เหอเจ่อฮั่นพยายามนึก เขาจำได้ว่าเมื่อวานเขาตั้งใจจะไปล่าไก่ฟ้าในป่า ตอนช่วงบ่ายแก่ๆ ทว่าพอเขาเดินไปได้ราวครึ่งชั่วยาม เขาก็พบเข้ากับไก่หน้าตาแปลกประหลาดตัวหนึ่ง ไก่ตัวนั้นมีขนทั้งตัวเป็นสีรุ้ง ทั้งยังมีลำตัวอวบอ้วน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำหลุมดักสัตว์ ไก่ตัวนั้นก็กระพือปีกราวกับจะบินอยู่สองสามครั้ง จากนั้นมันก็หายตัวไป
เขาเดินไปยังจุดที่ไก่ตัวนั้นเคยยืนอยู่ ก่อนจะพบว่าพื้นดินตรงนั้นมีขนของไก่สีสันประหลาดตัวนั้นตกอยู่ เขาหยิบมันขึ้นมาดูเพียงครู่เดียวเท่านั้น ลมสายหนึ่งก็พัดมาอย่างรวดเร็วและแรงจนขนไก่ในมือของเขาปลิวหายไป
หลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ของอาหลิ่ง ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างไร้สาเหตุ เขาจำได้ว่าเขาร้องไห้ใส่อีกฝ่าย ทว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนั้นเขาก็จำไม่ได้แล้ว…
จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าเขามานอนอาหลิ่งอยู่บนเตียงนี้ได้อย่างไร?
เอ๊ะ!
เมื่อรู้สึกได้ว่าคนที่นอนหลับอยู่กำลังจะตื่น เหอเจ่อฮั่นก็แสร้งหลับตาลงอย่างคนไม่รู้เรื่องราวด้วยความรวดเร็ว
ซ่งหานหลิ่งลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนว่าคนข้างกายขยับตัว ทว่าพอเมื่อลืมตาขึ้นดูกลับพบว่าเด็กน้อยในร่างบุรุษหนุ่มกลับยังคงนอนหลับสนิท มิรู้ว่ายามนี้กลลืมกายนั้นได้จางหายไปจากอีกฝ่ายแล้วหรือยัง
หมอหนุ่มทำท่าจะลุกจากเตียง ทว่าลำตัวของเขากลับถูกมือของเด็กน้อยกอดรัดไว้ ซ่งหานหลิ่งนึกถึงสภาพของตนเองในค่ำคืนที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว
เป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับการเลี้ยงเด็ก...
ด้วยเพราะกว่าที่เขาจะได้หลับตา เด็กน้อยร่างยักษ์ก็งอแงโอ้เอ้ใส่เขาไม่หยุด ตอนแรกดึงดันจะให้เขานอนเป็นเพื่อนด้วย ต่อมาก็เรียกร้องให้เล่านิทานให้ฟัง ทั้งยังดึงเอาแขนข้างหนึ่งของเขาไปนอนกอด เล่านิทานจบไปสามเรื่อง ทว่าเจ้าเด็กน้อยตัวโตก็ยังลืมตาแป๋ว กระทั่งถึงปลายยามจื่อ (23.00-24.59น.) จึงได้ผล็อยหลับไป
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกมือของเหอเจ่อฮั่นออกจากร่างกายตน จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วเดินออกจากห้องไป
เมื่อได้ยินเสียงปิดประตู คนที่แกล้งหลับก็ลืมตาขึ้น เหอเจ่อฮั่นลูบแขนข้างที่ตนเองใช้กอดซ่งหานหลิ่งเบาๆ ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกันแล้วเรื่องเหล่านั้นทำให้เขาได้นอนกอดอาหลิ่ง ต่อให้เรื่องราวนั้นร้ายแรงหรือถึงขั้นเอาชีวิต ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่าแล้ว
ผ่านไปราวสามเค่อซ่งหานหลิ่งก็เดินกลับเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มถือโจ๊กใส่เนื้อแห้งมาด้วยสองถ้วย เขาวางมันไว้ตรงโต๊ะอีกฝั่ง ก่อนจะเดินไปหาคนที่นั่งไม่พูดไม่จาอยู่บนเตียง
เหอเจ่อฮั่นสังเกตเห็นซ่งหานหลิ่งตั้งแต่ตอนที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้ามาแล้ว ทว่าเขามีความรู้สึกไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดคำใดออกไป ด้วยไม่รู้ว่ายามนี้อาหลิ่งอยู่ในอารมณ์ไหน จึงได้เงียบปากไว้รอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน
“ตื่นแล้วหรือ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วมากินข้าว ประเดี๋ยวต้องกินยาอีก” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยกับคนบนเตียง ที่เช้านี้มีท่าทางผิดแปลกไปจากเมื่อคืนนี้ค่อนข้างมาก
“อาฮั่น”
“ไม่อยากกินยา” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอู้อี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรด้วยซ้ำ แล้วนี่อาหลิ่งจะให้เขากินยาอะไร
ซ่งหานหลิ่งมองเด็กน้อยจอมพยศ จำได้ว่าตอนเด็กๆ น้องชายเขาก็เคยมีอาการกินยายากแบบนี้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาคนที่นั่งตีสีหน้างุนงงอยู่บนเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ทั้งยังเอ่ยถ้อยคำปลอบโยนระคนหลอกล่อด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟัง
“หากฮั่นเอ๋อร์ไม่กินยา แล้วฮั่นเอ๋อร์จะหายป่วยได้อย่างไร แล้วถ้าฮั่นเอ๋อร์ไม่ดื่มยาคืนนี้ข้าก็จะไม่เล่านิทานให้ฟัง”
เหอเจ่อฮั่นช้อนสายตาขึ้นมอง เขาเม้มริมฝีปากบนล่างเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นราวกับกำลังเผชิญหน้าอยู่กับกองทัพข้าศึก
“ไปกินข้าวกันเถอะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
“…อืม”
เหอเจ่อฮั่นรับคำในลำคอพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ ทั้งในใจก็ครุ่นคิด ว่าบุรุษผู้อยู่ต่อหน้าเขาในตอนนี้ ใช่ซ่งหานหลิ่งผู้เย็นชาจริงๆ หรือไม่ แล้วเหตุใดจึงต้องทำราวกับว่าตัวเขาเป็นเด็กน้อยไปได้
ถ้าไม่กินยาคืนนี้จะไม่เล่านิทานให้ฟัง?
โตจนป่านนี้ใครเขาฟังนิทานก่อนนอนกัน!
เหอเจ่อฮั่นเกือบจะตะโกนออกไปแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กน้อยสามขวบ ที่จะต้องได้ฟังนิทานก่อนนอนจึงจะหลับ ทว่าสายตาที่แสดงถึงความห่วงใยและการปฏิบัติอันอ่อนโยนที่ได้รับมานั้น ทำให้เหอเจ่อฮั่นไม่อาจตัดใจกล่าวประโยคนั้นออกไปได้
ไม่แน่ว่า...เขาอาจจะสามารถใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ได้…
“ข้า...ข้าอยากกลับบ้าน!” คนแกล้งทำตัวเป็นเด็กเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทานมื้อเช้าเสร็จ
ซ่งหานหลิ่งได้ยินความต้องการของเด็กน้อยในร่างชายหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกายของบุคคลทั้งสอง
“อยากกลับบ้าน” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยพร้อมเบะปาก ยกไหล่สองข้างขึ้นลงประกอบการเสแสร้งแกล้งร้องไห้ได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่ดวงตาทั้งคู่กลับยังแห้งสนิทไร้ความชื้นใดๆ
ซ่งหานหลิ่งมองอาการร้องไห้ของเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ความจริงแล้วหมอหนุ่มตั้งใจว่าเมื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอีกฝ่ายหาย ก็จะเอ่ยปากให้อีกฝ่ายจากไปเสีย แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ยังไม่ทันที่แผลบนกายจะหายสนิทดี เหอเจ่อฮั่นต้องมาโดนมนตร์ของสัตว์อสูรจนสติเลอะเลือน กลายเป็นเพียงเด็กน้อยร้องไห้อยากกลับบ้านคนหนึ่ง
แล้วอย่างนี้เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายเดินออกไปจากป่าเพียงคนเดียวได้อย่างไร ยิ่งหากมีอันตรายใดเกิดขึ้นมา นั่นจะไม่เท่ากับว่าเขาปล่อยอีกฝ่ายไปเผชิญหน้ากับอันตรายหรอกหรือ?
“พาฮั่นเอ๋อร์กลับบ้านได้ไหม ฮั่นเอ๋อร์อยากกลับบ้าน” เหอเจ่อฮั่นเอ่ยขึ้นอีก ทั้งยังส่งสายตาอ้อนๆ ไปให้ชายหนุ่ม มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าที่ไม่มีอยู่จริงของตัวเอง
“หากเจ้าเชื่อฟังข้า อีกสามวันข้าจะพากลับบ้าน” ซ่งหานหลิ่งเอ่ยออกมาในที่สุด
เหอเจ่อฮั่นเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ก่อนที่ความรู้สึกยินดีนั้นจะชะงักลงเมื่ออีกฝ่ายเดินไปหยิบถ้วยใส่น้ำ แล้วจัดการกรีดมีดลงที่ปลายนิ้วของตนเอง เลือดสีแดงสดหยดลงไปในถ้วยสามสีหยด น้ำสีใสค่อยๆ กลายเป็นสีแดงตามสีเลือด
“นะ...นั่นท่านทำอะไร!” เหอเจ่อฮั่นร้องถามด้วยความตกใจ
“ดื่มซะ” ซ่งหานหลิ่งถือถ้วยน้ำผสมเลือดเดินเข้ามาหาเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ จากนั้นก็ยื่นถ้วยไปตรงหน้า เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงและใบหน้านิ่งๆ
“ไม่ดื่ม!” เหอเจ่อฮั่นพูดแล้วก็หันหลังใส่ ซ่งหานหลิ่งเกิดบ้าอะไรขึ้นมา อยู่ๆ ก็เอาน้ำผสมเลือดตนเองมาให้เขากิน
อ๊ะ!
เพราะมัวแต่ยืนหันหลัง เหอเจ่อฮั่นจึงไม่ทันได้คิดว่าหมอหนุ่มผู้แสนเย็นชาจะสกัดจุดเขา เมื่อร่างกายขยับไปไหนมาไหนไม่ได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่กลอกตาไปมา แม้ปากจะว่างแล้วก็อยากร้องต่อว่าเขา แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานเขายังแกล้งทำตัวเป็นเด็กใส่อีกฝ่ายอยู่เลย ซึ่งมันคงไม่ดีเท่าไหร่นักหากเด็กจะเอ่ยปากต่อว่าคนเป็นผู้ใหญ่กว่า
“ฮือๆ ปล่อยนะ ฮั่นเอ๋อร์อยากกลับบ้าน”
ซ่งหานหลิ่งไม่ฟังคำร้องขอนั้น ชายหนุ่มเดินอ้อมไปข้างหน้า ก่อนจะย่อตัวลงแล้วใช้มีดเฉือนปลายนิ้วอีกฝ่ายด้วยน้ำหนักมือที่เบาที่สุด
เลือดสีแดงไหลลงใส่ถ้วยน้ำ เมื่อคิดว่าได้ปริมาณที่เข้มข้นพอแล้วหมอหนุ่มก็วางถ้วยน้ำไว้ก่อนจะหาผ้ามาพันปิดปากแผลเล็กๆ ที่ปลายนิ้วไว้ให้อีกฝ่าย
ซ่งหานหลิ่งทำทุกอย่างด้วยความเงียบ เหอเจ่อฮั่นเองก็มองการกระทำของเขาตาปริบ ไม่อ้าปากร้องว่าเจ็บออกมาแม้แต่คำเดียว อาการต่างเมื่อคืนนี้อยู่มากนัก เพราะเมื่อคืนเขาเอาเพียงปลายเข็มทิ่ม เหอเจ่อฮั่นก็ร้องว่าเจ็บออกมาแล้ว
“ดื่มซะ” ถ้วยน้ำผสมเลือดถูกจ่อเข้ามาใกล้ปาก ทว่าเหอเจ่อฮั่นกลับเม้มปากเข้าหากันแน่นเป็นการต่อต้าน
คนเป็นหมอไม่พูดอะไรต่อ เขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย มือหนึ่งถือถ้วยน้ำส่วนอีกมือก็ประคองท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็โน้มใบหน้าลงไปพูดใกล้ๆ หู
“ถ้าไม่ดื่มอีกสามวันจะไม่พากลับบ้าน”
ซ่งหานหลิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา ลมหายใจร้อนๆ ของเราเป่ารินรดใบหูและข้างแก้มของเด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่ ที่คนเป็นหมอเองก็ไม่รู้ว่ายามนี้นั้น เขาหายจากอาการต้องมนตร์กลลืมกายของไก่เจ็ดสีแล้ว แต่ที่ยังแกล้งทำตัวเป็นเด็กอยู่จนถึงตอนนี้ก็ด้วยเพราะจุดประสงค์อื่น
ทว่าคนที่แกล้งทำตัวเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวและมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีทุกอย่าง กำลังหน้าแดงและหัวใจเต้นแรง...
ขอบถ้วยถูกขยับเข้ามาใกล้ปากมากขึ้น ใกล้พอๆ กับปลายจมูกของซ่งหานหลิ่งที่อยู่ห่างจากแก้มของเหอเจ่อฮั่นเพียงแค่หนึ่งเส้นด้ายกั้น
“ดะ...ดื่มก็ได้”
ซ่งหานหลิ่งยกถ้วยขึ้น ให้น้ำผสมเลือดค่อยๆ ไหลเข้าปากของเหอเจ่อฮั่นทีละนิด จนกระทั่งหมดถ้วย หมอหนุ่มหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาการของเหอเจ่อฮั่นจะหายดีภายในเร็ววัน ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้ว
กลิ่นคาวเลือดที่เจือจางกับน้ำยังติดจมูก ทว่าความใกล้ชิดระหว่างกันที่เกิดขึ้นมานั้นดึงดูดความสนใจของเหอเจ่อฮั่นไปจนหมด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองดื่มน้ำถ้วยนั้นหมดไปเมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ว่าสายตาของซ่งหานหลิ่งในยามนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน
ระยะเวลาสามวันไปอย่างรวดเร็ว ทว่าสามวันที่ผ่านมาอาการของเหอเจ่อฮั่นกลับไม่มีท่าทีว่าจะหายเป็นปกติเลย เพราะอีกฝ่ายยังทำตัวราวกับเป็นเด็กน้อยอยู่อย่างไรก็อย่างนั้น
ซ่งหานหลิ่งวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากจนเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า สูตรการรักษาอาการป่วยของคนที่ถูกมนตร์กลลืมกายของไก่เจ็ดสีนั้นถูกต้องหรือไม่?
หากว่ายาไม่ได้ผิดสูตร แล้วเหตุใดผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว แต่เหอเจ่อฮั่นยังมีนิสัยเป็นเด็กน้อยอยู่เลยเล่า ทั้งๆ ที่เขาควรจะหายเป็นปกติได้แล้ว
ชายหนุ่มคิดซ้ำไปซ้ำมาระหว่างเดินทางกลับไปยังเรือนไม้ไผ่ ก่อนหน้านี้ราวสองชั่วยามเขาเดินเข้าป่ามาหาหัวมันและดูหลุมดักสัตว์ที่ทำไว้ ด้วยเพราะตัวเขานั้นเริ่มที่จะมีความคิดว่า หากเขารักษาเหอเจ่อฮั่นไม่หาย เขาก็คงต้องพาอีกฝ่ายกลับไปหาผู้เป็นตาที่เมืองถังหนานแล้ว
เหอเจ่อฮั่นยืนชะเง้อคอมองหา คนที่อาศัยอยู่ด้วยกันในเรือนไม้ไผ่หลังน้อยร่วมครึ่งเดือนด้วยความจดจ่อ
ผ่านมาสามวันที่เขายังแสร้งทำตัวเป็นเด็กน้อยสามขวบ ทุกวันเขาจะต้องดื่มน้ำที่เจือจางกับเลือดของเขาและอาหลิ่ง โดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอาหลิ่งถึงได้ให้เขาดื่มอะไรแบบนั้น
ทว่าเพื่อแลกกับการพาตัวอาหลิ่งออกไปจากป่านี้ แม้น้ำถ้วยนั้นจะเป็นยาพิษ เขาต้องดื่มไปอย่างไม่เสียดายชีวิตและไม่คิดขัดขืน
“ทำไมยังไม่มาอีก” เหอเจ่อฮั่นพึมพำกับตนเอง
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามออกมานอกเรือน” คนที่เพิ่งหลับมาถึงเอ่ยปากบ่น
“ท่านอา!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกลับมาถึง เหอเจ่อฮั่นก็แกล้งทำตัวกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“ท่านกลับมาแล้ว ฮั่นเอ๋อร์คิดถึง” เด็กน้อยทว่าตัวโตเอ่ยปากอย่างออดอ้อน ทว่าคนโดนอ้อนกลับไม่มีแม้แต่จะเอ็นดูเด็กน้อย (ที่ตัวโตไม่น้อย) เลยแม้แต่นิด
“ท่านอา เมื่อไหร่จะพาฮั่นเอ๋อร์กลับบ้านเล่าขอรับ” แม้จะไม่ถูกสนใจแต่เหอเจ่อฮั่นก็ไม่ละซึ่งความพยายาม ทั้งยังเดินตามอีกฝ่ายต้อยๆ เข้าไปในครัว
แม้สามวันที่ผ่านมานับว่าคนที่เขาเรียกว่าท่านอาจะยังคงมีท่าทางที่เย็นชาอยู่ไม่น้อย ทว่าเหอเจ่อฮั่นก็รับรู้ได้ว่า ภายใต้การแสร้งทำตัวเป็นเด็กน้อยของเขานี้ เรียกว่าความสนใจและความห่วงใยจากซ่งหานหลิ่งได้มากทีเดียว
“ท่านอาทำอะไร” ชายหนุ่มเห็นเขากำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรบางอย่างจึงได้เอ่ยถามออกไป ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับทำเอาเขานิ่งค้างไปด้วยความคาดไม่ถึง
“ไปเก็บของซะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะพาเจ้าออกเดินทาง...กลับบ้าน”