เมืองลั่วหยาง[1]
คฤหาสน์ตระกูลจาง
คฤหาสน์หลังงามตั้งโดดเด่นอยู่ใจกลางเมืองลั่วหยาง แวดล้อมไปด้วยเพื่อนบ้านที่มีฐานะร่ำรวยระดับคหบดี และหนึ่งในนั้นก็คือตระกูลจางด้วยเช่นกัน อาคารหลังงามมีลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมหลายหลังประกอบกันภายในรั้ว ซึ่งอาคารแต่ละหลังก็จะมีจุดประสงค์และการใช้สอยที่แตกต่างอย่างชัดเจน เช่น เรือนนอน เรือนรับรอง หรือเรือนบริวาร เป็นต้น โดยลักษณะเด่นของบ้าน จะอยู่ที่รูปแบบการวางผังบ้าน ที่มักจะวางอาคารต่างๆ ให้ติดกับรั้วบ้านทั้งสี่ทิศ และปล่อยลานตรงกลางบ้านให้โล่ง ซึ่งลานกลางบ้านนี้ ก็จะใช้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย
สาเหตุที่ต้องสร้างอาคารชิดรั้วและมีลานกลางบ้าน จนทำให้เกิดลักษณะของบ้านล้อมสวนนั้น เนื่องมาจากสภาพอากาศที่ค่อนข้างโหดร้าย เช่น พายุทะเลทราย พายุหิมะ หรือลมมรสุมต่างๆ ที่มีตลอดทั้งปี ดังนั้นการสร้างบ้านล้อมสวน จึงเป็นทางเลือกหลักที่ช่วยป้องกันผู้อยู่อาศัยภายในบ้านจากภัยธรรมชาติต่างๆ และยังทำให้ลานกลางบ้าน สามารถใช้ทำกิจกรรมได้สะดวกเกือบตลอดทั้งปีอีกด้วย
“คุณหนูเจ้าคะรอบ่าวด้วย” สาวใช้วัยกลางคนสองนางวิ่งตามหญิงสาววัยแรกรุ่น ซึ่งมีฐานะเป็นคุณหนูเล็กบุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านตระกูลจาง ซึ่งมีบุตรชายถึงเจ็ดคนและมีบุตรีเพียงผู้เดียวเท่านั้นปิดท้ายเป็นคนที่แปด คุณหนูเล็กนามว่าจางลี่เซียนเกิดมาพร้อมกับความมั่งคั่งของบิดาจางหยวนฟู่และจางฮูหยิน ซึ่งมีนามเดิมว่าหลี่เยี่ยนเอ๋อ
นอกจากนางจะเกิดมาท่ามกลางความมั่งคั่งของตระกูลแล้ว คุณหนูเล็กแห่งตระกูลจางยังมีความงามเป็นเลิศ ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งงดงามราวเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ จนผู้คนต่างพากันกล่าวขานความงามของคุณหนูแปดแห่งตระกูลจาง และนั่นทำให้บิดาและมารดาหวงบุตรีคนสุดท้องอย่างยิ่งยวด แทบจะไม่ให้ก้าวออกจากบ้านเลยทีเดียว เพราะเกรงกลัวภัยต่างๆ จะมาถึงนางและหัวอกคนเป็นพ่อ ซึ่งหวงบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวอย่างท่วมท้น หญิงสาววัยแรกรุ่นจึงมีเพียงสาวใช้เป็นเพื่อนคอยวิ่งเล่นมาโดยตลอดตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่กลายเป็นสาวเต็มตัว
ด้วยความมั่งคั่งของตระกูลจาง นับตั้งแต่จางฮูหยินตั้งครรภ์บุตรคนที่แปด เคยมีหลวงจีนลึกลับรูปหนึ่งธุดงค์ผ่านหน้าบ้าน ซึ่งในขณะนั้นครอบครัวตระกูลจางยังมีฐานะปานกลางไม่ได้ร่ำรวยอะไร อีกทั้งบุตรชายคนที่เจ็ดก็เพิ่งจะคลอดได้ไม่ถึงปี หลวงจีนคนดังกล่าวได้ทำนายจางฮูหยินเอาไว้ว่า นางจะตั้งครรภ์บุตรคนที่แปดอันเป็นเลขมังกร ซึ่งบุตรในครรภ์ของนางคนนี้จะนำความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งมาสู่ครอบครัว
หากแม้นเกิดเป็นชายตระกูลจางจะไม่พบกับความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ยังคงมีฐานะเฉกเช่นเดิม แต่ถ้าหากเกิดเป็นหญิงแล้วไซร้จะกลายเป็นหงส์เหยียบพญามังกร เติบใหญ่จะทำให้ตระกูลก้าวสู่ชนชั้นสูงและจะมีชะตาพลิกผันเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดและจะต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเวทนาด้วยน้ำมือของพญามังกรเช่นกัน เพราะนี่คือลิขิตของสวรรค์
และเพราะเหตุนี้เองทั้งสองจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยบุตรคนที่แปดจวบจนห้าปีผ่านไปก็ไม่มีทีท่าว่าจางฮูหยินจะตั้งครรภ์อีกจนล้มเลิกความคิดตามคำทำนายของหลวงจีนลึกลับองค์นั้น แต่แล้วจู่ๆ จางฮูหยินก็ตั้งครรภ์บุตรคนที่แปดอย่างไม่คาดฝันทำให้ทั้งสองดีใจอย่างยิ่งยวด เพราะนับตั้งแต่นางเริ่มตั้งครรภ์ กิจการผ้าไหมและโรงงานผลิตกระดาษซวนจื่อ[2] ของตระกูลจางก็เจริญรุดหน้าไปตามลำดับ
และเมื่อบุตรีของทั้งสองได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลก กิจการของตระกูลก็ยิ่งเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดเพราะจางหยวนฟู่ได้คิดค้นการรักษากระดาษซวนจื่อให้มีความคงทนและเหนียวมากขึ้นเป็นพิเศษ หากผู้ใดต้องการรกระดาษชนิดพิเศษนี้แล้วไซร้ จะต้องมาติดต่อซื้อขายจากจางหยวนฟู่เท่านั้น เพราะที่อื่นไม่มีขายกระดาษคุณสมบัติพิเศษแบบนี้ และเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปถึงคุณสมบัติพิเศษดังกล่าว จึงมีผู้คนมาติดต่อขอซื้อกระดาษซวนจื่อจากตระกูลจางอย่างไม่ขาดสาย กระดาษซวนจื่อของบ้านสกุลจางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วต้าถัง
“โอ๊ย! คุณหนูรอบ่าวสองคนด้วย บ่าวแก่แล้วนะเจ้าคะวิ่งตามไม่ได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว” บ่าวรับใช้ทั้งสองเดินแกมวิ่งก่อนจะหยุดเพราะเหนื่อยจากการวิ่งไล่จับกับคุณหนูเล็ก ทั้งสองต่างหายใจหอบจนตัวโยนแทบหายใจไม่ทัน
“หยุดทำไมลี่อิง! หยุนซี! ข้ายังไม่ได้สั่งให้เจ้าสองคนหยุดเลยแล้วพากันหยุดทำไม” คุณหนูเล็กกล่าวเอาแต่ใจ ตามประสาลูกคนสุดท้องที่ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายทั้งเจ็ดต่างเฝ้าประคบประหงมและหวงแหนยิ่งนัก ดวงตากลมโตยืนมองสาวใช้ทั้งสองที่กำลังยืนหอบเหนื่อยแทบพูดไม่ออกอยู่ในขณะนี้
“บ่าวไม่ไหวแล้วคุณหนูเจ้าขา ขอพักก่อนนะเจ้าคะ ขืนวิ่งต่อบ่าวสองคนหัวใจวายตายแน่เลยเจ้าค่ะ” สาวใช้นามหยุนซีบอกคุณหนูเล็กของตน
คุณหนูลี่เซียนหรี่ตามองสาวใช้ทั้งสองนางซึ่งตอนนี้นั่งไปกองกับพื้นเสียแล้ว ก่อนจะหัวเราะคิกคักเป็นการใหญ่พร้อมเอ่ยขึ้น
“จริงสิ! ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าสองคนแก่แล้วนี่เอง ก็วิ่งเล่นกับข้าตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ตัวข้าเองอายุก็สิบเจ็ดแล้วจะไม่ให้เจ้าสองคนแก่ตัวได้ยังไงใช่ไหม”
หญิงรับใช้ทั้งสองต่างพร้อมใจยกมือขึ้นทาบอกเมื่อถูกคุณหนูผู้เป็นที่รักบอกว่าตัวนางทั้งสองแก่
“คุณหนูเจ้าขา บ่าวสองคนรับใช้คุณหนูตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ อายุบ่าวทั้งสองแค่สามสิบนิดๆ เองนะเจ้าคะ ยังไม่แก่เลยสักนิดเดียวเลยเจ้าค่ะ”
“แต่ก็วิ่งตามข้าไม่ไหวแล้ว แบบนี้ไม่เรียกว่าแก่แล้วจะเรียกว่าอะไร วิ่งตามข้าไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ข้าวิ่งไปคนเดียวก็ได้... ไม่รักเจ้าทั้งสองคนแล้ว” คุณหนูเล็กเอ่ยกระเง้ากระงอด พร้อมวิ่งผละจากไปอย่างรวดเร็ว
“ว้าย! คุณหนูรอบ่าวด้วย อย่าวิ่งไปไกลเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวสองคนตามไม่ทัน” ว่าแล้วทั้งหยุนซีและลี่อิงต่างรีบวิ่งตามคุณหนูของนางไปทันที
ร่างงามระหงวิ่งผ่านสวนดอกไม้ที่บิดาจำลองแบบจากภาพวาดในพระราชวังฉางอาน นำมาเนรมิตให้กับบุตรสาวเพียงคนเดียวเพื่อมิให้เบื่อหน่ายเวลาต้องอยู่แต่ในบ้าน ด้วยความเป็นห่วงและหวงบุตรีเพียงคนเดียวอย่างยิ่งยวดเพราะจดจำคำทำนายของหลวงจีนลึกลับที่เคยทำนายเอาไว้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนได้เป็นอย่างดี
สองสามีภรรยาจึงเลี้ยงลี่เซียนดั่งไข่ในหิน ไม่ยอมให้คลาดสายตาไปแม้แต่น้อย และไม่ยอมให้ออกจากบ้าน ด้วยเกรงว่าคนทางวังหลวงจะเห็นรูปโฉมของลี่เซียนและนำไปรายงานให้ทางวังหลวงทราบ และถ้าหากราชสำนักฝ่ายในของวังหลวงทราบข่าวว่ามีหญิงงามอยู่ในตระกูลจางแล้วไซร้ จะมีสารจากราชสำนักให้นำตัวลี่เซียนเข้าถวายตัวเพื่อให้ไปเป็นสนมของฮ่องเต้ ซึ่งสองสามีภรรยาไม่พึงปรารถนาให้บุตรีของตนต้องพบกับความตายดั่งคำทำนายของหลวงจีนลึกลับที่เคยบอกทั้งสองไว้ ทว่าเมื่อสวรรค์กำหนดแล้วจะหลีกเลี่ยงได้เช่นนั้นหรือไร
ลี่เซียนวิ่งลัดเลาะไปตามสวนดอกไม้ที่ถูกเนรมิตราวสรวงสวรรค์ สาวน้อยคนงามเห็นสวนดังกล่าวตั้งแต่เล็กจนโตจึงเกิดความเคยชินไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่สำหรับนางอีกต่อไป สองเท้าวิ่งไปอย่างไม่หยุดยั้งจนกระทั่งมาหยุดยืนที่บ่อน้ำขนาดใหญ่ซึ่งถูกขุดเอาไว้เพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน
“โอ๊ยเหนื่อย! วิ่งเร็วไปหน่อยข้าหิวน้ำเหลือเกิน” กล่าวพลางยื่นใบหน้าสวยมองลงไปบ่อน้ำเบื้องล่างใสแจ๋วเลยทีเดียว
“ดื่มน้ำที่นี่แหละ ไม่ต้องมากพิธี ผ่านขั้นตอนเยอะน่ารำคาญ” ลี่เซียนพูดพร้อมเอื้อมมือเพื่อจะดึงเชือกที่ม้วนไว้บนขอนไม้กลางบ่อหมายจะโยนถังไม้ลงไป จนร่างอรชรถลำลงไปในบ่อกว่าครึ่งตัวและทันใดนั้นเอง
“วะ... ว้ายยยย!!!... ตูมมม!!!” ร่างงามร่วงลงไปในบ่อน้ำไม่มีปี่มีขลุ่ย แรงส่งจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่างทำให้ร่างจมดิ่งลงไปจนถึงก้นบ่อซึ่งลึกหลายสิบเมตร
“ชะ... ช่วยด้วย... ช่วยข้าด้วย!!!” นางส่งเสียงเสียงร้องขอความช่วยเหลืออย่างโหยหวน ด้วยเพราะนางว่ายน้ำไม่เป็นนั่นเองจึงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แม้แต่ดำน้ำยังไม่รู้จักวิธีเสียด้วยซ้ำ แต่ผู้ใดเล่าจะสามารถช่วยนางได้ในเมื่อในบริเวณนั้นหามีใครผ่านไปผ่านมาแม้แต่น้อย จนคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจาง ซึ่งขณะนี้ทั้งสำลักน้ำและกำลังขาดอากาศหายใจอยู่รอมร่อ
“ทะ... ท่านพ่อ... ทะ... ท่านแม่... ช่วย... ช่วยข้า... ด้วย” นางคร่ำครวญเพรียกหาบิดาและมารดาผู้ให้กำเนิด ร่างงามเริ่มหยุดการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดนิ่งพร้อมลมหายใจสุดท้ายที่หลุดลอย ทันใดนั้นเอง
“จ๋อม!” เสียงของตกจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง ร่วงหล่นลงไปถูกร่างของคุณหนูลี่เซียนและสิ่งที่ร่วงหล่นลงมานั้นก็คือกระดองเต่าที่จารึกอักษรโบราณซึ่งเต็มไปด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกลุ่มควันขาวลอยพุ่งทะยานออกมาจากด้านในปรากฏเป็นดวงวิญญาณของฟางเซียนลอยอยู่ใต้น้ำตรงหน้าคุณหนูตระกูลจาง
ดวงวิญญาณของฟางเซียนจากยุคปัจจุบันได้มาปรากฏอยู่ในยุคอดีตที่กาลเวลาย้อนกลับไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี ในรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง กษัตริย์องค์ที่หกแห่งราชวงศ์ถัง ดวงวิญญาณของฟางเซียนถูกนำกลับมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อคนทางวังหลวงได้มาพบหญิงงามที่สุดในแผ่นดินต้าถังและถูกเรียกตัวเขาวังเพื่อถวายตัวให้กับจักรพรรดิถังเสวียนจง ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายทั้งความรัก ริษยาและการแย่งชิงภายในราชสำนักฝ่ายใน และทำให้จางลี่เซียนในชาติอดีตพบจุดจบอย่างน่าเวทนา
และร่างของคุณหนูจางลี่เซียนก็คืออดีตชาติของเธอนั่นเอง ดวงวิญญาณของหญิงสาวถูกแรงดึงดูดมหาศาลดึงดวงวิญญาณของเธอเข้าไปในร่างของคุณหนูเล็กแห่งบ้านตระกูลจางอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงวิญญาณจากยุคปัจจุบันและดวงวิญญาณจากยุคอดีตซึ่งเป็นอดีตซาติของเธอหลอมเข้ากลายเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณดวงเดียวกัน ล่วงรู้ภพอดีตชาติและภพอนาคตอย่างไม่คาดฝัน ท่ามกลางความงุนงงและสับสนของหญิงสาวที่ไม่รู้ว่าบัดนี้เธอมาอยู่ ณ ที่แห่งหนใดกันหนอ
“นี่ฉันอยู่ที่ไหน! ฉันอยู่ที่ไหน!” สิ้นเสียงรำพึง
ฟางเซียนสิ้นสติไปทันทีพร้อมกับร่างงามก็เริ่มจมดิ่งลงไปอยู่ที่ก้นบ่อ กระดองเต่าที่สลักจารึกโบราณลอยวนเวียนโอบล้อมร่างงามนั้นเอาไว้ แสงเรืองรองสว่างวาบเฝ้าคอยปกป้องเพื่อมิให้นางมีภัยร้ายขึ้นมาอีก ก่อนจะวนรอบไปบริเวณข้อมือพร้อมแปรเปลี่ยนจากกระดองเต่าที่สลักจารึกโบราณกลายเป็นกำไลหยกประดับอยู่ในข้อมือเรียวของลี่เซียนหรือฟางเซียนนั่นเอง
เวลาผ่านไปมิรู้กี่ชั่วยาม ในยามนี้บรรดาบ่าวรับใช้ต่างพากันออกตามหาคุณหนูเล็กแห่งตระกูลจางกันจ้าละหวั่นด้วยไม่มีผู้ใดพบเห็นตั้งแต่เวลาบ่ายจวบจนเย็นย่ำพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินไปทุกขณะ ก็ไม่มีวี่แววของคุณหนูลี่เซียนแต่อย่างใด จนกระทั่งบรรดาบ่าวรับใช้พากันเดินมาทางด้านหลังสุดตรงท้ายบ้านซึ่งมีบ่อน้ำตั้งอยู่ เสียงของบ่าวรับใช้ผู้ชายก็พลันเปรียบเปรยขึ้น
“ข้าหวังว่าคุณหนูของพวกเราจะไม่ตกลงไปในบ่อน้ำนะ เพราะใครที่ได้ตกลงไปมีหวังตายลูกเดียว”
“เพียะ!”
เสียงฝ่ามือตีลงบนต้นแขนของเด็กหนุ่มที่เพิ่งกล่าวออกมา
“อย่าพูดอะไรเป็นลางไม่ดีแบบนี้ บ่อน้ำนี้ยังไม่เคยมีใครตกลงไปสักหน่อยเจ้าเอาอะไรมาพูด”
เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปพร้อมใช้มือลูบต้นแขนของตัวเองไปมาเบาๆ
“ข้าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยท่านแม่ ก็แหม บ่อน้ำนี้ไม่เคยเห็นว่าจะแห้งสักที ตรงกันข้ามยังมีน้ำอยู่เต็มบ่อและมีปริมาณเพิ่มขึ้นมาทุกที ข้าเคยได้ยินคุณชายใหญ่พูดว่าบ่อน้ำนี้อยู่มาห้าชั่วคนแล้วและก็ไม่เคยแห้งเลย ท่าทางคงจะลึกมากด้วย” เด็กหนุ่มพูดพลางส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับท่านแม่ของตน
ข้างฝ่ายมารดาได้แต่ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงบ่อน้ำพลางก้มหน้ามองลงไปในนั้น
“มันก็จริงดั่งคำที่เจ้ากล่าวจริงๆ นั่นแหละ ข้าเองเกิดมาในตระกูลจางก็เห็นบ่อน้ำนี้แล้วเช่นกัน สงสัยคงจะมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่ นอน” กล่าวพร้อมก้มหน้าลงไปอีกเมื่อนางมองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ก้นบ่อน้ำลางๆ กำลังค่อยๆ ลอยขึ้นมาทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั่งเห็นเป็นร่างของคนกำลังลอยขึ้นมาอย่างชัดเจน
“กรี๊ดดดดดดดดดด” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณเมื่อแรกเห็นกำลังลอยขึ้นมาจากก้นบ่ออย่างช้าๆ ก่อนจะตะโกนก้องออกมาอย่างสุดเสียงเมื่อร่างงามพลิกจากท่าคว่ำมาเป็นท่าหงาย
“ช่วยด้วย!!! คุณหนูลี่เซียนตกน้ำ!!!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณดังกระหึ่มขึ้นมาทันที พร้อมๆ กับความโกลาหลอลหม่านจนวุ่นวายไปทั้งบ้าน
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายท่านแม่ของตน รีบวิ่งไปแจ้งข่าวผู้นำของตระกูลและจางฮูหยินอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางเสียงร่ำไห้ของหยุนซีและลี่อิงบ่าวรับใช้คนสนิท ซึ่งกำลังตามหาคุณหนูของตนไปจนทั่วก่อนจะรีบวิ่งมาที่บ่อน้ำทันทีที่ได้ยินข่าวว่าคุณหนูของพวกนางตกลงไปในบ่อน้ำจะรอดหรือไม่ก็มิอาจรู้ได้ ทุกสิ่งในขณะนี้โกลาหลอลหม่านไปหมด จางหยวนฟู่ วิ่งตรงดิ่งมายังบ่อน้ำอย่างไม่คิดชีวิตทันทีที่ได้รับข่าวบุตรี ในขณะที่จางฮูหยินเป็นลมหมดสติไปโดยพลันครั้นเมื่อล่วงรู้ข่าวบุตรีเพียงคนเดียวของนาง เล่นเอาทุกชีวิตในบ้านตระกูลจางขณะนี้มีแต่ความโกลาหลและเสียงร่ำไห้ดังระงม