"นั่นแหละ แต่ก่อนแต่งขอทดลองใช้ก่อนได้มั้ยคะ?"
"ทดลองใช้อะไร?" พ่อฉันถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ และหลังจากนั้นก็จ้องฉันรอคำตอบ
"มีเซ็กส์"
"แทนขวัญ!"
ฉันยักไหล่ขึ้นกับเสียงตวาดกร้าวเสียงดัง ก็พ่อจะให้ฉันแต่งงาน ฉันก็ไม่ปฏิเสธ (เพราะปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว) แล้วกฏการแต่งงานคืออะไร? เข้าใจกันเรื่องบนเตียง พอใจกันในเรื่องอื่นๆ มีหลายอย่างเลยที่ชีวิตคู่ต้องเรียนรู้ด้วยกัน
การทดลองเอากันก่อนแต่งมันผิดตรงไหน?
ดีออก จะได้รู้ไงว่าเข้ากันได้รึเปล่า ไม่ใช่แต่งไปแล้วเซ็กส์ห่วยแตกฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ เสียอรรถรส
เออ...ไหนๆก็บ่นแล้ว ก็บ่นแม่งยาวๆเลยแล้วกัน
ฉันไม่เคยถือสาเรื่องพวกนี้ และไม่เคยหวงตัว อยากให้แต่งก็จะแต่งให้ แต่ขอแค่เป็นผู้เป็นคนไม่ปากเหม็น ไม่แก่ทึนทึก เพราะชีวิตฉันมันถูกจำกัดในกรงแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แค่แต่งงานไม่ตายหรอก
ต้องอยู่บ้าน ต้องมีบอดี้การ์ด ห้ามเที่ยวต่างประเทศ ไปไหนต้องรายงาน สั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ถามหน่อยฉันมีสิทธิ์พูดหรือแย้งอะไรบ้าง
เหอะ! คอยดูนะ พ่อต้องเฉ่งฉันเรื่องรถบิ๊กไบค์ และเรื่องบอดี้การ์ดอีกแน่นอน
"เหิมเกริม! เป็นผู้หญิงพูดจาแบบนี้ได้ยังไง!"
"เพศไหนก็มีสิทธิ์พูดเรื่องเซ็กส์ค่ะพ่อ พ่ออาจจะบังคับหนูแต่งงานได้ แต่คนที่ต้องไปใช้ชีวิตกับพี่องศาคือหนู หนูมีสิทธิ์ที่จะลองก่อน หนูผิดตรงไหนคะ?"
"แทนขวัญ!"
"หนูจะทำตามใจพ่อ แต่ถ้าหนูไม่เคยรักเจ้าบ่าวตัวเองหรือไม่เคยพอใจนิสัยเขา อย่างน้อยๆก็พอใจแค่ร่างกายก็ยังดี"
พ่อฉันกัดฟันกรอดจ้องฉันเขม็ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันกล้าเถียงและอธิบายเหตุผลตัวเอง แต่แค่เราเป็นเด็กอยากอธิบายเหตุผล ผู้ใหญ่ก็มองว่ากร้าวร้าวแล้ว โลกนี้แม่งอยู่ยากจริงๆ
จนสุดท้ายพ่อฉันยอมอ่อนลง ท่านผ่อนลมหายใจออกช้าๆ แล้วเดินมาจ้องหน้าฉันใกล้ๆ
"เรื่องที่ลูกพูดพ่อจะถือว่าไม่ได้ยิน แต่ต่อไปนี้หยุดเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงตายขับบิ๊กไบค์ และหยุดทำร้ายคนอื่นเพราะเขาไม่ทำตามใจอีก"
ฉันกอดอกมองหน้าพ่อกลับ
"งั้นพ่อก็เอาบอดี้การ์ดที่ดูแลหนูออกไปให้หมดสิคะ"
"..."
"หนูอยากเป็นผู้หญิงปกติ ที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนกัน ทุกวันนี้ถ้ามีปอกคอหนูก็คือหมาของพ่อตัวนึงแล้ว"
'เพียะ!' หน้าฉันหันไปอีกทาง และจับแก้มตัวเองทันที ก่อนที่จะตวัดตากลับไปมองพ่อน้ำตาคลอตัวสั่นระริก
"ช่วยทำตัวเหมือนลูกสาวบ้านอื่นได้ไหม!?"
"พ่อไม่เคยตบหนู"
"มีสติแทนขวัญ"
"พ่อไม่เคยตบหนู!!" ฉันเม้มปากแน่นกำมือสองข้างที่ตอนนี้ลดลงขนาบข้างลำตัว
"หนูเกลียดพ่อ" พ่อชี้ไปที่ประตูห้องทันที ไม่สนใจสิ่งที่ตัวเองทำกับฉันสักนิดเดียว
"ออกไป และจำไว้ว่าตัวเองโตแล้ว พ่อจะไม่มีวันโอ๋แทนขวัญอีกเด็ดขาด"
"ได้!"
ว่าแล้วฉันก็สบัดหน้าเดินกลับออกไปที่ลิฟต์ ก่อนจะกดลงไปที่ชั้นของตัวเอง แล้วลงมาเจอบอดี้การ์ดกลุ่มที่ฉันยิงยืนรออยู่
ใช่...คนพวกนั้นยังก้มคำนับฉันเหมือนเดิม แต่มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองหลายเท่า
จนสุดท้ายไม่อยากมองหน้าพวกเขา รีบเดินมองตรงเข้าห้องตัวเอง
"คุณแทนขวัญจะให้พวกผมส่งรถซ่อมให้ไหมครับ" หนึ่งในนั้นถามตามหลัง
"ไม่ต้อง ไปพักเถอะฉันอยากอยู่คนเดียว" ฉันพูดจบก็เดินไปเปิดประตูเข้าห้องเพนส์เฮาส์ ก่อนจะโยนหมวกกันน็อคลงโซฟา และถอดเสื้อหนังเหวี่ยงลงพื้นอย่างหัวเสีย
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดด"
เสียงกรี๊ดที่แผดออกมาคือมันไม่ไหวจริงๆ ฉันอยากจะบ้า อยากจะพังของทุกชิ้นในห้องเพนส์เฮาส์นี้ และที่สำคัญไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว มันเหมือนหอคอยงาช้างที่ปิดกั้นฉันจากโลกภายนอก
ฉันเดินไปทาบมือที่กระจกมองลงไปข้างล่างทั้งน้ำตา ก่อนจะยกมืออีกข้างจับแก้มที่ยังแสบชาของตัวเองไว้
แก้มไม่เจ็บหรอก... แต่ฉันเจ็บใจต่างหาก เพราะพ่อไม่เคยตีฉันเลยสักครั้ง จริงอยู่ที่ฉันมีส่วนผิดและเถียงท่าน แต่ทำไมพ่อไม่ฟังกันบ้างเลย
พอฉันยืนอยู่เงียบๆร้องไห้กับตัวเอง สักพักก็ได้ยินเสียงย่างก้าวของสัตว์ใหญ่เดินมาใกล้ๆ เสือขาวตัวใหญ่แหงนขึ้นฟ้าส่งเสียงร้องคำราม กรรรรร~ ประกาศอำนาจและความเป็นเจ้าถิ่น
ฉันหันมองมันและนั่งลงที่พื้น ก่อนจะกอดแล้วลูบแผงคอให้สัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเอง แค่ไซส์มือฉัน ก็ไม่ได้เศษเสี้ยวความใหญ่ของหน้ามันแล้ว และตัวมันก็ใหญ่กว่าฉันหลายเท่าด้วย
"เป็นแก แกจะทำยังไงวะไข่ขาว" มันมองหน้าฉันแล้วล้มลงนอน ฉันจึงเกาคางและเกาพุงอย่างที่มันชอบ
แหนะ บิดเป็นปลาไหลเลยนะอิไข่ขาว
"ถ้าฉันแต่งงานออกไปใครจะเลี้ยงแก เฮ้อ... ชาติหน้าแกอย่าเกิดมาเป็นลูกสาวมาเฟียเหมือนฉันนะไข่ขาว อึดอัดเป็นบ้า วันนี้พ่อตบฉันด้วย ฉันผิดอะไร? แค่เด็กกว่า พูดหรือออกความเห็นไม่ได้เลยใช่ป่ะ"
พอฉันบ่นยาว ไข่ขาวก็ลุกขึ้นนั่งแล้วใช้หัวของมันถูแขนฉัน เสือตัวนี้ฉันได้มาเลี้ยงตั้งแต่มันเด็กๆ และแน่นอนว่าประเทศแสนบอบบางนี้ไม่อนุญาตให้เลี้ยงในบ้าน
แต่มันเชื่องกับฉัน มันเหมือนแมวตัวนึง บางวันก็ขึ้นไปหงายท้องนอนบนเตียงให้เกาพุงให้ บางวันก็มานอนเกยที่โซฟาดูหนังกับฉัน
แต่มีแค่ฉันคนเดียวนะที่มันรัก และการเลี้ยงไข่ขาวก็ทำให้บอดี้การ์ดและแม่บ้านไม่กล้าเข้ามาในห้องฉันสุ่มสี่สุ่มห้า พวกนั้นจะเข้ามาเป็นเวลาตอนที่ฉันขังมันไว้เท่านั้น
เพราะถ้าเจอคนแปลกหน้าก้าวเข้ามาในห้องเมื่อไหร่ สัตว์เลี้ยงแสนน่ารักของฉันจะคำรามใส่ และขู่ทันที แต่เรื่องกัดยังไม่เคยเห็นนะ แม่บ้านก็ยังไม่มีใครหายสาบสูญ
'ครืนนนน ครืนนนนน'
เสียงโทรศัพท์มือถือฉันสั่นในกระเป๋ากางเกง ขณะที่ฉันเล่นกับเสือตัวเองอยู่ ฉันล้วงไปหยิบมันขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย
เป็น เจ้อลิน โทรมา คนนี้เป็นญาติห่างๆฉันเอง นางเป็นดาราดังและเป็นลูกสาว ZER กรุ๊ป อาณาจักรนี้ก็ยิ่งใหญ่เหมือนกัน มีห้าง มีผับ มีโรงแรมและโรงงานหลายแห่ง
ALIN | CALLING
"ว่าไงเจ้"
(อยู่ไหนซิสสสส)
"เพนส์เฮาส์ เจ้มีอะไรอ่ะ"
(ไปดื่มไหม? ฉันพึ่งเลิกกองอยากไปหาอะไรลงคอหน่อย)
"วันนี้เหรอ?"
(ใช่ บอกว่าไปกับฉัน พ่อแกไม่ว่าหรอกน่า) ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย อย่ามาพูดถึงพ่อฉันตอนนี้เลย อารมณ์เสีย
"ฉันไปได้อยู่แล้วแต่ไม่มีอิสระ เพราะบอดี้การ์ดต้องไปด้วย เจ้โอเคป่าวล่ะ"
(อื้มโอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปรับซีลีนที่บ้านก่อนนะ แต่งตัวให้เป็นผู้หญิงหน่อยล่ะ)
"เออค่ะ จะใส่ให้เสมอหูเลย"
(ฮ่าๆ แก้ผ้าไปเลย งั้นถึงบ้านซีลีนจะโทรไปบอกสถานที่อีกครั้งนะ)
"ตามนั้น"
พอฉันวางสายก็ลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และแต่งหน้าใหม่ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวกันสามคนใครจัดเต็มได้จัดเต็มค่ะ เพราะเจ้อลินคือเจ้าแม่แฟชั่น
อากาศประเทศไทยเหมือนซ้อมตายในนรก แต่เจ๊แกจัดขนมิ้งขนแกะคลุมไหล่เข้าผับ
บางวันฉันกับเจ้ซีลีนต้องโกยนม ดันทรงไปแข่งอ่ะคิดดู
วันนี้ฉันเลือกใส่เดรสสีดำคล้องคอแหวกหลัง กับรองเท้าบูทสั้น เพิ่มกิมมิกเล็กๆด้วยต่างหูเพชรเส้นยาวหนึ่งเส้น ก่อนจะปัดผมไปอีกฝั่งโชว์คอระหง กลางวันเป็นสาวไบค์เกอร์ กลางคืนเป็นกะ... เอ่อเป็นคนสวยเซ็กซี่
เต็มที่ไปเลยแทนขวัญ
"คุณแทนขวัญจะไปไหนครับ" ทันทีที่ฉันเปิดประตูออกไป บอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้องก็ถามทันที
"ฉันจะออกไปผับกับเจ้ซีลีน เจ้อลิน ช่วยขับรถให้หน่อยแล้วกัน" บอดี้การ์ดสี่คนก้มหน้ารับ แต่คนที่โดนฉันยิงเมื่อตอนกลางวัน ฉันยกมือห้ามไว้
"พี่ไม่ต้องไป ไปพักเถอะ" บอดี้การ์ดคนนั้นทำหน้าตกใจ มองฉันอึ้งๆ
"ผมเหรอครับ?"
"อืม เจ็บขาไม่ใช่เหรอ? ขอโทษแล้วกัน"
พอพูดจบฉันก็ก้าวเข้าลิฟต์ไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บอดี้การ์ดที่รออยู่ข้างในจะกดลิฟต์ปิด และฉันเบือนหน้าไปทางอื่น
เจ้อลินนัดที่ผับ Trixie ผับนี้เราเคยไปมาก่อนแล้ว เป็นผับที่ค่อนข้างปลอดภัยและไพรเวต เป็นผับโปรดของเจ้แกเลยก็ว่าได้ พอไปถึงฉันก็เจอกับสองเจ้ที่หน้าผับ เราแต่งชุดคนละสไตล์
เจ้อลินมาด้วยเสื้อเปิดไหล่สีชมพูต่างหูวงกลมเกือบเท่าล้อรถ ส่วนเจ้ซีลีนเป็นบอดี้สูทเว้าหลังสีขาวกับกางเกงขายาวโชว์สัดส่วน
เพลงกระหึ่มเรียกไฟแรดให้เราสามคน ฉันบอกเลยว่าลืมเรื่องวันนี้ไปหมดแล้ว เพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ช่างหอมหวานเหลือเกิน ฉันอยากจะเมาให้สลบประชดพ่อ!
"ฉันเปิดโต๊ะวีไอพีไปแปดแสน รอเดี๋ยวนะ" พอเจ้อลินพูดแบบนั้นฉันกับเจ้ซีลีนก็ยิ้มกริ่มกันเลย
ผับที่นี่แบ่งชนชั้นวรรณะอย่างชัดเจน วีไอพีที่ต้องจ่ายเกือบล้านมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น และนอกจากคนมีชื่อเสียง คนมีอิทธิพล คนปกติไม่สามารถเปิดได้นะ
มันคือสีสันของผับ เราจะอยู่สูงกว่าทุกคนและสามารถดึงผู้ชายหรือผู้หญิงที่อยู่ข้างล่างขึ้นมานัวได้ตามใจ เห็นเจ้อลินบอกว่าคล้ายกับผับที่เกาหลี แต่ที่นี่วีไอพีมีแค่สี่โต๊ะเท่านั้น
"สวัสดีครับคุณอลิน โต๊ะวีไอพีพร้อมแล้วครับ"
เมื่อได้รับการคอนเฟิร์มจากพนักงาน ดีเจที่คุมเครื่องเสียงก็ขึ้นชื่อเราสามคนที่จอแอลอีดีใหญ่ยักษ์
'ยินดีต้อนรับ คุณอลิน คุณแทนขวัญ และคุณซีลีน สู่ผับTrixie !'
เสียงปรบมือดังขึ้นก้องผับพร้อมกับเสียงโห่แซว เหมือนฉันจะขึ้นเวทีออกคอนเสิร์ตยังไงอย่างงั้น เราก้าวขึ้นบันไดไปที่โต๊ะกลางโดยที่บอดี้การ์ดฉันคุ้มกันด้านล่าง
แต่พอใกล้ถึง และฉันเผลอสบตากับผู้ชายสามคนที่อยู่โต๊ะข้างๆเท่านั้น เท้าฉันก็ชะงักทันที
อะ.... ไอ้บ้านั่น
ไอ้บ้าลัมโบร์กินีบีบนม!
____________________________
👻
คอมเมนท์ = กำลังใจนะเจ้าคะ