“พวกเขาเป็นชู้รักตัดแขนเสื้อที่รักใคร่กันอย่างยิ่ง ท่ามกลางไอน้ำบดบังนั้นเจ้าเมืองฉางเฉิงอุ้มร่างทาสชายที่กำยำไปยังเตียงนอนและเริ่มต้นบทรักอีกครา ทำเอา ฮูหยินใจสลายจนสาวใช้ต้องช่วยกันหามร่างของนางกลับเรือนไป” กลองเริ่มรัวถี่กว่าเดิม
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ผู้ฟังทั้งหลายต่างส่งเสียงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังลั่น นักเล่านิรนามเคาะไม้ทรงสี่เหลี่ยมกับพื้นโต๊ะ ปัง! ปัง! ปัง!
“หลังจากได้สติขึ้นมาอีกคราหนึ่ง ฮูหยินก็รีบไปปรึกษาพี่สาวของตนที่แต่งงานกับคหบดีเมืองฉางเฉิง พี่สาวคนนั้นเป็นผู้มีสติปัญญาจึงเตือนน้องสาวให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ เมื่อสองพี่น้องคุยกันแล้วจึงตั้งข้อสงสัยว่า บางทีคนผู้นี้อาจมิใช่เจ้าเมือง ฉางเฉิงตัวจริง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นปีศาจแปลงกายมา พวกเขาจึงออกไปตามหานักพรตที่มีชื่อเสียงให้ช่วยเขียนยันต์ให้”
นักเล่านิรนามกวาดสายตาไปทั่วบริเวณระเบียงกว้าง “ก็อย่างที่พวกท่านคิด ในเมื่อคนผู้นี้มิใช่ปีศาจ ยันต์วิเศษพวกนั้นจะช่วยอันใดได้ ความโชคดีที่คราวนั้น มารใหญ่มี่อี้ได้เดินทางผ่านไปยังเมืองฉางเฉิงพอดี เขาได้ยินชาวบ้านซุบซิบนินทากันเรื่องเจ้าเมืองที่ทะเลาะกับอนุภรรยาเพราะนายเล็กพวกนั้นอิจฉาในตัวทาสชายที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับสามีมากกว่า ยิ่งฟังมารใหญ่ยิ่งเห็นว่าเรื่องนี้มิใช่เป็นเพราะปีศาจ จึงได้แอบไปเข้าพบกับฮูหยินของเจ้าเมือง” ชายชราพักจิบน้ำชา ในขณะที่จอมยุทธ์รอบข้างล้วนวางจอกสุรารอฟังต่อ นักเล่าเคาะไม้กับโต๊ะอีกคราหนึ่ง “พวกท่านล้วนรู้จักมารใหญ่ผู้นี้ดีอยู่แล้ว เขาล้วนรู้เรื่องใหญ่น้อยในยุทธภพเป็นอย่างดี จึงช่วยฮูหยินวางแผนจับผิดคนผู้นี้”
“ฮูหยินไปเรียกอนุภรรยาทั้งสองมาหารือกัน เพราะพวกนางล้วนรู้จักตำหนิในเรือนร่างสามีทั่วทุกแห่ง คืนนั้นฮูหยินแสร้งไปร้องห่มร้องไห้กับเจ้าเมือง อ้างว่าตนเองฝันร้ายถึงสามีว่าเขาถูกฮ่องเต้สั่งประหารชีวิต นางจึงเร่งรีบไปยังวัดโด่งดังประจำเมืองท่านเจ้าอาวาสจึงนำสมุนไพรให้มาหนึ่งห่อสั่งให้เขามาอาบชำระกายที่เรือนใหญ่เพื่อเป็นการแก้เคล็ด เจ้าเมืองได้ยินดังนั้นก็ตกใจรีบตามนางไปเรือนใหญ่ยอมให้อนุภรรยาทั้งสองช่วยกันอาบน้ำขัดถูร่างกายด้วยสมุนไพร เมื่ออนุภรรยาผู้หนึ่งไม่เห็นปานที่หน้าท้องของสามีนางก็ตกใจหน้าซีด สามีเห็นนางดูแปลกๆ ก็ทักถาม ดีที่นางไม่เผลออุทานสิ่งใดออกมา เมื่อพิธีอาบน้ำว่านเสร็จสิ้น เจ้าเมืองก็กลับเรือนตนเองไป แต่ภรรยาทั้งสามกลับไม่กล้านอน พวกนางรู้แล้วว่าคนผู้นี้มิใช่สามีของตน จึงรีบไปบอกมารใหญ่มี่อี้” ชายชราหยิบจอกน้ำชาขึ้นมาดื่มอีกครั้ง กลองก็รัวดังเพื่อเร้าให้ทุกคนยังคงจดจ่ออยู่กับนิทาน
“มารใหญ่รู้แล้วว่าคนผู้นี้ต้องมีวิชาแปลงโฉม ทว่าในยุทธภพนี้วิชาแปลงโฉมอันดับหนึ่งคือเซียนพันหน้าซึ่งหายสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว ข่าวที่เชื่อถือได้เล่าว่าเขามีภรรยาและบุตรแล้วจึงไม่น่าจะเป็นผู้ที่แปลงโฉมเป็นเจ้าเมืองฉางเฉิง ดังนั้นมารใหญ่จึงวางแผนล่อให้เจ้าเมืองฉางเฉิงตัวปลอมไปติดกับดักในศาลาว่าการ โดยมีรองเจ้าเมืองช่วยกันจับกุมและเมื่อเปิดเผยโฉมหน้าเขาแล้ว กลับเป็นเพียงจอมยุทธ์ปลายแถวผู้หนึ่งที่อ้างว่าจ่ายเงินเพื่อเรียนวิชานี้กับหญิงชราที่อาศัยอยู่ในย่านแออัดในแคว้นเว่ย แน่นอนว่ามารใหญ่มี่อี้สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า หญิงชราคนนั้นเหตุใดจึงรู้วิชาแปลงโฉม เขาจึงเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นเว่ยเพื่อหาคำตอบ” ชายชราเคาะไม้อีกครั้ง “หากพวกท่านอยากรู้ พรุ่งนี้รอฟังข้าเล่าการสืบหาความจริงของมารใหญ่มี่อี้ได้ที่นี่” จู่ๆ ชายชราก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้บรรดาผู้ฟังนั่งหันไปสนทนาปราศรัยในเรื่องที่ได้ฟังเมื่อครู่
“น้องเก้า เจ้าว่าวิชาแปลงโฉมนี้ในเมืองหมิงมีผู้รู้หรือไม่?” พี่สามหันหน้ามาทางน้องชายที่ยกสุราขึ้นกรอกอีกสองจอก สายตาใคร่ครวญบางอย่าง
“อืม....ข้าว่าเรื่องยุทธภพยากจะหยั่งถึง บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ใกล้จนเราคาดไม่ถึง และอยู่ไกลจนพวกเราไม่อาจจะตามหาพบ”
“เจ้าตอบคลุมเครือเหมือนจะเคยเจอนักแปลงโฉม” พี่สามยิ้มร้ายๆ ลอบสังเกตบุรุษตรงหน้าทั้งสอง ‘คนคู่นี้ไม่เคยมีรายงานว่าใกล้ชิดกับน้องสามมาก่อน ช่างน่าแปลกเสียจริง’
จอมยุทธ์หงแอบสะดุ้งในใจ ‘เจ้ามังกรตัวนี้ไว้ใจไม่ได้ ลอบสังเกตข้าอยู่ตลอดเวลา รู้สึกสงสัยสิ่งใดกันจึงไม่วางตาเช่นนี้?’
“คุณชายสาม ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้วก่อนจะจากแคว้นเว่ยมาทำงานที่นี่ อันที่จริงหญิงชราคนที่ว่าก็เคยเป็นที่ถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ว่าเป็นนางมารพันโฉมอาจารย์ของเซียนพันหน้าหรือไม่?” หัวหน้าสวีที่อายุย่างเข้าสี่สิบปีเคยท่อง ยุทธภพมาพอสมควรนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“แล้วตกลงว่าใช่หรือไม่ล่ะ? หัวหน้าสวี”
“ช่วงนั้นอาจารย์ของข้าก็สนใจเรื่องนี้เช่นกัน ท่านยืนยันว่าหญิงชราคนนั้นเมื่อสอบถามข้อมูลแล้วพบว่ามิใช่ลักษณะของนางมารพันโฉม”
“เหตุใดจึงรู้ว่ามิใช่? ในเมื่อนางย่อมแปลงโฉมเป็นผู้ใดก็ได้”
“ก็อย่างที่นักเล่านิรนามได้กล่าวไว้ คนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะบอกได้ขอรับ”
“ท่านหมายถึงว่าอาจารย์ของท่านเป็นผู้ใกล้ชิดกับนางมารพันโฉม”
“ใช่ขอรับ! อาจารย์ของข้าเคยเป็นเพื่อนบ้านในวัยเด็กของนางจึงคุ้นเคยกับกิริยาอาการบางอย่าง เมื่อไปลอบสังเกตนางอยู่พักใหญ่ก็รู้ว่ามิใช่”
“อืม...เจ้ายกตัวอย่างให้ข้าฟังหน่อยสิว่า นางมารพันโฉมผู้นี้มีอาการแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร?”
หัวหน้าสวียกสุราขึ้นจิบอีกคราหนึ่ง “เท่าที่ข้าจำได้ นางมารพันโฉมจะชอบกรีดกรายนิ้วในยามจับตะเกียบเพราะวัยเด็กของนางเคยถูกเถ้าแก่เนี้ยในหอคณิกาฝึกมาเช่นนั้น และนางมักจะทาแป้งไปรอบคอด้านหลังเพื่อปกปิดรอยน้ำร้อนลวกขนาดหัวแม่มือ”
คุณชายสามตาเป็นประกายวาบ “สมกับเป็นคนใกล้ชิดจริงๆ หากรู้เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้ ข้าจะจำไว้เผื่อสักวันนักแปลงโฉมพวกนี้อาจจะแฝงกายไปใกล้ข้า”
ท่านอ๋องเก้าได้ฟังก็ชะงักจอกสุราที่ยกขึ้นกำลังจะจิบ “เหตุใดพี่สามจึงคิดว่าคนพวกนี้จะเข้าไปถึงตัวท่านเล่า?”
“ข้าเพียงแต่ป้องกันเอาไว้ คนในวะ เอ๊ย! เรือนข้านั้นมากหน้าหลายตานัก ยากจะสังเกตว่ามีผู้ใดบ้าง? บางทีเดินสวนกันข้าก็ยังจำมิค่อยจะได้”
อ๋องเก้าหัวเราะหึๆ “ท่านก็ลดผู้คนที่รายรอบใกล้ชิดออกบ้างก็ได้ เหลือไว้เฉพาะที่จำเป็นและเน้นประวัติไม่มีสิ่งใดน่าเคลือบแคลงใจ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เห็นทีต้องกลับไปจัดเรือนตนเองเสียใหม่” ครั้นสายตาเหลือบไปมองหนุ่มน้อยข้างๆ “จอมยุทธ์หงเจ้าไม่สนใจเรื่องนักแปลงโฉมบ้างหรือไร?” ร่างบอบบางเงยหน้าขึ้นสบตาคุณชายสาม “เอ๊ะ! ทำไมข้ารู้สึกๆ คุ้นๆ ดวงตาคู่นี้เหลือเกิน” เมื่อเขาทักเช่นนั้นนางจึงเผลอหลบตาวูบ
“ไม่กระมัง? ข้ากับท่านเพิ่งเคยเจอกันที่นี่ครั้งแรก”
หานซู่ลี่ยิ้มเก้อๆ รีบรินสุราขึ้นกรอกปาก ‘อย่าบอกนะว่า เห็นแค่ดวงตาคู่นี้ก็เกิดจำซือซือขึ้นมาได้ มหัศจรรย์เกินไปแล้ว’
เขากวาดตามองรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของนางอีกครั้งหนึ่ง “นั่นสินะ! หรือว่าเป็นเพราะข้ารู้สึกคุ้นลวดลายบนเสื้อผ้าที่เจ้าใส่ มาจากร้านเสื้อโรงเตี๊ยมนี้เหมือนของข้า”
“แฮ่ม! ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลยคุณชายสาม มาดื่มกันดีกว่า” นางปัดความสนใจของเขาให้ไปอยู่ที่สุรา “ที่นี่สุรารสเลิศนัก ข้ารินคารวะพี่สามหนึ่งจอก”
“ดี! ไม่เมาไม่เลิกรา ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะอยากดื่มได้สบายใจสักครั้ง หากเมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องระวังตัวอะไร รักษาความปลอดภัยดีกว่าทุกที่บนโลกนี้ที่ข้าเคยรู้จัก” ชายหนุ่มหน้าคมคายยิ้มกว้าง ยกจอกขึ้นชนกับหนุ่มน้อยด้วยความพอใจ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามหัวหน้าสวีเมาพับลงบนโต๊ะ จอมยุทธ์หงเรียกให้เสี่ยวเอ้อมานำตัวเขาไปส่งยังห้องพัก ตงชางกับหนานเฉิงไม่กล้าเดินมาสมทบตั้งแต่มองเห็นฮ่องเต้นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับท่านอ๋องเก้าจึงได้แต่นั่งอยู่อีกฟาก ท่านอ๋องเก้าหันมาพยักหน้าอนุญาตให้ขึ้นไปพักผ่อนได้ เพราะที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่อาจมีผู้ใดกล้าลอบสังหาร จอมยุทธ์ผู้อื่นเป็นแน่ ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่สามารถเมาได้อย่างสบายใจ
“น้องหญิง เจ้าไม่ไหวแล้วหรือ?” พระชายาหานที่ดื่มกับสหายรักอย่างสนุกสนานเซพิงไหล่สวามีหลับไปไม่รู้ตัว “พี่สาม ภรรยาข้าเมามากแล้วขอพานางขึ้นห้องก่อน พวกท่านตามสบายเถิด”
หงซือซือเห็นเช่นนั้นก็คิดจะปลีกตัวหนีไป แม้นางจะคอแข็งกว่าหานซู่ลี่แต่ก็ไม่อยากจะนั่งอยู่ตามลำพังกับบุรุษสายตาคมกริบผู้นี้ “ข้าเองก็ชักจะไม่ไหวเช่นกัน อยากขอตัวไปพักก่อน”
*************************
ไรท์แนะนำ.....นิยายซีรี่ย์นี้มีทั้งหมด 6 ภาคด้วยกัน (เขียนถึงต้นสิงหาคม 2564) ซึ่งแต่ละเรื่องสามารถอ่านแยกกันได้ เพียงแต่ตัวละครจะรู้จักหรือเป็นญาติกันคะ่ เรื่องที่ 1 "ท่านอ๋องอย่าคิดหนี" เรื่องที่ 2 "ท่านอ๋องเป็นของข้า" พระเอกคือ หมิงเฉินกง เป็นน้องชายของพระเอกภาค 1 เรื่่องที่ 3 "ท่านอ๋องกับชายาหมี" พระเอกคือ ท่านอ๋องเก้า เป็นน้องชายของพระเอกภาค 1 เรื่องที่ 4 "ท่านหญิงจีจอมพลัง" พระเอก คือ ฟ่านหลี่เจี๋ย เป็นพี่ชายของนางเอกภาค 1 เรื่องที่ 5 "ซือซือ ฮองเฮาพันโฉม" พระเอกคือ ฮ่องเต้หมิง พี่ชายของพระเอกภาค 1 เรื่องที่ 6 "สายลับจับอ๋องใหญ่" พระเอกคือ องค์ชายจินเสวี่ยหลงพี่ชายของนางเอกภาค 2 ทุกเล่มมี EBOOK จำหน่ายค่ะทางเว็บไซต์ขายอีบุ๊กหลายเว็บนะคะ.....ติดตามข้อมูลนิยายของไรท์ได้ทางเฟสบุ๊กจ้า https://web.facebook.com/Chaomuangtawanok2057 จำนวนตัวอักษรแก้ไข