ตอนที่ 4 วางแผนชีวิต
หลังจากที่วิญญาณซูฮุ่ยหมิงต้องมาอยู่ในร่างกายนี้ เธอก็รู้แล้วว่าร่างนี้มันอมโรคเสียเหลือเกิน ทำอะไรก็ไร้เรี่ยวแรง ทว่าไม่ใช่เพราะร่างกายที่อ่อนแอ แต่เป็นเพราะจิตใจเจ้าของร่างเองต่างหากที่เอาแต่อมทุกข์ จึงส่งผลให้ระบบร่างกายรวนไปหมด ตั้งแต่เธอได้ครอบครองร่างนี้ เธอก็เริ่มปฏิรูปร่างกายใหม่ ทุกวันต้องออกกำลังกายอย่างน้อย ๆ วันละหนึ่งชั่วโมง
"อาเทียนนายรู้ไหมว่าแม่ทำแบบนั้นไปทำไม เมื่อวานป้าจ้าวก็มาถามฉันว่าแม่เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงได้วิ่งไม่หยุดเลย" เฟยเทียนยืนเอามือไขว้หลังมองแม่ลุกนั่งที่ลานบ้านด้วยความสงสัยเช่นกัน ทว่าเมื่อได้ยินคำถามของแฝดน้อง เขาก็กระแอมพลางเชิดปลายคางขึ้น
"สิ่งที่แม่ทำเขาเรียกว่า ออกกำลังกาย เพราะว่าร่างกายแม่อ่อนแอเกินไป จึงต้องออกกำลังให้แข็งแรง และพวกเราเองก็ควรจะออกกำลังกายกับแม่ด้วย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม หากออกกำลังกายจะทำให้เราแข็งแรงเข้าใจไหมอาหง" เฟยหงพยักหน้าขึ้น จำได้ว่าแม่ก็พูดแบบนี้เช่นกัน ออกกำลังกายทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วทำไมป้าจ้าวถึงได้บอกว่าแม่บ้าล่ะ
"แต่ป้าจ้าวบอกว่าแม่เราเสียสติไปแล้ว"
"อาหง!!!...อย่าไปฟังคำพูดคนอื่นมากนัก เราเป็นลูกของแม่ สมควรสงสัยในตัวแม่ด้วยเหรอ พี่จะบอกให้นะ ถ้าคราวหน้าใครมาว่าแม่เรา เธอด่าไปเลย หรือถ้าไม่กล้ามาบอกพี่ พี่จะจัดการเอง" เฟยหงสะดุ้งกับน้ำเสียงที่เข้มขึ้นของเฟยเทียน เธอเบะปากลงตั้งท่าจะร้องไห้ เฟยเทียนเห็นอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมา เด็กชายยื่นมือออกไปวางบนหัวของน้องสาวที่อายุห่างจากตนไม่ถึงชั่วโมง
"อย่าร้องเลย พี่ไม่ดีเอง ไม่ควรดุเธอแบบนั้น แต่อาหงจำเอาไว้นะ ครอบครัวเรามีกันสามคนเท่านั้น ถ้าเราไม่ปกป้องกันเอง แล้วใครจะมาปกป้องเรา วันนี้พี่อยู่ตรงนี้ พี่สัญญาว่าจะดูแลเธอกับแม่ให้ดี ต่อไปนี้...ถ้าได้ยินใครพูดไม่ดี หรือแกล้งเธอให้มาบอกพี่เข้าใจไหม" เฟยหงไม่เข้าใจหรอกว่าพี่ชายที่อายุห่างจากเธอแค่นี้จะมาปกป้องอะไรเธอได้ แต่ถึงอย่างนั้นมือของพี่ชายก็อบอุ่นเหลือเกิน เด็กหญิงพยักหน้าแรง ๆ พลางสูดน้ำมูกขึ้น เฟยเทียนพยักหน้าอย่างพอใจที่เห็นว่าน้องสาวเข้าใจอะไรง่าย ๆ เป็นเด็กเป็นเล็กพูดง่าย ๆ จะได้โตไวไว
"โอ๊ะ!!!...สองพี่น้องกำลังคุยอะไรกันอยู่จ๊ะ ให้แม่คุยด้วยสิ เสี่ยวเทียนแกล้งน้องหรือเปล่า ทำไมเสี่ยวหงของแม่ตาแดงแบบนั้น" ซูฮุ่ยหมิงหันมาทันได้เห็นลูกชายลูบหัวลูกสาวเข้าพอดี ถึงแม้ไม่ได้ยินว่าทั้งคู่คุยอะไรกัน แต่เห็นพี่น้องรักกันแบบนี้ เธอก็ดีใจจริง ๆ
อดจะนึกถึงพี่ชายตัวเองในชาติก่อนไม่ได้ พี่ชายเธอไม่ได้เป็นคนดีแบบนี้ ทั้งไม่เคยลูบหัวเธอ มีแต่มาขู่เอาเงิน บ่อยครั้งที่เธอและสามีต้องมีปากเสียงกันเพราะเรื่องพี่ชาย แต่เธอก็ไม่รู้จะทำยังไง ถ้าไม่ให้ พี่ก็จะไปขู่เอาเงินกับแม่ เธอสงสารแม่จึงยอมอยู่เรื่อยมา และนั่นจึงเป็นเหตุผลให้เธอกับสามีเข้ากันไม่ดีเหมือนแต่ก่อน และยิ่งครอบครัวสามีบังคับให้เธอไปตรวจสุขภาพจนรู้ว่าเธอเป็นหมัน บ้านสามีก็กดดันให้เธอหย่าอยู่ทุกวัน หากจะแค่แม่ก็แล้วไปเถอะ แต่นี่สามีเธอเองก็ทำท่าไม่พอใจ อยากจะหย่ากับเธอใจจะขาด ไม่แน่ว่าเธอตายจากไปอย่างนี้ พวกเขาคงเลี้ยงฉลองกันไม่ทันเลยละ สงสารก็แต่แม่แท้ ๆ ไม่มีเธอแล้วหวังว่าพี่ชายจะพึ่งพาได้เสียที ทว่าท่าทางเศร้าของเธอกลับทำให้เฟยเทียนเข้าใจว่า แม่กำลังเสียใจที่ถูกป้าจ้าวด่าว่าเสียสติ เด็กชายรู้สึกเกลียดป้าจ้าวจริง ๆ หญิงปากมากนั่นชอบหาเรื่องแม่เขานัก
"แม่ครับ...แม่ไม่ต้องคิดมากนะ ป้าจ้าวก็ปากเสียแบบนี้แหละ มีบ้านไหนบ้างที่ไม่ถูกป้าจ้าวด่า วันหน้าถ้าผมได้ยินกับหู ผมไม่ปล่อยเอาไว้แน่" ซูฮุ่ยหมิงยกคิ้วขึ้น ป้าจ้าวหรือ...หญิงสาวพยายามค้นหาความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของชื่อนี้ ในเสี้ยวความทรงจำของร่างเก่า ไม่นานก็ค้นพบ ป้าจ้าวหญิงปากมาก ที่ชอบตบลูกตีผัว และนินทาชาวบ้านอยู่เป็นประจำคนนั้นนั่นเอง ดูเหมือนจะอยู่ข้างบ้านเธอกระมัง
"ป้าจ้าวเกี่ยวอะไรกับแม่จ๊ะ หรือว่าลูกไปได้ยินเขาด่าแม่กัน"
"ค่ะ.../อาหง" เฟยหงพยักหน้ารับ ทว่าเฟยเทียนก็เรียกขึ้นมาเสียงดัง ซูฮุ่ยหมิงหรี่ตาลง จ้องมองสองพี่น้องที่เริ่มลนลานขึ้นมาและแอบส่งสายตาให้กันเงียบ ๆ
"แม่ครับ..."
"เสี่ยวเทียนลูกไม่ควรตวาดน้องแบบนั้น ดูสิน้องตกใจหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ต้องขอบคุณเสี่ยวเทียนกับเสี่ยวหงที่อยากปกป้องแม่ แม่ดีใจมาก ๆ เลยจ้ะ แต่!!!...แม่ไม่อยากให้ลูกใส่ใจเรื่องพวกนั้น ลูกก็รู้ว่าป้าจ้าวนิสัยยังไง เราไม่ควรให้ค่ากับคนแบบนี้ดีไหมจ๊ะ"
"ดีค่ะ / ดีครับ" ซูฮุ่ยหมิงพอใจมาก เธอจูงมือเด็ก ๆ เข้าไปในบ้าน
"ลูกกินอาหารเช้ากันหรือยัง"
"ยังค่ะพวกเรารอแม่"
"อ่า...ได้ ๆ แม่ผิดเอง มาจ้ะเสี่ยวหงไปช่วยแม่ยกอาหารเถอะ เสี่ยวเทียนลูกเตรียมน้ำดื่มก็แล้วกัน ไม่ต้องเดินมาก ขายังไม่หายดี" คนเป็นแม่ชี้นิ้วไปที่หัวเข่าแดง ๆ ของแฝดพี่ เฟยเทียนสะดุ้งขึ้นและรีบพยักหน้าแรง ๆ สองพี่น้องขานรับเต็มเสียง จากนั้นก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง ซูฮุ่ยหมิงยืนมองว่าลูกชายยังเจ็บเวลาเดินหรือไม่ ครั้นเห็นว่าเขาเดินตัวตรงก็เบาใจ
ถึงแม้ว่าอาหารบนโต๊ะจะเป็นผักที่เก็บมาจากชายป่า กับข้าวต้มธัญพืชเสียส่วนใหญ่ แต่ทั้งสามก็กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ใช่ว่าไม่อยากกินเนื้อ แต่ว่าไม่มีเงินที่จะซื้อต่างหาก หลังกินอาหารเสร็จซูฮุ่ยหมิงก็ถามความรู้ของเด็ก ๆ ปรากฏว่าลูกทั้งสองไม่มีความรู้เลย เขียนไม่ได้อ่านไม่ออก เธอจึงคิดจะสอนหนังสือให้ลูกด้วยตนเอง ทว่าตอนแรกคงต้องทนเรียนกับดินไปก่อน เอาไว้หาเงินได้แล้ว ค่อยซื้อสมุดหนังสือ
ซูฮุ่ยหมิงสำรวจบ้านหลังนี้อย่างละเอียดแล้ว ถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่บ้านปู้อันมีพื้นที่กว้างขวาง แต่รกไปด้วยหญ้าที่ไม่เกิดประโยชน์ ก่อนหน้านั้นยังพอมีที่นาอยู่หลายหมู่ แต่เมื่อปู้อันตายไป แม่สามีและน้องชายก็มาขู่ซื้อเอาคืนด้วยเงินไม่กี่หยวน เหลือแค่เพียงที่และบ้านโทรม ๆ หลังนี้เท่านั้น อย่างไรเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ยอมปล่อยมือ นั่นก็นับว่ายังพอฉลาดอยู่บ้าง อะไรที่เสียไปแล้ว เธอคงไปเรียกร้องคืนมาไม่ได้ แต่เธอพกมันสมองมาจากยุคที่เจริญแล้ว จะหาทางทำมาหากินทำไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป
"เสี่ยวหง เสี่ยวเทียน เรามาปรับเปลี่ยนคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นกันเถอะ" เด็กน้อยทั้งสองอ้าปากค้าง มือที่คีบผัดผักชะงักอยู่กลางอก เงยหน้ามองแม่ด้วยความไม่เข้าใจ คุณภาพชีวิตคือตัวอะไรกัน!!!