอนอีกเล่า รีบ ๆ นอนสิจะได้ถึงพรุ่งนี้เร็ว ๆ และเมื่อถึงพรุ่งนี้แล้ว เขาก็จะได้รีบไปที่คาเฟ่นั่นอีก คาเฟ่ที่มีเจ้าของสมุดดอกไม้ใบหน้าบึ้งตึงที่ช่างน่ารักเหลือคณา หวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกันอีกนะ                   "เป็นอะไรคะน้องเหมย ทำไมหน้าบึ้งอย่างนั้นล่ะ"                 พี่สาวเดินมานั่งลงตรงข้ามกับน้องคนเล็กเมื่อจัดการกับร้านคาเฟ่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อยในเวลาเกือบเที่ยงคืน                 คาเฟ่แห่งนี้เปิดเวลาสี่โมงเช้าถึงสี่ทุ่มของทุกวันอังคารจนถึงวันอาทิตย์ หยุดเพียงวันเดียวนั่นก็คือวันจันทร์เท่านั้น                 บริมาสหยิบดอกไม้สีแดงหนึ่งดอกขึ้นมาให้พี่สาวดูด้วยใบหน้างอง้ำ หลังจากยึดสมุดคืนจากลูกค้าของพี่สาวเธอก็นำมาวางไว้หลังตู้เย็นแล้วไม่ได้สนใจไยดีมันอีก                 จนเมื่อครู่ที่ว่างเว้นจากการช่วยพี่สาวและพนักงานเก็บร้านเรียบร้อยแล้ว บริมาสถึงได้สนใจและหยิบมันขึ้นมาดู แต่ผลปรากฏว่าดอกไม้สีแดงที่มีชื่อว่าดอกเดซีหลุดออกและหล่นลงพื้น เมื่อนั้นแหละที่ใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเธององ้ำลงกว่าเดิม                 ลูกค้าไม่มีมารยาทคนนั้นทำดอกไม้เธอหลุด                 "ดอกไม้น้องเหมยหลุดเลยค่ะ"                 บริมาสชี้ชวนให้พี่สาวดูสมุดของตัวเอง และคนพี่ก็ส่งยิ้มเอ็นดูมาให้ ดูเหมือนว่าน้องคนเล็กจะไม่พอใจมาก ๆ เลยสินะที่ลูกค้าของเธอทำสมุดดอกไม้ที่น้องสาวอุตส่าห์ตั้งใจทำเกือบพังลง                 "ลูกค้าพี่ทำเหรอ"                 "ใช่ค่ะ"                 "น้องเหมยติดดอกไม้ไม่แน่นเองหรือเปล่าคะ"                 "ลูกค้าพี่ม่านต่างหากที่ทำ"                 น้องสาวเถียงคอเป็นเอ็น และดูเหมือนว่าลูกค้าคนนั้นจะถูกน้องสาวตัวดีเขม่นเข้าให้แล้ว ช่างน่าขันเสียจริง                 "วันนี้คนแน่นร้านไปหมด แล้วลูกค้าคนนั้นก็ไปนั่งที่โต๊ะส่วนตัวของน้องเหมย"                 "โอ๊ะโอ"                 พี่สาวแกล้งเอามือทาบอก เป็นที่รู้กันทั้งร้านว่าพื้นที่ตรงหลังเหล่าหมู่มวลดอกไม้ที่จัดไว้เพื่อโชว์และให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปเป็นพื้นที่ส่วนตัวของน้องสาว ไม่เคยมีใครได้เข้าไปนั่งเลยสักคน แต่มาวันนี้กลับมีลูกค้าเข้าไปนั่ง แถมยังทำสมุดดอกไม้พังอีกต่างหาก ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่น้องสาวจะแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างนี้                 "ดอกเดซีสีแดงมีความหมายว่าตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว"                 พี่สาวเปรยลอย ๆ แต่กลับปรายสายตามาจ้องน้องสาวอย่างจริงจัง                 "ดอกเดซีหล่น ก็แสดงว่ามีคนตกหลุมรักน้องเหมยจริง ๆ แล้วสินะคะ"                 คนถูกพูดถึงส่งค้อนให้พี่สาวหนึ่งวง จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร พี่สาวเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว                 บริมาสหอบสมุดไว้แนบอกแล้วลุกขึ้นยืน ได้เวลาข้ามฝั่งกลับบ้านแล้วสินะ อยู่กับพี่สาวก็รังแต่จะสร้างความปวดหัวให้ ขอหลบไปในพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวจริง ๆ นั่นก็คือห้องนอนของเธอก่อนก็แล้วกัน หลบไปใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ทำสมาธิเพื่อเขียนนิยายต่อดีกว่า                 "อ้าว...กลับแล้วเหรอคะ"                 พี่สาวร้องเรียกตามหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเห็นน้องสาวเดิมดุ่ม ๆ ไม่สั่งเสียใครตรงไปยังประตูหน้าร้าน ดูเอาเถิด เดินเชิดไม่สนใจใครขนาดนั้นคงกำลังงอนหนักล่ะสิท่า                 "ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว มันก็มีแค่ความหมายของดอกไม้เท่านั้นแหละ"                 ร่างเล็กวางสมุดลงบนโต๊ะตรงหัวเตียงอย่างเบามือ ดอกเดซีที่หลุดออกก็ให้หลุดอยู่อย่างนั้นต่อไปก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าค่อยติดใหม่ เพราะเธอมีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำนั่นก็คือการปั่นนิยาย                 "ทำไมวันนี้สมองไม่ไบรท์เลยนะ"                 บริมาสพูดกับตัวเองเบา ๆ เมื่อเปิดไอแพดในหน้านิยายที่แต่งตอนล่าสุดเอาไว้เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า สงสัยคงเป็นเพราะความหงุดหงิดแน่ ๆ เลย                 หงุดหงิดลูกค้าของพี่สาวนั่นแหละ คนอะไรก็ไม่รู้ไม่มีมารยาท เธอเองก็จำใบหน้าเขาไม่ได้เสียด้วยสิเพราะมัวแต่สนใจสมุดดอกไม้ของตัวเอง น่าเสียดายจริง ๆ เธอน่าจะมองหน้าเขาบ้าง เพื่อที่ในครั้งต่อไปจะได้จดจำให้ขึ้นใจว่าลูกค้าคนนี้ไม่รู้จักคำว่ามารยาท กล้าดียังไงมาจับสิ่งของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต                 ร่างเล็กกดออกจากหน้านิยาย กดล็อกหน้าจอไอแพดแล้วเดินช้า ๆ เข้าห้องน้ำไป อาบน้ำนอนเลยก็แล้วกัน อารมณ์แบบนี้แต่งนิยายไม่ได้แน่ หงุดหงิดเป็นบ้าเพราะลูกค้าคนนั้นคนเดียว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม