Chapter 16

2218 คำ
อัยการโพลยอมหลีกทางให้ตำรวจสากลทำงานต่อ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่เขาจะเข้าขัดขวางได้ สุดท้ายโอโตฮวาที่นอนไม่ได้สติบนเตียงถูกห่ามขึ้นเครื่องบิน ผู้กองแม็กซ์คนเดียวที่ยังไม่ขึ้นเครื่อง เขาเดินมาจับมือกับอัยการโพลเป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ไม่มีการพูดคุยอะไรและตำรวจมือปราบหนุ่มก็เดินขึ้นเครื่องบินทันที ด้านอัยการโพลตัดสินใจยืนส่งเครื่องบินของตำรวจมือปราบสากลขึ้นบินจนหายลับไปจากสายตา ตอนนี้เรื่องของโอโตฮวาไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจอีกแล้ว สิ่งที่เขาและทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต้องทำต่อ ก็คือจัดการเสี้ยนหนามตัวต่อไป ซึ่งก็คือสุธนและสุทัศน์ที่ดูท่าทางจะไม่ยอมจำนนง่าย ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมากคือ เขาจะไม่ได้อยู่สานต่อที่นี้เพราะมีงานด่วนเร่งมา ทว่าอัยการโพลก็ได้มอบหมายภารกิจให้กับอัยการอีกคน ที่มีความสามารถไม่แพ้กัน แต่ก่อนที่อัยการโพลยอมหลีกทางให้ตำรวจสากลทำงานต่อ เพราะมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่เขาจะเข้าขัดขวางได้ สุดท้ายโอโตฮวาที่นอนไม่ได้สติบนเตียงถูกห่ามขึ้นเครื่องบิน ผู้กองแม็กซ์คนเดียวที่ยังไม่ขึ้นเครื่อง เขาเดินมาจับมือกับอัยการโพลเป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ ไม่มีการพูดคุยอะไรและตำรวจมือปราบหนุ่มก็เดินขึ้นเครื่องบินทันที ด้านอัยการโพลตัดสินใจยืนส่งเครื่องบินของตำรวจมือปราบสากลขึ้นบินจนหายลับไปจากสายตา ตอนนี้เรื่องของโอโตฮวาไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจอีกแล้ว สิ่งที่เขาและทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต้องทำต่อ ก็คือจัดการเสี้ยนหนามตัวต่อไป ซึ่งก็คือสุธนและสุทัศน์ที่ดูท่าทางจะไม่ยอมจำนนง่าย ๆ แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมากคือ เขาจะไม่ได้อยู่สานต่อที่นี้เพราะมีงานด่วนเร่งมา ทว่าอัยการโพลก็ได้มอบหมายภารกิจให้กับอัยการอีกคน ที่มีความสามารถไม่แพ้กัน แต่ก่อนที่ อัยการเย่เฉิน จะมาสานภารกิจต่อ เขาจำต้องมีข้อมูลของศัตรูไว้ให้อีกฝ่ายด้วย ปัญหาคือข้อมูลเกี่ยวกับมาเฟียตระกูลปลาทอง ค่อนข้างมีน้อยเพราะพวกมันค่อนข้างระวังตัว นี้ยังไม่รวมมือสังหารที่ใช้นามแฝงว่า "เปลวไฟแห่งกัมปนาท" อัยการโพลยอมรับว่าใจหนึ่งก็กังวลห่วงเพื่อนพอสมควร แต่ใจหนึ่งก็เชื่อมั่นในฝีมือการบุ๋นและบู๋ของอัยการเย่เฉิน และไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องจับพวกแก๊งขวานซิ่งเข้าคุกให้ได้ นาทีต่อมาอัยการโพลก็เหมือนถูกดึงกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง จากการถูกใครบางคนสะกิดด้านหลังและเมื่ออัยการหนุ่มเหลียวหลังมาดู จึงรู้ว่าคนที่สะกิดเขาก็คือ ปรมัตถ์ นั้นเอง ซึ่งอัยการโพลนึกแปลกใจไม่น้อย "อัยการครับ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ" ปรมัตถ์ถาม "อะไรทำให้นายถามฉันแบบนั้นล่ะ พ่อหนุ่ม" อัยการโพลถามกลับ พลางนึกแปลกใจยิ่งกว่าเดิม เพราะเห็นบุคลิกนิ่ง ๆ แทบไม่คุยกับใครเลย แต่ตอนนี้เขาเห็นอีกฝ่ายแสดงความห่วงใยออกมา "ผมเห็นอัยการยืนเหม่อมาสักพักแล้วครับ" คำตอบของปรมัตถ์ก็ทำให้อัยการโพลตระหนักขึ้นมาได้ว่า เขาคงใช้ความคิดนานไปหน่อยจนลืมไปว่า ตัวเองยืนตากแดดที่ร้อนระอุพอสมควร แม้จะมีควันจาง ๆ ที่ลอยออกมาจากเขตสู้รบมาบดบังพระอาทิตย์ก็ตาม "ออ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ขอบใจมากนะ" เขากล่าวและตบไหล่เด็กหนุ่มเบา ๆ "อันที่จริง... ผมมีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบครับ" ปรมัตถ์กล่าว "หือ เรื่องอะไร" "คือตอนที่ผมอยู่บนรถกับโอโตฮวาหลังจากที่เขาถูกยิง เขาได้บอกอะไรบางอย่างกับผมครับ" สีหน้าของอัยการโพลเหมือนคนที่เกือบจมน้ำ แต่ก็สามารถยกหัวขึ้นผิวน้ำได้สำเร็จ "หมอนั่นบอกอะไรกับนาย" อัยการหนุ่มถามด้วยความอยากรู้ ปรมัตถ์สูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะตอบว่า "โอโตฮวาบอกว่าทุกคำตอบของทุกคำถาม อยู่ที่แขนขวานของเขาครับ" ++++ ปรมัตถ์ต้องยอมรับว่านี้เป็นบรรยากาศในห้องประชุมที่ทั้งเครียด และชวนให้อึดอัดพอสมควรหลังจากที่เขาบอกเรื่องแขนขวานไป อัยการโพลกับอัยการเย่เฉินก็เรียกประชุมด่วน โดยการขอยืมห้องประชุมจากอาคาร ที่เจ้าของคือท่าอากาศยานสนามบิน นับว่าโชคดีที่ตำรวจสากลไม่แตะต้องข้าวของของโอโตฮวา เพราะพวกนั่นต้องการตัวแค่โอโตฮวา ไปรับโทษที่ศาลโลกเท่านั้น แขนขวานถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียด เผื่อว่าจะมีกลไลซ่อนอยู่และในที่สุด พวกเขาพบแผ่นดิสขนาดจิ๋วอยู่ในส่วนที่เป็นท่อนแขน ฝ่ายทางเทคนิครีบทำการตรวจสอบในทันที ทุกคนต่างหายใจไม่ทั่วท้องโดยเฉพาะกับปรมัตถ์ เขาแอบย่องเบาออกจากห้องประชุม เพื่อมาสูบอากาศด้านนอกเสียหน่อย ดูเหมือนเขาจะเกลียดการประชุมแบบนี้ไปอีกนาน "ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ บอม" เด็กหนุ่มหันขวับไปมองด้านหลังคือ หลี่ชิงชิงที่มาพร้อมน้ำเปล่าแช่เย็นสองขวด ดูจากสีหน้าท่าทางตัวหลี่ชิงชิงก็คงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ พลางนึกสงสัยว่าพวกบุญธรทนไปได้อย่างไร ทั้งสองนั่งมองวิวด้านนอกที่เห็นแค่ลานบินอันว่างเปล่าเท่านั้น ปรมัตถ์แอบมองหลี่ชิงชิงที่นั่งดื่มน้ำอยู่ข้าง ๆ จะว่าไปแล้วก็นานอยู่เหมือนกันที่ปรมัตถ์ไม่ได้เจอหลี่ชิงชิงเลย นับตั้งแต่ภารกิจถล่มรังโจรภูเขาซึ่งในตอนนั้นทั้งเขากับเธอสาหัสมาก และยังโชคดีที่ยังมีลมหายใจถึงตอนนี้ ภาพในตอนสู้กับแก๊งขวานซิ่งปรมัตถ์ก็สัมผัสได้ว่า เพลงกระบี่ของหลี่ชิงชิงทันดุดันกว่าแต่ก่อนมาก มันแสดงให้เห็นว่าเธอพัฒนาฝีมือไปไกลกว่าที่เขาเข้าใจ หรืออาจเพราะเขาไม่เคยฝึกกระบี่กันแน่ "นั่งคิดอะไรอยู่เนี่ย บอม" หลี่ชิงชิงหันมาถาม "อ่ะ !" สติของเด็กหนุ่มกลับเข้าร่างทันที "เปล่า... ฉันแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ อย่าใส่ใจเลย" เขาตอบ "เหรอ นึกว่ากำลังคิดถึงฉันซะอีก" หลี่ชิงชิงว่า ประโยคดังกล่าวเล่นเอาปรมัตถ์สำลักน้ำออกมา หลี่ชิงชิงที่เห็นแอบอมยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่เขาหายสำลักแล้ว ก็นึกตกใจอยู่พอสมควรที่หลี่ชิงชิงพูดแบบนี้ราวกับอ่านใจเขาได้ ทว่าในช่วงพริบตาเดียวที่เด็กหนุ่มก้มมองนิ้วนางขวา ซึ่งได้ปรากฏเส้นสีแดงเข้มที่ผูกติดกับนิ้วนางซ้ายของหลี่ชิงชิง โอ้ ให้เทพนกฟีนิกซ์เป็นพยาน เขาสบถก่นด่าตัวเองไปหลายร้อยคำด่า หากเธอจะรับรู้ความคิดของเขาได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็หลี่ชิงชิงคือคู่ผูกวิญญาณของเขา และพันธะนี้มันก็ฝังรากลึกมานานด้วย เมื่อดูสีของเส้นผูกวิญญาณระหว่างเขากับเธอ ปรมัตถ์นึกขอบคุณตัวเองที่ยังประคองสติตนเองได้จนถึงปัจจุบัน มิฉะนั้นคงมีสภาพเหมือนพี่ชายสองคนแน่ ๆ มันคงตลกน่าดูที่เขาจะ "คลั่งรัก" หลี่ชิงชิง และปรมัตถ์เชื่อว่าแม้แต่เธอก็ยังขนลุก เขาจ้องหน้าเธอที่กำลังหัวเราะอยู่ แม้จะไม่มีเสียงแต่เขารู้ว่าเด็กสาวหัวเราะ "เฮ้ เธอหัวเราะทำไม" ปรมัตถ์ตัดสินใจถามออกไป "เปล่านี่ ฉันหัวเราะไม่ได้หรือ" เธอถาม "ไม่ใช่แบบนั้น.... ฉันกับเธอไม่ได้คุยกันนานเลยนะ" จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น "ใช่ นานมากจนบางทีฉันก็แอบคิดนะ" หลี่ชิงชิงพูด "ฉันเคยคิดว่าเธออาจลืมฉันไปแล้ว" "ไม่มีทาง ฉันจะลืมได้ยังไงในเมื่อเธอเป็น..." ประโยคว่า "คู่ผูกวิญญาณ" มันดันกลืนหายเข้าไปในคอของปรมัตถ์เสียอย่างนั้น เขานึกสงสัยกับอีแค่พูดประโยคนี้ง่าย ๆ แต่ทำไมกลับพูดไม่ออกล่ะ ฝั่งหลี่ชิงชิงก็มองหน้าปรมัตถ์พลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "เธออยากพูดอะไรกันแน่ บอม" ปกรณ์วุฒิเดินพรวดพราดเข้ามากลางบทสนทนาด้วยท่าทีร้อนรน มีแวบหนึ่งที่ปรมัตถ์นึกอยากสร้างพายุพัดเพื่อนคนนี้ปลิวหายไป ทว่าสิ่งที่ปกรณ์วุฒินำมาบอกแก่ทั้งสองก็คือ ตอนนี้ทีมเทคนิครู้แล้วว่าโอโตฮวาซ่อนอะไรไว้ในแผ่นดิส จากนั้นปกรณ์วุฒิก็รีบหายกลับเข้าไปในห้องประชุมต่อ ซึ่งในจังหวะที่ปรมัตถ์กำลังจะเดินตามเพื่อน หลี่ชิงชิงก็เข้ามากระซิบข้างหูของเด็กหนุ่ม "แค่อยากบอกให้รู้ไว้... ฉันคิดถึงเธอเสมอในช่วงที่ไม่ได้เจอกันเลย" พูดจบหลี่ชิงชิงก็เดินเลยผ่านปรมัตถ์หายเข้าไปในห้องประชุม ส่วนตัวปรมัตถ์กลับยืนแข็งทื่อเป็นหินอยู่หน้าประตู +++++ คฤหาสน์ลับของสวี่เฟิ่ง สวี่เฟิ่งนั่งอยู่บนโซฟาอันหรูหราราคาแสนแพง โดยในมือถือเหล้าหรั่นดำแต่สายตากลับจ้องมองไปที่จอโทรทัศน์ที่กำลังถ่ายทอดข่าว เกี่ยวกับการพิพากษาโทษโอโตฮวา อดีตลูกน้องในสังกัดของสุธน แน่นอนว่าโทษของโอโตฮวาในฐานะอาชญากรสงคราม โทษสูงสุดคือประหารชีวิตด้วยการด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด และให้นำร่างไปเผาจนเหลือแค่เพียงเถ้าถ่านพร้อมนำไปโรยลงที่หุบผาแห่งสีดำ ซึ่งเป็นความเชื่อกันว่ามันเป็นทางเชื่อมต่อสู่ขุมนรก เพื่อที่จะให้ดวงวิญญาณของโอโตฮวาไปรับกรรมชั่วในนรก ทันใดนั้นสวี่เฟิ่งก็ขว้างแก้วบรั่นดีใส่หน้าจอ ความเดือดดาลแห่งไฟโทสะทำให้ชายหนุ่ม ถึงกับเผลอทุบโต๊ะราคาแพงหักเป็นสองท่อน ถึงโอโตฮวาจะไม่ได้อยู่ในระดับขุนศึก เมื่อเทียบกับเปลวไฟแห่งกัมปนาม หรือสองมือสังหารอย่าง โหยหวน และ คร่ำครวญ แต่สวี่เฟิ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโอโตฮวาเป็นกองกำลังสำคัญของฝ่ายตน ที่ใช้เป็นไม้กันชนกับพวกตำรวจกับทหาร หรือแม้แต่ฝั่งของพวกสวี่ฮั่วด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพักและไตร่ตรองแล้วว่า มันคงถึงเวลาที่ต้องไปนำตัวสวี่หมิงล่างผู้เป็นพ่อออกมาจากคุกได้แล้ว เมื่อตัดสินใจแล้ว สวี่เฟิ่งก็คว้าแก้วใบใหม่และเทบรั่นดียกแก้วขึ้นดื่ม พอดีกับที่มีสมุนคนหนึ่งเดินมารายงานว่าสมาชิกคนสำคัญมากันครบแล้ว "ดี ! ถึงเวลาที่ต้องเอาคืนพวกมันเสียที" สวี่เฟิ่งพูดเสียงเหี้ยม ขนาดเดียวกันที่โถงกลางของคฤหาสน์ ซึ่งใช้ในการประชุมสำคัญของแก๊ง ก็มีชายวัยฉกรรจ์ไม่กี่คนแต่ล้วนเป็นสมาชิกระดับสูงของแก๊งขวานซิ่ง ภายใต้บัญชาการของสวี่หมิงล่างกับสวี่เฟิ่ง ไม่มีการสนทนาพูดคุยแต่อย่างใด จนกระทั่งการมาเยือนของมาเฟียตระกูลปลาทอง นำโดยสุธนตามด้วยสุทัศน์และสุระ ทันทีที่ย่างเท้าเข้ามาทุกสายตาก็จับจ้องมาที่พวกตน ไม่ต่างจากสัตว์ดุร้ายกระหายเลือดที่อยากขย้ำเหยื่อ สุทัศน์ที่สังเกตเห็นรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก มันรู้สึกคันไม้คันมืออยากเอาขวานจามหัวพวกมันเสียหน่อย ทว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับหยามเกียรติของสวี่เฟิ่งด้วย จึงทำได้แค่จ้องหน้าพวกมันกลับ สุธนพาน้องชายกับลูกชายไปนั่งตรงที่ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจ "ไอ้พวกสวะ แม่งมองหน้าอยู่ได้" สุทัศน์พูดเสียงเดือดดาลไม่พอใจ "พอได้แล้ว เสือ" สุธนหันมาปรามน้องชาย "ไว้หน้าท่านนายน้อยด้วย" ไม่นานก็มีคนเอาเครื่องดื่มมาบริการวางที่โต๊ะ "อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด" "พ่อครับ เรื่องของโอโตฮวา..." สุระยังพูดไม่จบก็ถูกสุธนยกมือห้ามเสียก่อน สาเหตุก็เพราะมีคนเดินมาหาทั้งสาม และยังเป็นบุคคลที่สุธนกับสุทัศน์ ไม่อยากผูกมิตรด้วยเสียเท่าไหร่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของทั้งสองก็ตาม ภูคำ มาในชุดสูทที่ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก (ในสายตาของสุธน) มันถกแขนเสื้อขึ้นเผยรอยสักบนท่อนแขน ซึ่งน่าจะเป็นอวัยวะส่วนหางของมังกร ในบรรดาสมาชิกระดับสูงที่อยู่แก๊งเดียวกัน สุทัศน์เหม็นขี้หน้าภูคำมากที่สุด +++++
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม