พนาเดินจากไปทันที กลับขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาหารร้อนๆ ที่ลงมืออุ่นด้วยตัวเอง ไม่ได้อยากทำให้ขนาดนี้หรอก แต่คนอื่นๆในบ้านหลับหมดแล้ว เขาแค่ไม่อยากรบกวนคนในบ้านของตัวเอง ก็แค่นั้น
“ว้าว น่ากินจัง”
พนามองใบหน้าที่ราวกับเด็ก มองผู้หญิงที่เดินเข้ามาใกล้ตัวเองก่อนจะส่ายหน้า ยัยบ้านี่คิดว่าเขาเหมือนเดิมนักหรือไง เวลากว่าหกปีที่ไม่ได้เจอกัน เขาเปลี่ยนไปเยอะมากเลยนะ ทำไมไม่รู้จักระวังตัวเองเลย
“มองอะไร?”
“ทำแบบนี้กับผู้ชายทุกคนหรือเปล่า”
“ทำไมต้องตอบคำถามคุณด้วย ฉันขอกินนะ บอกเลยว่าหิวมาก”
มัลลิกาแย่งจานอาหารในมือใหญ่มาถือไว้เอง เดินไปที่โซฟาตัวใหญ่ ลงมือกินอาหารด้วยความรู้สึกหิวโหย แอบมองสังเหตุผู้ชายตัวโตนั่นไปด้วย เธอแค่เหนื่อยหรอก ถ้าเป็นเธอตอนปกติ เธอจะไม่มีวันเดินตามเขาไปแน่
“ขอบคุณสำหรับเตียงและอาหาร ฉันกลับเลยนะ”
เมื่ออาหารในจานว่างเปล่า ก็รีบบอกลาเจ้าของบ้าน เดินไปหยิบของทุกอย่างของตัวเอง แต่ยังเดินไม่พ้นประตู ก็ถูกคำถามรั้งขาไว้
“จะเอายังไงกับผม”
“ไม่เอายังไงแล้ว ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่เหมือนเดิม โอเค้”
หันมาตอบเพราะไม่อยากหวั่นไหวมากไปกว่านี้แล้ว ทำไมเธอต้องหวั่นไหวกับคนที่ทิ้งเธอด้วย เสียชื่อหมด
“พูดง่ายนะ”
“แล้วจะทำให้มันยากทำไม ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้”
ดวงตาคู่สวยฉายแววไม่พอใจเพียงครู่ ก็กลับมาเป็นปกติ ต่างจากคนฟังที่แววตาคุกรุ่นมากขึ้น หลังจากเห็นท่าทางและคำพูดของเธอ
“ธุรกิจผมเสียหายเพราะข่าวของคุณ”
ข่าวที่ว่านั่นเป็นข่าวเสียมากกว่าข่าวดี เนื้อข่าวเขียนว่า เขาชุบมือเปิบแย่งนักธุรกิจสาวของตระกูลดัง เป็นมือที่สามกับผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงาน แย่งเธอมาเป็นของตัวเอง จนเธอกับคนรักที่คบหากันมานานแรมปีเลิกรากันอย่างจบไม่สวย
ข่าวนั่นทำให้หุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของเขาร่วงลงไป แทนที่มันจะดีดตัวขึ้น เพราะข่าวการคบหากันกับเธอ
“ข่าวของฉันที่ไหน มีแต่รูปคุณทั้งนั้น”
เธอเห็นข่าวที่ว่านั่นตั้งแต่วันแรก แต่เพราะมันไม่ได้มีชื่อเธอ เธอเลยไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้ว่ามันจะสร้างความเสียหายให้ธุรกิจของเขา เอาตรงๆคือเธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ส่วนใหญ่คนที่มีข่าวกับเธอ มักจะได้มากกว่าเสีย
“ไม่รู้แหละ ผมต้องวิ่งวุ่นไปมาเพราะคุณ”
“อ๋อเหรอ”
“เดียร์!”
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไงล่ะ ข่าวมันก็ออกไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนประเภทที่ออกไปนั่งพูดอะไรให้คนอื่นฟังหรอกนะ อย่ามาหวังให้ฉันแก้ข่าว”
“ให้ตาย! คุณยังเห็นแค่ประโยชน์ของตัวเองไม่เปลี่ยนเลย”
พนาเสยผมด้านหน้าขึ้น อย่างคนที่ไม่รู้จะระบายความโกรธลงกับอะไร มัลลิกายักไหล่อย่างไม่แคร์ เธอเป็นแบบที่เขาพูดมานั้นแหละ ถ้าจะแก้ข่าวว่าเขาไม่ใช่มือที่สาม เธอสามารถทำได้ หรือจะปิดข่าวไม่ให้มันแพร่ออกไปมากกว่านี้ก็ได้ แต่เธอไม่ทำ
ที่เธอไม่ทำ เพราะเธอรอเวลาอยู่ ปล่อยให้คนในโลกออนไลน์ขุดคุ้ยไปเรื่อย เธอเชื่อว่าต้องมีสักคน หรือสักร้าน หรือไม่ก็สักโรงแรม ที่มีรูปหรือวีดีโอ ของอดีตคู่หมั้นเธอกับเพื่อนสนิทเธอแน่ หรือไม่ช่วงที่ข่าวมันแรงมากๆเธอก็จะปล่อยรูปและวีดีโอพวกนั้นเอง เพื่อเล่นงานคนที่มันหักหลังเธอให้ไม่มีที่ยืนในวงสังคมอีก
เธอก็ไม่อยากทำอะไรที่มันยุ่งยากแบบนี้หรอก แต่ด้วยฐานะของเธอทำให้ไม่สามารถทำอะไรง่ายๆแบบนั้นได้ ทุกอย่างมันมีผลและราคาที่ต้องจ่าย เธอไม่อยากเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จบลงไปแล้วอีก เธอไม่อยากเสียอะไรเพราะผู้ชายแบบนั้นอีกแล้ว
“มันจะเสียหายเท่าไหร่เชียว”
“ร้อยล้าน”
“หา! ธุรกิจคุณมีมูลค่าขนาดนั้นเลย”
มัลลิกาครางอย่างไม่เชื่อ เธอไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายที่ชื่อ พนา วัฒนาธร เลยสักนิด ต่อให้สั่งคนให้ไปค้นมา ก็ได้มาเพียงแค่ชื่อและนามสกุลเดิมของเขา และข้อมูลย้อนหลังไปเมื่อหกปีก่อน ข้อมูลช่วงหกปีที่เขาหายไป ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาทำอะไรอยู่ และทำอะไรที่ไหน
“มีมูลค่ามากกว่านั้นอีก”
ถ้าเขาไม่วิ่งไปจัดการ บริษัทเขาคงเสียหายมากกว่านี้ เขาเสียผู้ลงทุนไปสองราย สองรายที่ว่าเป็นลูกค้ารายใหม่ก็จริง แต่ดีลซื้อขายกันมูลค่าหลายสิบล้าน เขาพลาดโอกาสนั้น เพราะข่าวที่เธอดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง ฉันไม่รู้นี่นาว่ามันจะเป็นแบบนี้”
แม้จะเคยเลิกรากันไป และยังมีสิ่งติดค้างอยู่ในใจ แต่เธอก็ไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น ไม่ได้คิดจะทำลายธุรกิจของใครลง ถ้าไม่มีเหตุผลมากพอ
“ไปแก้ข่าวซะ”
“จะให้ฉันแก้ว่ายังไงอะคุณ ข่าวมันปูมาแบบนั้น คุณก็เข้าข่ายมือที่สามเหมือนกันนะ”
มัลลิกาอมยิ้ม เมื่อใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกว่ากำลังขัดใจ พนาคิดจนหัวจะระเบิด ในขณะที่ตัวเองยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี
มันน่าจับมาตีสักป๊าบ!
“ไม่น่ากลับมาเจอกันเลย”
คำพูดนั้นสร้างความน้อยใจให้คนฟังได้เป็นอย่างดี มัลลิกาหุบยิ้ม เชิ่ดใบหน้าขึ้นอย่างที่ชอบทำเวลาไม่พอใจ คำนี้เธอต่างหากที่ควรพูด
“ฉันก็ไม่ได้รู้สึกดีใจหรอกที่ได้กลับมาเจอคุณ”
พูดจบก็ก้าวออกจากห้อง ปิดประตูเสียงดังใส่คนที่อยู่ด้านใน เดินฝ่าความมืดอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองคว้ากระเป๋ามาด้วย ก็รีบล้วงมือเข้าไปหาโทรศัพท์มาเปิดไฟฉายส่องทาง
“กรี๊ด! มายืนทำไมตรงนี้”
มัลลิกาแทบจะปาโทรศัพท์ทิ้ง ด้วยตกใจสิ่งที่ตัวเองเห็น พนายืนเงียบรอให้เธอหายตกใจสักพัก ถึงได้เริ่มพูดสิ่งที่คิดทบทวนมาเมื่อครู่
“แต่งงานกันซะเดียร์”
“ไม่เอาอะ ฉันยังไม่คิดไปถึงขั้นนั้นเลย”
เธอกับเขาเพิ่งจะเจอกันสองครั้งในรอบหกปี เห็นหน้ากันยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ แม้จะเคยรักกันมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแต่งงานกันได้เลยซะที่ไหนละ มันเร็วเกินไป
“ต้องคิดแล้วมายเดียร์ อยากเป็นเมียแบบสมยอม หรืออยากเป็นแบบถูกบังคับ”
พนาสาวเท้าเข้าไปใกล้ ดึงรั้งร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเข้าหาตัว โน้มใบหน้าลงจนมองเห็นใบหน้าเธอชัดเจน
“ฉัน ไม่กลัวคุณหรอก”
“จะลองดูก็ได้ Mydear”
มือเรียวยาวลูบไล้ใบหน้าสวยหวานแผ่วเบา สัมผัสวันนั้นติดอยู่ริมฝีปากจนตอนนี้ อยากรู้เหลือเกินว่า รสชาติที่ปราศจากแอลกอฮอล์ มันจะหอมหวานขนาดไหน
ริมฝีปากหนาทาบทับลงไปช้าๆ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ขัดขืน ก็ลากไล้ลิ้นทั่วกลีบปากนุ่ม ใช้ฟันขบเบาๆหยอกเย้าไปมา เมื่อเธอเผลออ้าริมฝีปากขึ้น ก็ขยับลิ้นเข้าไปชิมความหวานด้านใน
มัลลิกาไม่รู้เลยว่าทำไม เธอไม่ใช่ผู้หญิงใจง่าย ออกจะคบคนยากด้วยซ้ำ เรื่องที่เดินเข้าหาผู้ชายนี่ไม่เคยทำเลยสักครั้ง แล้วทำไมกับเขา เธอถึงดูใจง่ายจังเลย