ณ ท้องพระโรง
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด สืบเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ดีเท่าที่ควร ทำให้ฮ่องเต้จิ้นเจิ้งหลง (มังกรแห่งความถูกต้องเถรตรง) ทรงกริ้วเป็นอย่างมาก
“นี่พวกเจ้าจะบอกเจิ้นว่า ไม่สามารถจัดการตามที่เจิ้นบอกได้อย่างนั้นหรือ!” ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนเรียบนิ่ง พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาช่างเย็นยะเยือก คล้ายจะปล่อยแรงกดดันออกมาจากพระวรกายสมส่วนซึ่งสวมชุดคลุมปักลายมังกรห้าเล็บสีทองอร่าม ดวงตาหงส์หรี่ลงเล็กน้อยพลางกวาดสายตาไปยังข้าราชบริพารเบื้องล่าง
“โปรดระงับโทสะก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท จากรายงานที่หัวเมืองต่างๆ ส่งมา เนื่องด้วยการแก้ปัญหาภัยแล้งที่พระองค์มอบหมายให้ขุดคลองขนาดใหญ่ไว้ทุกหมู่บ้าน แล้วทำการขุดลอกคูคลองจากลำธารมาเติมน้ำให้เต็มบ่อนั้น บางหมู่บ้านถึงจะอยู่ใกล้ลำธารแต่ตอนนี้ลำธารหลายสายก็แห้งแล้งนัก บางหมู่บ้านไม่มีลำธารไหลผ่านด้วยซ้ำ ยิ่งไม่สามารถทำตามที่พระองค์ตรัสได้พ่ะย่ะค่ะ” หรงลู่เสียนผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งช่วงนี้ชาวบ้านขาดแคลนอาหารและน้ำดื่มกันมาก ถ้าไปสั่งให้ขุดคลองขนาดใหญ่อีก อาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้นะพ่ะย่ะค่ะ” ซือเล่อคุนขุนนางฝั่งเดียวกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยสนับสนุน บรรดาขุนนางในฝั่งเดียวกันต่างลอบยิ้มอย่างถือดี งบประมาณส่วนนี้น้อยนักแต่งานที่ต้องทำกลับมีมาก ทำให้ส่วนแบ่งใต้โต๊ะได้ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเสียเลย
“หึ ดูเหมือนขุนนางของข้าจะ ‘ไร้สามารถ’ กันเสียเหลือกันนะ เห็นทีข้าคงใช้งานพวกท่านหนักเกินไปกระมัง หรือพวกท่านสมควรแก่เวลาออกไปพักผ่อนอยู่เฉยๆ ที่จวนจะดีกว่าหรือไม่” ฮ่องเต้จิ้นเจิ้งหลงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระแต่ทำเอาบรรดาขุนนางต่างใบหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน
“ในเมื่อเสนาบดีหรง ‘ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้’ เจิ้นจะขอมอบหน้าที่นี้ให้แม่ทัพใหญ่ซ่งก็แล้วกัน” ร่างกำยำบนบัลลังก์มังกรเอ่ยพลางกระตุกยิ้มมุมปากเพียงบางเบาอย่างพึงพอใจ และทันทีที่สิ้นพระดำรัส ขันทีคนสนิทก็กางราชโองการขึ้นมา
“แม่ทัพใหญ่ซ่งหนิงเฉิงรับราชโองการ ยามนี้บ้านเมืองไร้ศึกสงคราม แต่ประชาชนยังได้รับความทุกข์หนักจากภัยธรรมชาติที่แก้ปัญหามาเนิ่นนานแต่ยังไม่สามารถจัดการได้ หากแต่เราเชื่อมั่นยิ่งว่าการแก้ปัญหาในครานี้จะต้องช่วยเหลือเหล่าพสกนิกรของเราได้แน่นอน มอบคำสั่งให้แม่ทัพใหญ่ซ่งแบ่งทหารไปทุกหมู่บ้าน สั่งการทุกหัวเมืองให้ติดประกาศไปยังหมู่บ้านว่า ชาวบ้านเพศชายอายุ 16-55 ปี ให้มาร่วมแรงกับเหล่าทหารที่ส่งไปช่วยขุดคลองขึ้นมาเพื่อรอยามหน้าฝน จงอดทนให้ผ่านหน้าแล้งปีนี้ไปให้ได้และหลังจากนี้ก็จะมีน้ำสำรองไว้ใช้ในปีถัดๆ ไป” เสียงของเฉากงกงขันทีข้างพระวรกายเอ่ยรวดเดียวจนจบ จากนั้นจึงหันไปหยิบราชโองการอีกอันขึ้นมาโดยที่เสนาบดีหรงคิ้วกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่
‘นี่มิใช่ว่าฝ่าบาททรงเตรียมราชโองการไว้พร้อมแล้วหรอกหรือ แสดงว่าเมื่อครู่แค่ขุดหลุมล่อหลอกให้ข้ากระโดดลงไปสินะ’ หรงลู่เสียนได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ แบบนี้ไอ้เจ้าลูกเต่าซ่งมันก็ได้ชื่อเสียงจากงานนี้ไปคนเดียวเลยสิ!
“กระหม่อมซ่งหนิงเฉิงรับราชโองการ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี” ท่านแม่ทัพใหญ่ซ่งหนิงเฉิงเอ่ยพร้อมส่งสายตาเยาะเย้ยไปหาคู่อริเล็กน้อย เรียกให้ใบหน้าของท่านเสนาบดีหรงมืดครึ้มขึ้นหลายส่วน
“ท่านเจ้ากรมคลังไป๋หมินฉี (คำภาวนาของฤดูใบไม้ร่วง) รับราชโองการ นำเสบียงสำรองจากคลังหลวงจัดสรรปันส่วนแจกจ่ายให้เหล่าราษฏรในพื้นที่ประสบภัยหนักที่สุดก่อน จากนั้นค่อยทยอยแจกจ่ายไปยังพื้นที่ที่เหลือ”
“กระหม่อมไป๋หมินฉีรับราชโองการ ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
เมื่อท่านเจ้ากรมคลังรับราชโองการเสร็จก็ถอยกลับเข้าที่นั่งของตน ก่อนจะเหลือบมองใบหน้ามืดครึ้มของตระกูลอดีตว่าที่ลูกสะใภ้เล็กน้อย ดูจากท่าทางแล้วอีกฝ่ายคงแทบกระอักเลือดแน่นอนที่อยู่ๆ ก็ถูกตีแสกหน้ากลางท้องพระโรงเช่นนี้ แต่จะทำเช่นไรได้ในเมื่อตนเองกระโจนลงหลุมที่นายพรานขุดดักเอาไว้
“เอาล่ะ หัวข้อราชกิจวันนี้น่าจะหมดแล้วใช่รึไม่” เจิ้งหลงฮ่องเต้ถามขึ้นเมื่อกองฎีกาของการประชุมวันนี้ดูเหมือนจะหมดลงแล้ว
“ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องนึงนะพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายขวาฟู่หั่วหมิง (ไฟอันสุกสว่าง) ท้วงขึ้น
“หืม มีเรื่องอันใดรึ” ผู้เป็นใหญ่บนบัลลังก์มังกรเอ่ยพลางทอดมองมายังคนพูด ดวงตาสีรัตติกาลทอประกายวาบจนคนท้วงถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นไหลไปตามแผ่นหลัง จึงหันไปสบสายตากับเหล่าขุนนางฝั่งตนก่อนจะทำใจแข็งเอ่ยออกไป
“ตอนนี้สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องการคัดเลือกเหล่าพระสนมพ่ะย่ะค่ะ วังหลังตอนนี้ว่างเปล่าไร้ผู้คน แม้แต่พระสนมยศต่ำก็ไม่มี แบบนี้บังลังก์จะไม่มั่นคงนะพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อฟู่หั่วหมิงเอ่ยจบก็มีหลายคนที่เร่งสนับสนุน
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ยามนี้ราษฏรระส่ำระสาย ถ้ามีข่าวดีจากในวังจะยิ่งเป็นขวัญกำลังใจให้กับทุกคนพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามความเหมาะสมแล้ว พระองค์ควรมีการคัดเลือกเหล่าสนมนานแล้ว ปล่อยไปเช่นนี้ทำให้มีแต่ข่าวลือด้านลบออกมาจะทำให้บัลลังก์สั่นคลอนได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางที่รอเรื่องนี้ต่างออกมากดดันให้องค์เหนือหัวจัดพิธีเลือกพระสนมเพื่อที่ตนจะได้ส่งบุตรหลานมาคัดเลือกเสียที ด้วยฮ่องเต้จิ้นเจิ้งหลงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุ 14 หนาว เพราะเกิดเหตุการณ์ที่อยู่ๆ ทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาสวรรณคตพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้จิ้นเจิ้งหลงที่ตอนนั้นดำรงตำแหน่งองค์ชายใหญ่ซึ่งกำเนิดจากฮองเฮาต้องขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเยาว์ และด้วยอำนาจของตระกูลซ่งซึ่งไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและขึ้นตรงต่อผู้นั่งบัลลังก์แต่เพียงผู้เดียวทำให้ผู้ที่จะก่อกบฎต่างไม่กล้าลงมือ จนกระทั่งยามนี้พระองค์มีพระชนมายุ 20 หนาวแล้ว วังหลังที่เคยมีเหล่าสนมมากมายก็โดนกวาดล้างไปตั้งแต่สิ้นฮ่องเต้พระองค์ก่อน ตอนนี้จึงว่างเปล่าราวกับวังร้าง
ที่ผ่านมายามเหล่าขุนนางยื่นฎีกาให้ทรงคัดเลือกสนมคราใด เจิ้งหลงฮ่องเต้ก็จะอ้างปัญหาบ้านเมืองบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง แต่ครั้งนี้คงต้องทำให้เจ้าพวกนี้เลิกพูดเรื่องนี้ไปสักระยะ
“หึ เจิ้นจะให้จัดพิธีคัดเลือกสนมก็ย่อมได้…” ดวงตาคมทอประกายแสงพาดผ่านเพียงชั่วครู่ยามเห็นสีหน้าขุนนางบางคนแย้มยิ้มอย่างไม่เก็บความรู้สึก
“หากแต่ช่วงนี้เจิ้นจัดการราชกิจจนหมดแล้วรู้สึกว่างงานยิ่ง วันนี้ได้เห็นเหล่าขุนนางที่ ‘จงรักภักดี’ เป็นห่วงวังหลังของเจิ้น ทำให้ตัวเจิ้นรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก เอาเป็นว่าเจิ้นจะเข้าไปช่วยจัดการเรื่องเรือนหลังให้พวกเจ้าบ้างจะดีหรือไม่เล่า เป็นการ ‘ตอบแทนความดี’ จากเจิ้น” ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มไปไม่ถึงดวงตาทำเอาเหล่าขุนนางหน้าซีดเหมือนกันหมด ใจที่ลำพองเมื่อครู่ถูกตีจนร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม มีใครไม่รู้บ้างว่าเรือนหลังของขุนนางบางคนเน่าเฟะเสียยิ่งกว่าอะไรดี ขืนโดนเอามาตีแผ่ไม่เท่ากับประจานวงศ์ตระกูลตนเองจนป่นปี้หรอกหรือ ครานี้คงได้อับอายไปจนถึงบรรพบุรุษเป็นแน่ แล้วอันใดคือบอกว่าเป็นการตอบแทนความดีจากพระองค์ หากออกตัวปฏิเสธจะโดน ‘ยัดข้อหา’ อื่นอีกหรือไม่
เหล่าขุนนางชั้นผู้น้อยต่างส่งสายตาอ้อนวอนไปยังผู้นำของฝ่ายตน ทั้งท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาต่างลอบปาดเหงื่อเงียบๆ ดวงตาคมกลอกกลิ้งไปมาพยายามหาทางลงจากสถานการณ์ล่อแหลมนี่ ฮ่องเต้พระองค์นี้หาใช่จะเคี้ยวได้ง่ายๆ ไม่ เพราะความปรีชาสามารถนี่เองที่ทำให้เหล่าขุนนางไม่กล้าผลีผลามกันมากนัก
“กระหม่อมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ แต่เกรงว่าจะเป็นการไม่สมควร เนื่องด้วยฝ่าบาททรงสูงส่งดุจมังกรทองปกครองพื้นฟ้า จึงมิควรลดพระเกียรติลงมาจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” หรงลู่เสียนเอ่ยตอบอย่างหนักแน่น
“ท่านว่าการที่เจิ้นไปจัดการเรื่องหลังบ้านของพวกท่านเป็นเรื่องไม่สมควร แล้วการที่ขุนนางเช่นพวกท่านจะมา ‘วุ่นวาย’ เรื่องหลังบ้านของเจิ้นมันสมควรแล้วอย่างนั้นหรือ” บรรยากาศในท้องพระโรงลดต่ำลงในทันทีจากแรงกดดันของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ขุนนางน้อยใหญ่รู้สึกจะเป็นลมรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่อาจทราบได้
‘ตาเฒ่าพวกนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบกันจริงๆ’ ท่านรองแม่ทัพซ่งเยว่จวนคิดอย่างระอาพลางหันไปสบสายตาของบิดา จึงได้เห็นสายตาเยาะเย้ยอย่างไม่ปิดบังที่บิดาส่งไปให้ขุนนางพวกนั้น
‘อยู่กันดีๆ ไม่ชอบ หาเรื่องกระตุกหนวดมังกรเล่นกันหรือ ในเมื่อกล้าที่จะลงมือ ก็ต้องกล้ารับผลด้วยสิ ฮ่าๆ’ ท่านแม่ทัพใหญ่ซ่งหนิงเฉิงคิดอย่างสะใจ ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในท้องพระโรงต้องสำรวม เขาก็อยากจะหัวเราะใส่หน้าไอ้พวกนี้ให้ฟันร่วงเลยทีเดียว
“เอาล่ะ ในเมื่อ ‘ไม่มีเรื่องสำคัญ’ อันใดแล้วก็พอเท่านี้ อ่อ แม่ทัพใหญ่ซ่งอยู่ก่อน เจิ้นมีเรื่องจะหารือด้วย” ว่าจบร่างสูงสมส่วนก็สะบัดชายเสื้อแล้วลุกขึ้นเดินออกจากท้องพระโรงทันที ทำเอาบรรดาขุนนางถวายพระพรแทบไม่ทัน
“ขอจงทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
.......................................................................................