เจเรมีรู้ดีแก่ใจว่าการเข้ามาศึกษาต่อในสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่าเป็นไปเพื่อให้เหล่าทายาทตระกูลอัลฟ่าได้เรียนรู้ระบบแบบแผนของกลุ่มคนบนยอดพีระมิดพึงปฏิบัติ ก่อนจะออกไปทำหน้าที่ทางสังคมที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นอัลฟ่าอย่างเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงกว่าพวกเบต้าที่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาสูงสุดแค่การศึกษาระดับตอนปลายซึ่งเทียบเท่าอายุสิบแปดปีพอดี จากนั้นก็จะออกไปทำงานตามที่ตนถนัด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาต่อสูงขึ้นเพื่อมาช่วยงานในองค์กรใหญ่ๆ ของอัลฟ่า และแน่นอนว่าสถาบันที่ให้การศึกษานั้นไม่ใช่สถานที่เดียวกับพวกเขา
อย่างที่รู้กันว่าอัลฟ่ามีสิทธิพิเศษเหนือทุกชนชั้นในสังคม เรื่องอะไรที่จะยอมให้มีชนชั้นอื่นมาเจือปนความบริสุทธิ์ของพวกเขากันล่ะ แม้แต่สถานที่ก็ยังใช้หายใจร่วมกันแทบไม่ได้โดยอ้างว่าที่ต้องจัดการอย่างนี้ก็เป็นไปเพื่อความสงบสุข
สงบสุขบ้าบออะไร ความเห็นแก่ตัวชัดๆ เหยียดเพศกันเห็นๆ!
หากแต่เจเรมีไม่อยากจะใส่ใจนัก อย่างไรเสียหลังจบการศึกษาในอีกสองปีข้างหน้า เขาก็ต้องมารับช่วงต่อจากบิดาซึ่งเป็นผู้ถือครองตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครเพิร์ลอยู่ดี ถึงจะไม่ใช่ในระดับผู้นำแต่ก็หนีไม่พ้นแวดวงนั้น เพราะหากให้เขาไปทำอย่างอื่นก็ดูท่าจะไม่มีฝ่ายไหนอยากรับฝากฝังนัก
เป็นตัวก่อกวนถึงขนาดชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วอย่างนี้ คงจะมีใครอยากเสี่ยงรับเข้าไปให้องค์กรวุ่นวายหรอก
ไม่ใช่เจเรมีแค่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ แต่ เจอโรม เมอร์ซี บิดาของเขาเองก็เช่นกัน ถึงจะเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลผู้ปกครองที่รั้งตำแหน่งในสภาระดับสูง แต่การที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ก็แสดงว่าความคิดความอ่านค่อนข้างจะขวางโลกอยู่ไม่น้อย หลายครั้งทีเดียวที่ความคิดเห็นของเขาไปขัดแย้งกับนโยบายของผู้นำจากอีกสามตระกูลจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่นั่นก็นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเพราะทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจกัน ทว่าอุปนิสัยอย่างนี้ก็ไม่มีใครชอบเท่าไหร่นัก หากไม่ใช่เพราะตระกูลเมอร์ซีมีอิทธิพลในการปกครองมหานครแห่งนี้มายาวนานหลายทศวรรษล่ะก็ ป่านนี้คงไม่ได้เชิดหน้าชูตาหยิ่งผยองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก
“นายคิดมากเกินไปแล้วอัล” ได้ยินเพื่อนบ่นไม่เลิก เจเรมีก็อดรำคาญไม่ได้
“การกระทำของนายสมควรให้ฉันคิดมากหรือเปล่าล่ะ” อัลเบิร์ตชักสีหน้า “กว่าจะจบออกไป ฉันคงโดนคนทั้งสถาบันเกลียดขี้หน้าตามนายไปด้วย”
รอบนี้ไม่ได้บ่นลอยๆ สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกให้รู้ว่าจริงจังแค่ไหน นั่นทำให้เจเรมีต้องเขย่าตัวเพื่อนเป็นการใหญ่
“เกลียดก็ดีสิ นายจะได้มีฉันเป็นเพื่อนสนิทชั่วชีวิต ดีออก เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครเขาคบกันได้ยาวนานขนาดนี้บ้าง”
ยังมีหน้ามายิ้มกว้างอีก เขี้ยวคมๆ ที่เผยออกมาให้เห็นกับท่าทางทะเล้นทำให้อัลเบิร์ตหลุดหัวเราะ
“ฉันคงจะเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรแน่”
สุดท้ายก็ต้องยอม อย่างที่เจเรมีพูด เขาเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้ว นั่นก็เพราะบิดาของเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขค่อนข้างสนิทสนมกับตระกูลเมอร์ซี ทั้งคู่จึงได้พบปะกันบ่อยกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างที่เห็น ความจริงเจเรมีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่หัวดื้อและซุกซนมากกว่าคนทั่วไปสักหน่อย มันเลยเกิดปัญหาตามมาให้แก้ไม่หยุดจนเขาต้องออกรับหน้าแทน หรือไม่ก็เป็นคนห้ามทัพไม่ให้เจเรมีทำสถานการณ์ให้เลวร้ายลงกว่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง
“ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอกน่า นายยังต้องตามเก็บตามเช็ดให้ฉันอีกนาน”
เจเรมีรู้ตัวว่าอัลเบิร์ตมักทำอย่างนั้นจึงเย้าแหย่ ก่อนจะเลื่อนมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนบนศีรษะเพื่อนแล้วผละออกไป
อัลเบิร์ตหัวเราะให้กับการกระทำนั้น มองคนตัวสูงกว่าที่เดินลิ่วนำหน้าไปอย่างชื่นชม
ใช่ ชื่นชม ลึกๆ แล้วเขาชื่นชมในความกล้าของเจเรมีอยู่มาก
ใบหน้าคมคายหล่อเหลา รอยยิ้มที่แสนเย้ายวน ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ล้วนแล้วแต่ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นที่พูดถึงของสาวๆ ทั้งอัลฟ่าและเบต้าได้ไม่ยากนัก หากไม่นับนิสัยห่ามๆ ของอีกฝ่ายกับการทำอะไรไม่ค่อยคิดก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเจเรมีเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ต่างจากเขาที่รูปร่างสันทัด หน้าตาแค่พอดูได้ ซ้ำยังไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงกับใครเท่าไหร่จนมักถูกกลั่นแกล้งจากอัลฟ่าด้วยกันอยู่บ่อยๆ
ถ้าไม่มีเจเรมีสักคน เขาคงจะเป็นไอ้ขี้แพ้ที่วันๆ เอาแต่ถูกแกล้งไม่ก็นั่งท่องตำราอย่างโดดเดี่ยวทุกช่วงพักระหว่างเรียน ไร้คนคบหาไปตลอดชีวิตแล้ว...
“จะยืนมองอีกนานไหม รีบตามมาเร็ว” เห็นเพื่อนไม่ยอมก้าวตามมาก็หันไปร้องเรียก
อัลเบิร์ตก้าวฉับอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ไปเดินเคียงข้าง ก่อนเอ่ยถาม “แล้วจะเอาไงต่อ ถูกไล่ออกมาอย่างนี้แล้วจะกลับเข้าไปไหม หรือค่อยเข้าฟังบรรยายคลาสต่อไป”
“นายยังคิดจะให้ฉันเข้าไปในห้องเส็งเคร็งนั่นอีกหรือไง” เจเรมีถามกลับโดยไม่มองหน้า สายตามองตรงคล้ายกับว่าไม่ได้สนใจคนข้างกายนัก
“ถ้าไม่กลับเข้าไป แล้วนายจะไปไหน”
ฉับพลันเจเรมีก็หยุดเดิน เหลียวมามองหน้าเพื่อนพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีที่สนุกๆ ให้ไปก็แล้วกัน”
“อย่าบอกนะว่า...ข้างนอก?”
เมื่อเจเรมีส่งเสียงขานรับว่า ‘อือ’ ออกมา อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจอีกรอบทันที ถ้าวันนี้เขาทำอย่างนี้อีกหน มีหวังเส้นผมของเขาคงได้กลายเป็นสีขาวแน่
เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ ไปยั่วประสาทอาจารย์จนถูกไล่ออกมาแล้วสุดท้ายก็ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก วันนี้ก็จะเอาอย่างนั้นอีกเหรอ
เอาอย่างนั้นแหละ เจเรมีเคยมีท่าทีว่าอยากฟังบรรยายในสถาบันเสียที่ไหน ยิ่งวันนี้ไม่มีคลาสเรียนวิชาที่โปรดปรานด้วย ชายหนุ่มไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก
“งั้นวันนี้จะไปไหนล่ะ” ยอมจำนนต่อความดื้อด้านของเจเรมีจนได้
อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น “ตลาดมืดเป็นไง นายยังไม่เคยไปนี่ ฉันเองก็ไม่เคยไป”
คนฟังเบิกตาโตทันควัน “อย่าบอกนะว่าตลาดมืดที่หมายถึงจะเป็น...”
“ตลาดค้าโอเมก้า” เจเรมียักคิ้วขณะให้คำตอบ
อัลเบิร์ตตั้งท่าจะร้องห้ามด้วยไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่นักหากพวกเขาจะไปเดินเตร่อยู่ในนั้น ถ้าบังเอิญเจอคนรู้จักขึ้นมา มีหวังถูกมองในแง่ลบแน่แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าพวกอัลฟ่าไปยังตลาดค้าโอเมก้าเพื่ออะไร กระนั้นก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่สามารถเปิดเผยได้ แต่คนอย่างเจเรมีจะสนใจอะไรล่ะ เห็นเพื่อนอ้าปากจะห้ามก็คว้าคอมากอดไว้อีกระลอก
“อย่ามัวชักช้าน่า รีบไปกัน”
“เดี๋ยวเจมี อย่าเพิ่ง...”
ปากกำลังจะร้องห้าม ขืนตัวไม่ยอมออกเดิน ทว่าก็เห็นอะไรบางอย่างตกออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจเรมีเสียก่อน เหลือบมองไปก็เห็นว่าเป็นยาเม็ดที่ศาสตราจารย์คอร์ทนีย์แจกจ่ายให้นักศึกษาทุกคนก่อนจะเริ่มคลาสเพื่อต่อต้านการตอบสนองต่ออาการฮีทของโอเมก้าที่เขานำตัวมาสาธิตประกอบการบรรยาย
อัลเบิร์ตยกแขนล่ำของเพื่อนออกจากตัว ก้มลงเก็บยาเม็ดนั้นพลางชูขึ้นตรงหน้า
“นายไม่ได้กินยานี่เหรอ”
เจเรมีหันไปมอง พยักหน้ารับ “ก็เห็นๆ อยู่”
ความสงสัยประดังประเดเข้ามาในสมองของอัลเบิร์ตทันที
ในเมื่อไม่ได้กินยาต้าน แล้วทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาการฮีทของโอเมก้า ทั้งที่คนอื่นๆ กินยาต้านเข้าไปแล้วแต่ก็ยังมีอาการเมื่อโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณมาก...เพราะอะไรกัน
“ทำไมล่ะ” สงสัยจนทนไม่ไหวจึงต้องถามออกไป ใจอยากจะถามเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมเจเรมีถึงยังมีอาการปกติได้
เจเรมียื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้า ถกแขนเสื้อเครื่องแบบที่ยาวจนถึงข้อมือขึ้นให้เห็นข้อพับ รอยจุดแดงๆ บนนั้นทำให้อัลเบิร์ตย่นคิ้วยู่เข้าไปอีก
“เมื่อเช้าฉันเพิ่งถูกฉีดยามา หมอบอกว่าช่วงนี้อาการแย่ ต้องฉีดยาเช้าเย็นแล้วก็ห้ามรับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงน่ะ”
เมื่ออธิบายออกมาแล้ว อัลเบิร์ตก็ไม่สงสัยต่อ รู้ดีว่าที่เจเรมีต้องฉีดยาทุกวันอย่างนี้เป็นเพราะชายหนุ่มมีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด แม้จะไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็ตาม เขาเคยถามบิดาของตัวเองแล้วเพราะดูท่าทางจะรู้กันกับครอบครัวเมอร์ซีว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นอะไร หากแต่ได้เพียงคำตอบว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา พร้อมกับเหตุผลว่าจำเป็นต้องปิดเรื่องที่เจเรมีป่วยเป็นความลับด้วยเกรงว่าจะมีผลต่อการเข้ารับตำแหน่งสืบต่อจากเจอโรมในอนาคตได้ อย่าว่าแต่อัลเบิร์ตไม่รู้เลยว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร เจเรมีเองก็ไม่รู้เช่นกัน แค่พ่อแม่บอกว่าร่างกายของเขาไม่ปกติ จำเป็นต้องได้รับการรักษา ชายหนุ่มก็รับยาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุสิบสาม ...จากแค่รับประทานเฉยๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นฉีดเข้าเส้นเลือด จากแค่รับยาอาทิตย์ละครั้ง กลายมาเป็นสองสามวันครั้ง ไม่นานก็เป็นวันละครั้ง จนตอนนี้ถูกฉีดเช้าฉีดเย็นไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ถามทีไรก็ถูกปฏิเสธที่จะให้คำตอบมาทุกครั้งจนเขาเลิกถามไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวว่า...
...เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกับฟีโรโมนของโอเมก้า