Chapter 7

1850 คำ
ในที่สุดทัพเสริมซึ่งมีทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนาน ก็ได้เดินทางมาถึงเมืองโฮรุกทั้งสองพากันเดินลงจากรถ พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบน ควันสีดำพวยพุ่งขึ้นฟ้าบดบังจนแทบมองไม่เห็น แถมร้อยโทกู้เจิ้นหนานยังสังเกตว่า บนท้องฟ้าถูกย้อมสีเป็นสีส้มปนแดงหน่อย ๆ แสดงให้เห็นว่า สมรภูมินี้ได้พรากลมหายใจของใครหลายคนไปพอสมควร ด้านฝั่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวก็หันมาสั่ง ให้ทหารกับยุวชนทหารเดินลงจากรถ แล้วไปรอที่ห้องสรุปแผนการส่วนเธอกับร้อยโทกู้เจิ้นหนาน จำต้องเข้าไปรายงานตัวกับนาวาเอกสเตลเซอร์ เมื่อหัวหน้ากับรองหัวหน้าไม่อยู่ หน้าที่ดูแลคนในทีมจึงตกเป็นของ จ่าสิบเอกซูหลงปา ที่ต้องนำคนอื่น ๆ ไปที่ห้องสรุปแผน กลุ่มปรมัตถ์คือกลุ่มสุดท้ายที่ลงจากรถ ทั้งสี่ต่างยอมรับอย่างไม่อายว่าตื่นเต้น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะพึ่งผ่านสมรภูมิเดือดมาก็ตาม "ฉันว่างานนี้ไม่ง่ายแน่ ๆ" ปกรณ์วุฒิกล่าวและเงยหน้ามองฟ้า จากนั้นพวกเขาก็เดินตามจ่าสิบเอกซูหลงปาเข้าไปในห้องวางแผน ปรมัตถ์รับรู้ได้ว่ามีคนกำลังจับจ้องมาที่เขา แต่ยังไม่ทันจะมองหาว่าใคร คณณัฐ์ก็มาดึงตัวเด็กหนุ่มไปรวมกลุ่มเสียก่อน มันทำให้เขาไม่ได้คำตอบว่าใครที่กำลังมองเขากันแน่ ซึ่งหากไม่ใช่เพราะคณณัฐ์ที่เข้ามาขวางละก็ ปรมัตถ์ก็อาจได้คำตอบแล้วว่ามันมาจากสายตาของเด็กสาว ผู้มีนามว่าหลี่ชิงชิงนั่นเอง เธอทั้งตกใจและแปลกใจเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกับอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้ "ชิงชิง..." เสียงของร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลเรียกสติเธอกลับมา "ลูกควรไปอยู่กับทีมของลูก พ่อต้องไปทำหน้าที่ของพ่อต่อ" หลี่ชิงชิงพยักหน้า "เข้าใจแล้วคะ.... พ่อระวังตัวด้วยนะ" เธอมองหน้าพ่อด้วยสายตาที่เป็นห่วง ร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลลูบหัวหลี่ชิงชิงแผ่วเบา "เจอกันที่บ้าน" จากนั้นสองพ่อลูกก็พากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง ตรงจังหวะที่พอดี สิบเอกจางเสิ้ง กำลังจะมาตามเธอ ชายตรงหน้าเป็นทหารรุ่นพี่ที่มีหน้าที่ดูแลยุวชนทหาร "กำลังจะออกไปตามพอดี" หลี่ชิงชิงแค่ยักไหล่และเดินเข้ามาข้างในพร้อมส่งสายตา ไปทางฝั่งทีมของจ่าสิบเอกซูหลงปาซึ่งปรมัตถ์กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่ ใจจริงหลี่ชิงชิงอยากเข้าไปคุยด้วยแต่ในสถานการณ์เช่นนี้อาจไม่เหมาะ เธอจึงหันมาสนใจภารกิจที่อยู่ตรงหน้าก่อน ขณะเดียวกันบุญธรก็พยายามให้คณณัฐ์หยุดเขย่าขา เพราะเสียงขาเก้าอี้อาจไปรบกวนคนอื่น "คูณ หยุดเขย่าขาได้แล้ว" บุญธหันมาตำหนิ "ดูสิคนอื่นมองนายแล้วเนี่ย" "อะไรกันพึ่งกลับมาจากสนามรบ ยังไม่หายตื่นกลัวอีกหรือ" ทั้งสี่พร้อมกันหันไปมองต้นเสียงมันมาจากทหารหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในทีมร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ปรมัตถ์จำได้ตอนแนะนำตัวกันก่อนจะเดินทางมาโฮรุก ทหารคนนี้มีชื่อว่า สิบตรีโกอึยซอง โตกว่าพวกเขาไม่กี่ปีเห็นว่าหลังได้รับบาดเจ็บจากสงครามเปรเชียร์ สิบตรีโกอึยซองมีอายุครบสิบแปดปีจึงได้มีการมอบยศนายสิบให้ แต่เพราะติดช่วงสงครามกับช่วงเปลี่ยนรัฐบาล การประดับยศจึงเป็นแบบไม่เป็นทางการ "มันยังไม่ชินครับ" คณณัฐ์ตอบและพยายามหยุดเขย่าขาได้สำเร็จ "ฉันเข้าใจแต่นายไม่ต้องกังวล" สิบตรีโกอึยซองกล่าว "ฉันจะดูแลพวกนายเอง" ครู่ต่อมาสองแม่ทัพก็ได้เดินเข้ามาในห้องสรุปแผนการ นาทีนั้นเองจังหวะที่ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพต่อผู้บัญชาการ สายตาของปรมัตถ์ก็มาสะดุดที่ยุวชนทหารหญิงคนหนึ่ง เด็กหนุ่มถึงกับตะลึงด้วยความตกใจ จนบุญธรต้องสะกิดตัวให้เขารีบนั่งลง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่หายตกใจและพลางพึมพำในใจ อะไรมันดลใจให้ทั้งสองกลับมาเจอกันอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงเวลาห่างกันเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น ด้านหลี่ชิงชิงที่รู้สึกได้ว่ากำลังถูกมอง เธอหันไปทางที่ปรมัตถ์นั่งอยู่ทว่าเด็กหนุ่มกลับรีบหลบสายตา และทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลี่ชิงชิงขมวดคิ้วและหันไปที่สองผู้บัญชาการต่อ นาวาเอกสเตลเซอร์ได้มอบหมายให้ทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทำภารกิจร่วมกับทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนและเพราะเธอมียศสูงกว่า ตำแหน่งหัวหน้าจึงให้เป็นของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ซึ่งแม้เธอจะพยักหน้ารับทราบแต่พอนาวาเอกสเตลเซอร์หันหลังให้ เธอหันไปกระซิบกับร้อยโทกู้เจิ้นหนานว่า "ตำแหน่งนี้ยกให้นาย" สร้างความฉงนให้กับปรมัตถ์อย่างมาก สองนาทีต่อมานาวาเอกสเตลเซอร์ก็โชว์ภาพหนึ่งขึ้น เป็นภาพของตลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งนาวาเอกสเตลเซอร์ให้รายละเอียดว่านี้เป็นตลาดที่สองพี่น้องนาม สุธนกับสุทัศน์ ปลาทองเป็นเจ้าของ โดยประวัติของตลาดมีอยู่ว่า เดิมทีตลาดแห่งนี้เคยเป็นของ ตรัสวัต แต่ภายหลังดันไปขัดแย้งกับอิชย์ ปลาทอง ส่งผลให้สองพี่น้องลูกบุญธรรม ใช้กำลังและความรุนแรงรวมทั้งเงินตราที่มี ยึดกิจการทุกอย่างของตรัสวัตมาเป็นของตระกูลปลาทองได้สำเร็จ ตรัสวัตต้องการจะเปิดโปงตระกูลปลาทอง แต่ดันไว้ใจตำรวจที่รับสินบนจากอิชย์ ส่งผลให้วันต่อมาในเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นขอบฟ้า มีคนพบศพตรัสวัตในสภาพที่สยดสยองมาก พยานคนเดียวที่ยังมีลมหายใจอยู่คือ บุญญิสา ตอนนี้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว หลังจากยึดทุกอย่างมาได้สุธนก็มอบหมายให้โอโตฮวา หนึ่งในลูกน้องคนสนิทมาคุ้มดูแลตลาดแทน ด้วยแรงทุ่มเทในการหาข่าวของสายลับที่ส่งไป ทำให้รู้ว่าโอโตฮวาสร้างฉากบังหน้าเป็นตลาดธรรมดา โดยใช้ลูกน้องที่มีชื่อ พัคคยอง มาคุมพ่อค้าแม่ค้าในตลาดอีกที ทว่าด้านในของตลาดโอโตฮวาดัดแปลงให้มัน กลายเป็นโรงงานผลิตยาเสพติดที่มีชื่อว่า ประตูสวรรค์ อีกทั้งยังใช้เป็นแหล่งมั่วสุมกามของนักธุรกิจบางคนด้วย ภาพต่อมาที่ปรากฏบนจอเป็นชายใส่สูทสีดำ ผมสีทองตาสีฟ้าดูทรงภูมิสมกับเป็นนักธุรกิจ นาวาเอกสเตลเซอร์เสริมว่าชายคนนี้คือ วลาดีมีร์ กุนเธอร์ เจ้าของธุรกิจโรงผลิตปลา และได้รับยกย่องว่าเป็นธุรกิจใจงาม เพราะชอบให้โอกาสคนหากแต่ความจริง มันคนนี้ก็จิตใจบิดเบี้ยวเยี่ยงเดรัจฉาน ล่าสุดทางกองปราบปรามได้ข้อมูลการทำผิดกฎหมายมากมายที่มีวลาดีมีร์เกี่ยวข้อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจค้าประเวณีกับอวัยวะของมนุษย์ ฟังถึงตรงนี้ปรมัตถ์ถึงกับกำหมัดแน่นทั้งสองข้าง "เก็บอารมณ์ไว้ ไอ้น้อง ใจเย็น" สิบตรีโกอึยซองต้องหันมากระซิบบอก ข่าวเกี่ยวกับวลาดีมีร์ที่สายลับส่งมาคือมันได้หลบหนีการจับกุม ด้วยการไปหลบอยู่หลังโอโตฮวา ส่วนข้อมูลที่เกี่ยวกับโอโตฮวาไม่มีใครรู้ภูมิหลัง ข้อมูลที่มีคือมันเป็นลูกน้องที่สุธนไว้ใจ และให้ระวังแขนขวานของมันให้ดี เพราะอาวุธนั้นสังหารตำรวจมือปราบไปหลายคนแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งมาแล้วร้อยโทกู้เจิ้นหนานก็ออกคำสั่งให้ทุกคนขึ้นรถหุ้มเกราะ "พร้อมลุยแล้วเว้ย" ปกรณ์วุฒิพูดและบิดข้อมือไปมา "จะกระทืบแม่งให้จมดิน" "อืม" สามหนุ่มทีเหลือขานรับพร้อมกัน จังหวะนั้นเองที่หลี่ชิงชิงวิ่งตรงมาหาปรมัตถ์ ท่ามกลางความฉงนใจของหลายฝ่าย บุญธรสังเกตบางอย่างในตัวปรมัตถ์ ซึ่งกว่าจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก็ตอนที่หลี่ชิงชิงเปิดปากพูด "ระวังตัวด้วยล่ะ บอม" ++++++++ ตลาดปลาทองที่เคยรุ่งเรืองในอดีตบัดนี้หลงเหลือแค่เพราะซาก และจมอยู่ในทะเลเพลิงอันเกิดจากการถูกเผาไหม้ พัคคยองได้รับคำสั่งจากโอโตฮวาให้เผาที่นี้ให้ราบ อย่าให้หลงเหลือหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวเป็นอันขาด "เผาให้หมด !" พัคคยองสั่งการกับลูกน้องคนอื่น ๆ "ลูกพี่แล้วสินค้าที่อยู่ข้างในล่ะ" หนึ่งในลูกน้องของมันถามขึ้น แน่นอนคำตอบที่ได้รับคือ "ช่างมัน !" จึงทำให้การเผาตลาดแห่งนี้ยังคงดำเนินต่อ กระทั่งได้ยินเสียงรถหลายคันแล่นเข้ามาจอด ตรงบริเวณทางเข้าของตลาด พัคคยองไม่ต้องมองก็รู้ทันทีว่าเป็นรถของพวกตำรวจ มันเลยสั่งให้คนของมันจำนวนหนึ่งเผาที่นี้ต่อ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งให้ออกไปถ่วงเวลาพวกตำรวจ "พวกมึงตามกูมา !" พัคคยองออกคำสั่งและคว้าขวานสองเล่มในมือและวิ่งนำคนอื่น ๆ เตรียมตะลุมบอนกับศัตรู ด้านฝั่งปรมัตถ์ที่พอลงจากรถและเห็นเปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่เบื้องหน้า "มันกำลังจะทำลายหลักฐาน !" สิบเอกจางเสิ้งร้องบอก ปรมัตถ์ที่ได้ยินก็ไม่รอให้ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว หรือร้อยโทกู้เจิ้นหนานออกคำสั่ง เด็กหนุ่มรวบรวมพลังวายุให้ได้มากที่สุดทำให้บังเกิดลมพายุ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวใหญ่ขึ้นทีละนิดและครู่ต่อมา ปรมัตถ์ก็ควบคุมลมพายุเข้าไปพัดเอาเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ ปลิวลอยพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าในทันที ปกรณ์วุฒิยกนิ้วโป้งให้กับปรมัตถ์ ขนาดเดียวกันฝั่งพัคคยองกลับงงงวยด้วยความสงสัย ที่ทำไมเปลวเพลิงอันเกิดจากน้ำมือของพวกตน เหตุใดถึงดับหายไปเป็นเพราะลมพายุเมื่อครู่อย่างนั้นหรือ สังหรณ์บอกกับพัคคยองว่าลมพายุนี้ ไม่ใช่ฝีมือของธรรมชาติแต่เกิดจากผู้มีพลังควบคุมธาตุ "พวกนายถูกล้อมไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวซะ !" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวพูดผ่านลำโพง "หากคิดขัดขืน เราจะใช้ความรุนแรงตอบโต้" "เรื่องของมึง !" พัคคยองตวาดใส่และชูขวานขึ้น "พวกเราลุย !" แต่ก่อนที่ทางสองฝั่งจะเข้าตะลุมบอนใส่กัน ทันใดนั้นเองที่ปรมัตถ์ บุญธร คณคณณัฐ์และปกรณ์วุฒิพร้อมใจกันวิ่งนำคนอื่น ๆ พุ่งเข้าโจมตีใส่ศัตรูในทันที ++++++
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม