ส่วนคนเจ็บตัวนั้นถึงกับกัดฟันตัวเองเอาไว้แน่น ไร้ซึ่งเสียงจะด่าทอหรือต่อต้าน ปลายนิ้วจิกลงบนท่อนแขนของเขาเอาไว้ ร่างเกร็งจนเจ็บเหมือนกลางลำตัวจะขาดออกจากกันเป็นสองท่อน ส่วนผู้บุกรุกนั้นก็ใช่จะมีความสุข เพราะว่าอีกคนนั้นบีบรัดจนเขาแทบจะกระอัก ศิงขรกัดฟันกรอดกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ นวลหงไม่ผ่อนร่างกายก็พลอยทำให้เขาอึดอัดตามไปด้วย ใบหน้าสวยที่หลับตาลงแน่นมีหยาดน้ำตาเล็ดออกมา แสดงถึงอาการเจ็บปวดด้วยการบิดส่ายหนีอย่างทรมาน ศิงขรดันท่อนขาทั้งสองข้างขึ้นไว้ตรงข้อพับ ดึงสะโพกของอีกคนให้ร่นต่ำลงมา ก่อนจะเดินหน้าต่อแบบไม่มียั้ง
"โอ๊ย! เจ็บ...พอแล้ว ฮือ..." ความทรมานแสนสาหัสทำให้ต้องระบายความเจ็บออกมาเป็นถ้อยคำ แต่คนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าออกกลับไม่คิดหยุดตามคำขอ ศิงขรต้องเดินหน้าต่อเท่านั้นเพราะว่านั่นคือสิ่งที่เขาอยากทำ!
เมื่อเขาไม่ปรานีนวลหงก็ไม่คิดอ้อนวอนขออีกต่อไป ดวงหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาหันไปมองด้านข้าง แสงตะเกียงไหววิบไปตามท่วงจังหวะแสนหนักหน่วงของเขา ทุกครั้งที่ถูกรุกอย่างรุนแรงเสียงสะอื้นด้วยความเจ็บก็จะดังตามมา หญิงสาวไม่รู้ว่าเขาจะหยุดความทรมานน่ารังเกียจปนหวามนี้ตอนไหน รู้แค่ว่าเธอได้สูญเสียสิ่งหวงแหนมาทั้งชีวิตให้เขาไปหมดแล้ว
เสียงคำรามกระหึ่มห้องของเขา ยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวดไปถึงต้นขั้วหัวใจ ยิ่งเขาทะยานเร็วลู่ขึ้นเสียงของเขาก็ยิ่งดังตามมา นวลหงรู้สึกเหมือนเธอกำลังจะแตกสลายเป็นผุยผง ร่างงามกระเด็นกระดอนนับครั้งไม่ถ้วน แสงตะเกียงที่เธอเห็นเริ่มจะพร่ามัวมองไม่ชัด ร่างของเธอหยุดชะงักลงไม่เป็นจังหวะ ตะเกียกตะกายหนีเท่าไหร่ก็ถูกดึงกลับไปที่เดิมทุกครั้ง ด้านล่างถูกตะบี้ตะบันไม่ยั้งแรง ข้อเท้าถูกจับแยกออกกว้างศิงขรทิ่มแทงลงลึกและเร็วแรงแทบไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจขาดห้วงเปล่งเสียงกระท่อนกระแท่นออกมาไม่ขาดสาย เขาเร่งจังหวะให้เร็วและแรงขึ้นอีกเท่าตัว
"อ๊าก!" ก่อนจะทะยานลิ่วเอื้อมมือออกไปคว้าปลายทางแห่งความปรารถนาเอาไว้ในกำมือ ในที่สุดนวลหงก็แหลกละเอียดไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ถูกคำรามออกมาลั่นห้อง สิ้นสุดเสียงร้องเจ้าของร่างท่วมเหงื่อก็ทิ้งตัวลง สิ้นเรี่ยวแรงบนทรวงอกนุ่มของคนด้านล่าง
เรื่องนี้มันเหมือนฝันร้าย นวลหงไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาเกิดกับตัวเอง ทันทีที่เขาพลิกตัวลงจากร่างหญิงสาวก็หันตะแคงหนีไปด้านข้าง น้ำตาเหือดแห้งไปหลงเหลือเอาไว้เพียงความว่างเปล่า กับเศษเสี้ยวแห่งความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ นวลหงยอมรับความจริงที่ถูกผู้ชายคนนี้ข่มขืน...ไม่ได้
ส่วนคนที่ลงมือขยี้เหยื่ออารมณ์ด้านข้างก็ดันตัวลุกขึ้นพิงแผ่นหลังหนาไว้กับหัวเตียงนอน แววตาไร้ความรู้สึกจ้องมองแผ่นหลังขาวผ่องของนวลหง ศิงขรรู้สึกผิดไหม ไม่! เขาจะไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นเด็ดขาด ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะบาดแผลตรงขมับก็รู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมา คงเพราะเสียเลือดเสียพลังงานไปเยอะในการสยบหญิงสาวตรงหน้า อาการหน้ามืดเลยมาเยือน
“ลุกขึ้นมานี่” เขากระชากร่างของอีกคนให้ลุกขึ้นนั่ง นวลหงรีบตะครุบผ้าห่มผืนน้อยเอาไว้แนบอก หันไปมองเขาด้วยสายตาชิงชัง
“มีอะไร” หญิงสาวกัดฟันถามเขา
“มาทำแผลให้ฉันก่อน”
“ไม่ทำ ว้าย!” คนปฏิเสธถูกกระชากท่อนแขนเข้าหาจนอกหยุ่นชิดแผงอกแกร่งของเขา ปลายคางมนถูกบีบจนแน่นเพื่อบังคับให้หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองเขา
“อยากโดนอีกรอบใช่ไหม” เขาขู่ชิดริมฝีปาก คนฟังหัวใจไหววาบมือทั้งสองข้างก็กำชายผ้าห่มเอาไว้แน่น จะปล่อยออกมาทำร้ายเขาก็เกรงจะโป๊เปลือย
“ว่ายังไงจะทำแผลให้ฉันดีๆ หรือจะทำอย่างอื่นแทน” ไม่พูดเปล่าศิงขรยังยื่นปลายนิ้วไปไล้พวงแก้มอิ่มเล่นเบาๆ จนอีกคนต้องสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น
"ก็ได้ฉันจะทำแผลให้คุณแล้วไหนล่ะอุปกรณ์" เขาไม่ตอบแต่ลุกขึ้นโทงๆ เดินไปหยิบกล่องอุปกรณ์ทำแผลใต้ลิ้นชักโต๊ะมุมห้อง ไม่ลืมที่จะหยิบตะเกียงมาวางตรงหัวเตียงให้อีกคนได้ทำแผลถนัด ทันทีที่เขาวางตะเกียงกับอุปกรณ์ลง ก็จะพบว่านวลหงกำลังขมวดปมผ้าห่มผูกกันเอาไว้แน่นเหนืออกอวบอิ่ม
"ถ้าเห็นหน้าตัวเองตอนนี้คุณจะรู้สึกยังไง" ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดีขึ้น น้ำเสียงจึงเปลี่ยนไป
"อะไรหน้าของฉันมันมีอะไร" คนถูกทักรีบยกมือขึ้นลูบใบหน้าแรงๆ
"ก็มันมีเลือดของผมติดอยู่เต็มไปหมดน่ะสิ ทั้งตัวเลยมั้ง" เขามองเลยลงด้านล่างเหมือนจะให้สายตาทะลุทะลวงผ้าห่มเข้าไปข้างใน
"คุณมันบ้า"
"ทำสักที แผลน่ะ หรือยากให้ทำอย่างอื่นแทน"
ศิงขรทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน ลากโต๊ะที่วางอุปกรณ์ทำแผลมาไว้ด้านข้าง นวลหงได้แต่กล้ำกลืนฝืนใจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้ สำลีชุบยารักษาแผลสดแตะลงไปบนขมับของเขา มีรอยแผลแตกเล็กๆ เป็นทางยาวราวครึ่งเซนติเมตร
‘คนบ้าอะไรอึดทำเรื่องแบบนั้นได้จนเสร็จ’ ในใจอดกระแนะกระแหนไม่ได้ ก่อนจะยกพลาสเตอร์ขึ้นปิดทับแผลอีกที
"เช็ดเลือดให้ผมด้วย" เขาชี้นิ้วไปยังผ้าชุดน้ำหมาดที่เตรียมเอาไว้ หญิงสาวจึงเอื้อมมือออกไปหยิบมาเช็ดรอยเลือดบริเวณใบหน้าของเขา รวมถึงตรงอกแกร่งมียังรอยเปื้อนสีแดงติดอยู่
"หมดแล้ว"
"ส่วนคุณไม่ต้องเช็ดหรอกนะ เลือดผมมันกลมกลืนซึมเข้าสู่ร่างของคุณไปหมดแล้วมั้ง" แววตาคนเอ่ยยิ้มเยาะอยู่ในที
"ฉันอยากกลับบ้าน"
"ก็ไปสิ" ศิงขรชำเลืองไปตรงบานประตูห้อง แล้วยกนาฬิกาตรงข้อมือขึ้นให้อีกคนดูเวลา "สี่ทุ่มเอง"
ข้างนอกนั่นมืดสนิทมีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไร แล้วเธอจะกลับไปได้อย่างไร ไปทางไหน รถก็เสีย พี่ชายก็ติดต่อไม่ได้ มีแต่คำถามประดังประเดขึ้นมา ส่วนอีกคนก็ทำทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
‘แน่ละสิ ก็เขาทำเรื่องบ้าๆ นั่นลงไปแล้วนี่ จะมาสนใจไยดีอะไรตัวเธออีก’
"คุณไปส่งได้ไหม"
"ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีรถ อยากไปก็ไปเองผมจะนอนแล้ว"
คนที่ถูกปล้นชิงความสาวไปแล้วได้แต่ปรายตามองเจ้าของร่างใหญ่ที่กำลังเอนตัวลงบนที่นอน ก่อนจะหันไปมองตรงประตูห้อง ข้างนอกนั่นคงมีแต่ความมืดกับป่าเขา หญิงสาวแววตาเศร้าลงเมื่อคิดว่าเธอจะต้องออกไปเสี่ยงกับอันตรายตรงนั้นทำไมอีก ในเมื่อสถานการณ์ในตอนนี้ก็อันตรายเกินจะรับไหวแล้ว
นวลหงตัดสินใจก้าวลงจากเตียงนอน เพื่อควานหาเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่ เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ดังออกมากระทบความรู้สึกของศิงขร เขาจ้องมองดูคนที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าที่เขาเหวี่ยงทิ้งจนเกลื่อนกระเด็นไปทั่วห้อง ก่อนจะเห็นหญิงสาวค่อยๆ คลานขึ้นมาบนเตียงนอน แล้วหันหน้าตะแคงหนีไปด้านข้าง
“คุณจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ไหม” เจ้าของเสียงเครือจมูกเอ่ยขึ้นเบาๆ ศิงขรปรายหางตาไปมองคนถาม ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่ได้หันหน้ามามองเขาด้วยซ้ำไป
“น่าจะบอกพี่ชายคุณนะ” เขาแนะแบบจงใจหาเรื่อง
“นี่คุณ จะกินในที่ลับแล้วไขในที่แจ้งใช่ไหม” นวลหงทนไม่ได้ต้องหันหน้ากลับมาถามเขาตรงๆ หยาดน้ำตาที่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้อยู่ทำให้คนมองหัวใจชาวูบไปเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาศิงขรไม่เคยทำให้ผู้หญิงคนไหนร้องไห้มาก่อน นับว่านวลหงเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิ์นี้
“เปล่า ผมก็แค่แนะนำให้คุณทำแบบนั้น จะได้หายแค้นยังไงล่ะ”
“ไม่ ฉันไม่เล่นตามเกมความแค้นบ้าๆ ของคุณหรอก ถ้าฉันทำแบบนั้น บ้านฉันก็ลุกเป็นไฟกันพอดี” นวลหงรู้ว่าหากพี่ชายของเธอรู้เรื่องเข้า มีหวังได้พาคนมาฆ่าศิงขรอย่างแน่นอน โทษฐานที่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของน้องสาวอย่างเธอ
“คุณไม่โกรธไม่แค้นผมเลยเหรอ” เขาถามทั้งที่รู้
“โกรธสิ แค้นด้วย เพิ่มความเกลียดเข้าไปอีก”
คนเจ็บใจเค้นเสียงออกมาอย่างขุ่นเคือง คนฟังแอบสะอึกเล็กๆ ต่อความพูดเหล่านี้ แต่ก็ยังปั้นหน้านิ่งเฉยต่อไป
“แต่ฉันจะไม่บอกใครทั้งนั้น ถือเสียว่าฉันชดเชยความผิดแทนคุณแม่ก็แล้วกัน อีกอย่างคุณก็น่ารู้ดีนะว่า โทษแม่ของฉันคนเดียวไม่ได้ เคยได้ยินไหมว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง”
“จะอะไรก็ช่าง ถ้าแม่ของคุณไม่ร่วมมือด้วยเรื่องนั้นมันก็ไม่เกิด แม่ผมก็คงไม่ตาย” แม้จะรู้ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร แต่หากมารดาของนวลหงมีสำนึกแห่งความเป็นแม่คนบ้าง มารดาของเขาก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าใจแบบนั้น
“คุณมันพาล”
คำต่อว่าทำให้ศิงขรเหยียดยิ้มออกมาอย่างน่ารังเกียจ “แล้วยังไง เหตุการณ์แบบนี้ก็คงไม่เกิดถ้าคุณไม่เหยียบเข้ามาในถิ่นของผม แถมมาทำให้ผมต้องเลือดตกยางออกอีกด้วย”
“ฉันจะไม่เถียงกับคุณแล้ว เอาเป็นว่าขอให้เรื่องนี้จบลงแค่นี้ ห้ามคุณเอาไปบอกใครทั้งนั้น”
“จะยอมเสียตัวฟรีๆ ว่างั้น” เขาสบประมาทด้วยสายตาดูแคลน
“ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะเสียตัวฟรีๆ หรอกนะ แต่ถูกคนบ้าข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณ” นวลหงประชดประชันด้วยใบหน้างอหงิก คนได้ยินถึงกับหน้าตึงขึ้นเล็กน้อย เขาข่มขืนผู้หญิง แค่ได้ยินก็รู้สึกแปลกแปร่งชอบกล
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ไปส่งที่บ้าน” เขาเลื่อนตัวลงนอน เอื้อมมือออกไปดับตะเกียงเจ้าพายุ ภายในห้องจึงมืดสนิทไร้ซึ่งแสงสว่าง
“นี่คุณ!” คนที่ท่าจะหลับตาเป็นอันต้องตกใจ เมื่อฝ่ามือร้อนๆ ของเขาเอื้อมเข้ามารั้งรอบเอวกิ่วให้เข้าแนบลำตัวเปลือยเปล่า
“อย่าเรื่องมาก นวลหง” เขาขู่กระซิบ แถมยังปล่อยลมหายใจอุ่นรดต้นคอของอีกคน นวลหงถึงกับขนลุกเกรียวไปทั่วทั้งร่าง พยายามขืนตัวเต็มที่แต่ก็ไม่อาจสู้แรงเขาได้
“นอน!”
เขาตวาดคำเดียว คนที่ดิ้นขลุกขลักก็แน่นิ่งลงอย่างเจ็บใจ ท่ามกลางความมืดมิดต่างคนต่างคิดไปต่างๆ นานา คนสูญเสียได้แต่ชอกช้ำใจ ส่วนคนลงมือก็รู้สึกอึดอัดไม่ได้แตกต่างกัน ศิงขรไม่เคยข่มเหงผู้หญิงคนไหนมาก่อนในชีวิต และไม่เคยคิดว่าเขาทำมันลงไปแล้วจริงๆ คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
‘เสียดายที่น่าจะมีวิธีจัดการได้ดีกว่าการ...ข่มขืน’