EP.7 เจ้าหญิงแห่งท้องทะเล
ชายหนุ่มชะงักเมื่อเดินลึกเข้ามาจนเห็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ รู้ได้ในทันทีว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้เปิดให้แขกเข้าพัก แต่นี่คือบ้านพักของมารดา ชายหนุ่มแอบอยู่หลังต้นไม้แล้วมองเข้าไปที่ชานบ้าน ซึ่งยื่นออกมาจากตัวบ้านค่อนข้างกว้าง กลางชานบ้านเจาะเป็นช่องให้ต้นพญาสัตบรรณเจริญเติบโตขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา เหมาะแก่การนั่งนอนเอกเขนกพักผ่อนเป็นที่สุด
“คุณแม่”
เขาเห็นหญิงสูงวัยเดินออกมาที่ระเบียง มารดาของเขายังคงสวยไม่ต่างไปจากเมื่อยี่สิบปีก่อน ทว่าท่านมีรูปร่างท้วมค่อนไปทางเจ้าเนื้อกว่าแต่ก่อน แต่โดยรวมแล้วท่านยังเป็นสตรีที่งดงามสมวัย ท่านยืนที่ระเบียงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน คุนไซต์เกือบจะร้องเรียกแล้วเดินเข้าไปหา แต่ก็ยั้งตัวเอาไว้ได้ทัน
จังหวะนั้นเสียงบรรเลงเครื่องดนตรีไทยดังมาจากทางด้านซ้ายของตัวบ้าน ความตั้งใจที่จะเดินกลับไปยังที่พักถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินตามเสียงสีซอไปอย่างเงียบเชียบ
ความบังเอิญหรือบุพเพสันนิวาสลูกครึ่งหนุ่มไม่อาจหยั่งรู้ เมื่อเห็นเจ้าหญิงของเขานั่งพับเพียบสีซออยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกถ้ำมองอย่างไรชอบกล เพราะเขาอดไม่ได้ที่จะซ่อนกายหลังพุ่มไม้เพื่อฟังฝีมือการสีซอของเธอ
จันทร์คืนแรม วับแวมอยู่บนปลายฟ้า คงล้าอ่อนแรง ทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง
คืนเหงามันเศร้ามันซึมในทรวง จันทร์เพียงครึ่งดวง คล้ายจันทร์เจ้ารอใคร1
เจ้าของเสียงหวานขับขานเนื้อเพลงได้ไพเราะ กอปรกับท่าทางการสีซออย่างอ่อนช้อย มาถึงตอนนี้เขารู้แล้วว่าเหตุใดมหาเศรษฐีอย่างบิดาถึงหลงรักสาวไทยจนให้กำเนิดพวกเขาถึงสามคน ผู้หญิงไทยนอกจากสวยแล้วยังให้ความรู้สึกอ่อนหวานและนุ่มนวล ถ้าเทียบผู้หญิงไทยกับผ้า เขาก็ขอเทียบเธอเป็นผ้าไหมเนื้อดี เรียบลื่นน่าสัมผัส และทรงคุณค่าในตัวเอง
จันทร์คืนแรม วับแวมมีเพียงครึ่งใบ
คงดังกับใจฉันที่มีเพียงครึ่งดวง
คอยรักที่จักเดิมเต็มในทรวง
โอ้ใจครึ่งดวง เฝ้ารอมาเนิ่นนาน
จันทร์เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า
จะมีน้ำตาหลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม
ความรักมันช่างห่างไกลแสนไกล
ไม่รู้วันไหน หัวใจถึงจะเต็มดวง1
เนื้อเพลงเศร้าๆ และดวงหน้าที่หม่นลงของเธอ ทำให้ชายหนุ่มไม่อาจละสายตาได้เลย ภายในไม่กี่ชั่วโมงเขามีโอกาสเห็นผู้หญิงคนนี้ยิ้มและทำหน้าเศร้าจนน่าใจหาย
ฤารักฉันจะเป็นเพียงความฝัน ไม่มีวันนั้น วันที่จันทร์เต็มดวง[1]
เนื้อเพลงท่อนสุดท้ายจบลงได้ตราตรึงใจทายาทคนโตของตระกูลทริสตัน ชายหนุ่มคิดว่าเขาควรจะกลับที่พักได้เสียที มายืนด้อมๆ มองๆ อยู่แบบนี้เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า เขาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตนักถ้ำมองไปเสียก่อน ทว่าจังหวะที่ก้าวเท้าถอยหลังเขากลับเหยียบลงบนกิ่งไม้แห้ง
กร๊อบ!
เสียงดังในความเงียบทำให้หญิงผู้ที่กำลังสีซอเพลงถัดไปถึงกับชะงัก แล้วเดินมายังพุ่มไม้ที่คุนไซต์แอบซ่อนตัวอยู่
“ใครคะ” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
คุนไซต์รู้ว่าจวนตัว จะแอบหรือจะเดินหนีก็คงไม่ดีแน่ จึงก้าวออกจากหลังพุ่มไม้แล้วส่งยิ้มให้กับหญิงสาว “ผมขอโทษครับ พอดีผมเดินเล่นมาเรื่อยๆ ได้ยินเสียงคุณสีซอเลยเดินเข้ามาฟัง ขอโทษด้วยนะครับที่ผมเสียมารยาทกับคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่คุณรู้จักเครื่องดนตรีชนิดนี้ด้วยหรือคะ” หญิงสาวเอียงคอน้อยๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ก็ในเมื่อใบหน้าของเขาไม่มีความเป็นไทยเลยสักนิด แต่กลับพูดไทยได้ อีกทั้งยังรู้จักเครื่องดนตรีไทยอีกด้วย
“คุณแม่ผมเป็นคนไทยครับ ผมเลยมีความรู้เกี่ยวกับประเทศไทยบ้าง”
“แบบนี้นี่เอง” หญิงสาวพยักหน้าช้าๆ “คุณคงมาเที่ยวที่ประเทศไทยบ่อยๆ”
“นี่เป็นครั้งแรกครับที่ผมมีโอกาสมาประเทศไทย”
ช่วงวัยเด็กเขาต้องเรียนหนังสืออย่างหนักเพราะเป็นความหวังของตระกูลทริสตัน บิดาหมายมั่นปั้นมือว่าเขาต้องรับช่วงสืบทอดธุรกิจของท่าน และเมื่อเรียนจบเขาก็มุ่งมั่นทำงาน ไม่ก็สรวลเสอยู่ตามงานปาร์ตี้กับเหล่าดารา นางแบบ หรือเซเลบคนดังที่ล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล และแน่นอนว่าอำนาจเงินตราปั้นแต่งให้พวกหล่อนเป็นเหมือนดอกไม้พลาสติกที่สวยแต่ไม่เป็นธรรมชาติ แตกต่างจากดอกไม้สีขาวตรงหน้าเขา เธอดูเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่มีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ ชวนให้ภมรหนุ่มอย่างเขาอยากเข้าไปค้นหาเพื่อลิ้มชิมรสเกสรว่าจะหวานสักปานใด
“ถ้าอย่างนั้นยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยนะคะ ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ฉันแนะนำแกงข่าไก่กินคู่กับทอดมันปลากรายค่ะ ลองสั่งกับทางห้องครัวดูนะคะ ฉันมั่นใจว่าคุณน่าจะชอบ ขอตัวค่ะ” หญิงสาวยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน
“อ้าว! ไปเสียแล้ว” เขามัวแต่ตะลึงไปกับรอยยิ้มของหญิงสาวจนลืมถามชื่อเธออีกจนได้
“หกเดือนที่อยู่ที่นี่ ผมหวังว่าจะได้รู้จักคุณให้มากขึ้น เจ้าหญิงของผม” คุนไซต์ผิวปากอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินกลับเข้าที่พัก ยกหูโทรศัพท์สั่งอาหารตามเมนูที่สาวน้อยหน้าหวานแนะนำทันที
“พลอย...เมื่อกี้หนูคุยกับใครหรือลูก”
“คุยกับแขกที่มาพักในรีสอร์ตค่ะคุณแม่ เขาเดินหลงเข้ามาฟังพลอยสีซอ” พลอยใสเก็บซอเข้าตู้ ก่อนจะหันมาตอบมารดาบุญธรรมที่รับเธอมาอุปการะตั้งแต่เธอมีอายุแค่เพียงเจ็ดปี จนบัดนี้เธอมีอายุยี่สิบสองปีแล้ว เรียนจบมหาวิทยาลัยสาขาการโรงแรมและมาช่วยท่านบริหารงานรีสอร์ตแห่งนี้
“งั้นเหรอลูก แล้วแขกมาทำรุ่มร่ามอะไรหนูหรือเปล่า” เอื้องมณีเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง บุตรสาวบุญธรรมของเธอมีหน้าตาผิวพรรณสวย หนุ่มๆ บนเกาะนี้ล้วนพยายามขายขนมจีบให้พลอยใสทั้งนั้น บางครั้งนักท่องเที่ยวเองก็ตามเทียวไล้เทียวขื่อจีบอยู่เป็นปีๆ เดินทางมาพักที่นี่แทบเดือนเว้นเดือนก็มี แต่ก็ไม่เห็นว่าบุตรสาวของเธอจะมีใจให้หนุ่มคนไหน
“เอ่อ...” พลอยใสนิ่งอึ้งเมื่อคิดถึงชาวต่างชาติรูปหล่อราวกับเทพบุตรคนเมื่อครู่ นอกจากหน้าตาดีสะกดหัวใจผู้พบเห็นให้เต้นแรงแล้ว เขายังสุภาพอีกด้วย แต่ว่าเขาไม่ได้จีบเธอนี่นา ก็แค่เรื่องบังเอิญ จะขี้ตู่ว่าเขาจีบก็ดูจะเข้าข้างตัวเองเกินไปสักหน่อย เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รีบส่ายหน้าเร็วๆ
[1] เพลงจันทร์ ประพันธ์โดย เจษฏา หันช่อ