กลทีป์มองน้องชายที่เปิดประตูห้องเดินออกไป จริงอย่างที่ก่อฤกษ์พูด ถ้าแม่นั่นมีสมองคิดได้จริง คงไม่กล้าเอาเรื่องในคืนนั้นไปป่าวประกาศให้ญาติพี่น้องรู้แน่ เขาถอนหายใจดัง ๆ ออกมา อย่างน้อยก็โล่งอกขึ้นมาหน่อย พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขาต้องกลับไปทำงาน ไปเผชิญหน้ากับทุกคนที่บริษัท ถึงจะทำใจไว้ก่อนบ้างแล้ว แต่เขารู้สึกเสียหน้าอยู่ไม่น้อย อีกทั้งธุรกิจที่ร่วมมือกับทางนายเด่นภูมิ ยังต้องทำด้วยกันอยู่ ต่อไปจะมองหน้ากันติดไหมก็ไม่รู้
ตื่นเช้าขึ้นมากลทีป์นั่งทำใจอยู่นาน กว่าจะลุกเดินเข้าไปอาบน้ำ เมื่อคืนเขาลองขอภาพจากตากล้องเพิ่ม ว่าพอจะมีภาพที่คัดทิ้งไปบ้างไหมให้ส่งมาให้หมด ซึ่งทางตากล้องส่งมาให้เขาเป็นร้อยรูป ถึงอย่างนั้นยังไม่เห็นแม้แต่เงาของแม่สาวชุดชมพูนั่น คล้ายจะทำใจได้แต่เปล่าเลย มันค้างคาใจเขาแบบสุด ๆ
ชายหนุ่มยืนอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ หันส่องดูรอยเล็บที่ลากยาว ตรงปีกหลังด้านบนทั้งสองข้าง นี่คนหรือแมวถึงทำรอยได้น่ากลัวขนาดนี้ ทนแสบร้อนทายามาหลายวัน วันนี้ค่อยดูได้หน่อยแผลแห้งดีแล้ว แต่จะว่าไปเขาก็ทิ้งรอยบนตัวของแม่นั่นไว้เยอะเหมือนกัน ถือว่าแฟร์ ๆ กันไปก็แล้วกัน รีบอาบน้ำแต่งตัวลงมาด้านล่าง
ตรงห้องอาหารครอบครัวของเขา กำลังนั่งกินมื้อเช้าก่อนไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน แต่เสียงพูดคุยกันของพวกเขา ทำให้กลทีป์หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงประตูทางเข้า
“ดีนะที่เจ้าทีไม่ได้คิดอยากออกไปสร้างเรือนหอข้างนอก ไม่งั้นคงเสียดายเงินแย่”
“ก็ทางนั้นเขาเร่งมานี่คะ เสนอมาอีกว่าให้จัดงานแต่งที่โรงแรม ใช้ห้องหอที่นั่นเลยสะดวกสบายดี แต่งแล้วให้อยู่บ้านเราไปก่อน วันข้างหน้าอยากแยกตัวออกมาค่อยว่ากันอีกที ฉันก็ว่ามันแปลกทำไมเร่ง ๆ รีบ ๆ ที่แท้ก็” เพราะคิดว่าแต่งงานกันแล้ว ยังได้เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้ในบ้าน นางรติมาเลยรีบตอบตกลงทำตามที่อีกฝ่ายแนะนำในทันที
“ก็ดีแล้วนี่ครับคุณพ่อคุณแม่ ดีกว่าแต่งไปแล้วมารู้ว่าเมียตัวเองชอบผู้หญิงนะครับ ถือว่าพี่ทีโชคดีจะตายไป”
“จริงของตาก่อนะคะคุณ” นางรติมาเห็นด้วยกับลูกชายคนเล็กของตนเอง
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมเบา ๆ มาจากกลทีป์ เขาเดินมาทิ้งตัวลงนั่งด้านข้างน้องชายตัวเอง
“วันนี้มีประชุมโปรเจกต์พิเศษ กับบริษัทคุณอาเด่นภูมิด้วยใช่ไหมก่อ” กลทีป์ทำเป็นสนใจเรื่องงานในวันนี้ และไม่แสดงท่าทีว่าได้ยินเรื่องที่ทุกคนคุยกันก่อนหน้า ไม่อยากให้ต้องอึดอัดใจกัน
“ครับพี่ที ผมเห็นเลขาแจ้งเวลาประชุมมาแล้วครับ”
“ทีโอเคไหมลูก ความจริงทีไม่ต้องเข้าร่วมก็ได้นะ ส่งตัวแทนของฝ่ายการตลาดไปแทนก็ได้นี่” นายอชิระนึกห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ไม่ค่อยอยากให้ลูกชายเผชิญหน้ากับนายเด่นภูมิตอนนี้
“ผมจะเข้าร่วมประชุมครับคุณพ่อ ยังไงผมกับก่อก็ต้องเข้าร่วมตามปกติอยู่แล้วนี่ครับ”
เขาอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ส่วนก่อฤกษ์เป็นผู้อำนวยการด้านพัฒนาศักยภาพทีมขาย ยังไงก็ต้องเข้าร่วมประชุมเรื่องผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ร่วมมือกับบริษัทเพียวดีไลต์ของนายเด่นภูมิ บิดาของเขาเซ็นสัญญาร่วมกันทำสินค้าตัวนี้ หวังให้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่คิดว่านภาวดีกลับฉีกหน้าทุกคนได้อย่างเลวร้าย
“เราเลื่อนประชุมไปก่อนไม่ได้เหรอคะคุณ เจอหน้ากันเร็วแบบนี้ เกรงว่าคนอื่นจะเอาไปพูดกันสนุกปากอีก” นางรติมาแม้ไม่ได้ไปทำงานกับทุกคนแต่รู้ทุกเรื่องเป็นอย่างดี นึกเป็นห่วงความรู้สึกของลูกชายคนโตอยู่ไม่น้อย
“ไม่ได้หรอกครับคุณแม่ งานก็คืองานครับผมแยกแยะได้ ไม่ไปทะเลาะกับคุณอาเด่นภูมิเขาหรอกครับ” กลทีป์ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวของเขา ส่งผลกระทบมาถึงเรื่องงานในบริษัท
“จริงของตาทีนั่นแหละคุณ เข้าประชุมกันหมดนี่แหละ ทำตัวให้ปกติเข้าไว้ บ้านเราไม่ผิดจำไว้แค่นี้ก็พอ” นายอชิระเห็นด้วยกับลูกชายตัวเอง
สองพี่น้องหันไปมองหน้ากันเล็กน้อย ทำไมบิดาของเขาถึงได้อยากเข้าร่วมประชุมวันนี้ด้วย สงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป ท่านคงมีเหตุผลของท่านนั่นแหละ
หลังกินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างขับรถของตัวเองเข้าไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ผู้บริหารของที่นี่จะมีลานจอดรถโซนพิเศษอยู่ชั้นห้า ส่วนพนักงานสามารถจอดรถได้ชั้นสี่ลงมาถึงลานจอดใต้ดิน บรรยากาศของเช้าวันนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เพราะหน้าตาบึ้งตึงของกลทีป์หรือเปล่า ทำให้หลายคนคิดว่าเขาคงเครียดเรื่องงานแต่งล่ม พอเดินผ่านก็ทำตัวไม่ถูกเกร็งกันไปหมด สามพ่อลูกเข้าไปในห้องท่านประธานกรรมการบริษัท เพื่อรอเวลาเข้าห้องประชุมต่อ
“ทีมานั่งทำงานในห้องของพ่อดูก่อนก็ได้นะลูก ปีหน้าพ่อก็จะเกษียณแล้ว”
“รอให้คุณพ่อเกษียณจริง ๆ ก่อนสิครับ ผมไม่รีบ” กลทีป์ยิ้มให้บิดาเล็กน้อย ก่อนหันไปทางน้องชาย
“ถ้าผมขึ้นตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ก่อต้องมาเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารนะครับ ผมไม่ยอมทำงานคนเดียวแน่” หากเขาเป็นคนวางนโยบายการทำงาน น้องชายควรเป็นคนดูแลเรื่องจัดการบริหาร ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจของครอบครัวได้อย่างแท้จริง
“อ้าวไหงมาลงที่ผมได้ล่ะครับพี่ที ผมเบื่องานบริษัทจะแย่อยู่แล้วนี่”
“ไม่รู้แหละ เบื่อยังไงก็ต้องมาทำด้วยกัน จะให้ฉันทำคนเดียวก็ห่อเหี่ยวตายพอดี”
“เออ ลูกชายฉันแต่ละคน เต็มใจรับช่วงต่อกันเหลือเกินนะ” นายอชิระย่อมรู้ว่าลูกชายทั้งสองคนนั้น ไม่ได้ชื่นชอบงานบริษัทที่ทำอยู่ในตอนนี้เท่าไร แต่ด้วยเป็นธุรกิจของครอบครัว จำเป็นต้องสานต่อ เพื่อความอยู่รอดของบริษัทและพนักงานทุกคน อีกทั้งรองกรรมการท่านอื่น ๆ ก็สนับสนุนทั้งคู่อยู่ก่อนแล้ว ยังไงครอบครัวเปรมอนันตกุล ก็ถือหุ้นเกินครึ่งของบริษัทแห่งนี้
“ถึงไม่ชอบก็ต้องทำครับคุณพ่อ แต่ก่อต้องช่วยผมนะครับ ผมไม่ไว้ใจคนอื่นเท่าไร” กลทีป์พูดกับบิดา สายตามองไปทางน้องชายตัวเองด้วย
“โอเคครับช่วยก็ช่วย เอาไว้ปีหน้าเราค่อยว่ากันนะครับพี่ที ตอนนี้เอาเรื่องประชุมวันนี้ให้รอดก่อนดีไหมครับ” ก่อฤกษ์รู้สึกว่าบิดาของเขากับบิดาของนภาวดี น่าจะเขม่นกันมาตั้งแต่ตอนงานแต่งแล้ว แม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายเอาสินสอดมาคืนยังมีเรื่องให้ทะเลาะกันอีก ดีที่มารดาของพวกเขาปรามเอาไว้ก่อน
“คุณพ่อไม่ต้องเข้าร่วมประชุมก็ได้นะครับ โปรเจกต์นี้มันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แค่ทำเชื่อมสัมพันธไมตรีกับบริษัทคุณอาเด่นภูมิเฉย ๆ ผมเองอยากยกเลิกใจจะขาด ถ้าไม่ติดว่าเซ็นสัญญาร่วมงานกันไปแล้วนะ” กลทีป์นึกแปลกใจที่บิดาแสดงเจตจำนงเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วย
“ไม่ได้ ๆ พ่อต้องเข้าร่วมประชุมด้วย จะให้พวกแกไปเจอหน้าคนที่ทำลายชื่อเสียงเราแบบนั้นตามลำพังไม่ได้” ท่าทางห่วงลูกจนเกินเหตุ ทำให้ลูกชายทั้งสองคนต้องหันไปมองหน้ากันแบบงง ๆ
“คุณอาเด่นภูมิไม่ได้ทำลายชื่อเสียงเรานะครับคุณพ่อ ลูกสาวเขาต่างหาก” ก่อฤกษ์แย้งเบา ๆ
“เหมือนกันนั่นแหละ นี่เอกสารงานวันนี้ เอาไปอ่านกันก่อนไป เลขาพ่อทำไว้แบบกระชับ ๆ แล้ว” นายอชิระเลื่อนแฟ้มงานประชุมไปให้ลูกชายคนละแฟ้ม เพราะก่อนหน้าลูกชายมัวแต่ยุ่งกับงานแต่ง เลยโยนงานนี้มาให้เลขาของเขาช่วยทำให้แทน
บนชั้นสิบสองงานเข้าสาว ๆ ในแผนกออกแบบผลิตภัณฑ์ เพราะศิวกรปวดท้องรุนแรง จนต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นการด่วน งานประชุมวันนี้พีรยาอยากให้เฌอลิณณ์ไปด้วย
“ลิณณ์ไม่ชอบเข้าประชุมแบบนี้พี่ยาก็รู้นี่คะ ให้ยัยมนไปแทนไม่ได้เหรอ” ปกติเธอปฏิเสธตลอด เพราะงานออกแบบผลิตภัณฑ์หรือว่าบรรจุภัณฑ์ทั้งหลาย เธอมักเป็นคนลงสำรวจพื้นที่เพื่อหาไอเดีย ส่วนการนำเสนอมักเป็นหน้าที่ของศิวกรกับพีรยา
“นี่มันไอเดียของคุณลิณณ์นะคะ”
“พี่ยาไปคนเดียวก็ได้นี่คะ ไอเดียพี่ลิณณ์ก็จริงแต่พี่ลิณณ์ก็อธิบายให้ฟังหมดแล้ว ไม่เห็นจะต้องลากพี่ลิณณ์ไปด้วยเลย ที่ประชุมคงมีแต่ผู้บริหาร ถ้าพี่ลิณณ์ไปคงอึดอัดจนพูดผิดพูดถูกแน่เลย” มนรดาเข้าใจว่าที่เฌอลิณณ์ไม่อยากไป เพราะรู้ว่าอาจได้เจอกับคุณสุดหล่อในห้องประชุม เลยออกปากช่วยหญิงสาวอีกแรง
“ปกติก็เห็นพูดคล่องนี่ จะมาพูดผิดพูดถูกอะไรกันตอนทำงาน” พีรยาค้อนใส่ทั้งคู่
“เวลาเจอคนใหญ่คนโตลิณณ์มักตื่นเต้นค่ะ พูดไม่ค่อยออก” เฌอลิณณ์ยิ้มแห้ง ๆ ให้หญิงสาว ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้แต่เธอกลัวการเผชิญหน้ากับกลทีป์ นั่นต่างหากที่ทำให้เธอพูดไม่ออกของจริง
“โอเคค่ะเมื่อไม่อยากไป พี่เองก็ไม่อยากบังคับคุณลิณณ์เหมือนกัน พี่ไปคนเดียวก็แล้วกัน” พีรยาไม่รบเร้าอีกต่อไป หยิบแฟ้มงานเดินออกจากแผนกไป
“ขอบใจมากนะมน” เฌอลิณณ์หมุนเก้าอี้ หันมาทำหน้าซาบซึ้งให้รุ่นน้อง
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ลิณณ์ ขืนไปแล้วเจอคุณสุดหล่อ แล้วพี่ลิณณ์ไปยืนขาสั่นอยู่ในห้องประชุม เขาคงไม่ประทับใจพี่ลิณณ์แน่” มนรดารู้ว่าการประชุมวันนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต้องเข้าร่วมด้วย เลยไม่อยากให้เฌอลิณณ์ต้องลำบากใจ แต่ไหนแต่ไรมาก็เอาแต่แอบมองเขาฝ่ายเดียว ขืนไปเจอกันกลางห้องประชุม คงขวัญหนีดีฝ่อน่าดู
‘ขอบใจนะยัยมน เธอไม่รู้หรอกว่าถ้าเจอกันในห้องประชุม พี่อาจสติแตกไปเลยก็ได้’
เฌอลิณณ์ไม่รู้มาก่อนว่าบรรจุภัณฑ์ที่เธอออกแบบนั้น ได้ทำร่วมกับบริษัทของนายเด่นภูมิบิดาของนภาวดี เธอรับหน้าที่ออกแบบตามคำสั่งของหัวหน้างานเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่ต้องนำเสนอบรรจุภัณฑ์ในที่ประชุม เพื่อตัดสินใจเรื่องการผลิต