บทที่ 3 กรรมเก่า...2

3235 คำ
“หรานเอ๋อร์ เหตุใดถึงเปียกปอนนัก เจ้าเล่นน้ำรึ?” เด็กชายวัยเก้าขวบกวาดสายตามองน้องสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า และเมื่อพบว่าน้องสาวตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ขมวดคิ้วแน่น หลีหยางวางกระบุกที่แบกอยู่ลงพื้น ก่อนจะถอดเสื้อคลุมของตนออกแล้วคลุมให้กับน้องสาว “เล่นน้ำตัวเปียกเช่นนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เขาบ่นโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าในมือน้องสาวนั้นถือสิ่งใดอยู่ เมื่อเห็นพี่ชายยังไม่เอ่ยถาม หลีเริ่นหรานจึงชูต้นหงลู่ในมือให้พี่ชายดูต่อหน้า แต่หลีหยางก็ยังทำท่าเฉยเมยอยู่อีก ประหนึ่งไม่เห็นว่านางถือสิ่งใดอยู่ในมือ “พี่รอง ท่านไม่เห็นหรือเจ้าคะว่าข้าถือสิ่งใดอยู่” “เห็น” เขาตอบสั้นๆ สีหน้าและน้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงอาการตื่นเต้นดีใจเลยแม้แต่น้อย เทียบกับตอนที่นางเก็บต้นหญ้าที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นต้นหวงเซ่อ ตอนนั้นพี่รองของนางยังดูตื่นเต้นกว่านี้เยอะ “แล้วไม่ดีใจเลยหรือเจ้าคะ?... นี่ต้นหงลู่นะเจ้าคะพี่รอง ต้นหงลู่ ข้าเก็บต้นหงลู่ได้!” เอ่ยพูดพร้อมกับชูสมุนไพรในมือไปมา คาดว่าต้นในมือนางนี้น่าจะขายได้สักราวสามสิบสี่สิบตำลึง แต่ทำไม พี่รองของนางดูไม่ได้สนใจกับมันเลยเล่า! “ต้นหงลู่ที่เกิดอยู่ริมตลิ่งฝั่งตรงนั้นนะรึ?” หลีเริ่นหรานอ้าปาก ถ้าพี่รองของนางพูดออกมาแบบนี้ แสดงว่าเขาก็คงเห็นสมุนไพรต้นนี้แล้วเช่นกัน “เจ้าค่ะ ข้าข้ามฝั่งไปเก็บมันมา” หลีหยางไม่พูดอะไรต่อ เขาล้วงเอาสิ่งของบางอย่างที่อยู่ในย่ามออกมาให้น้องสาวดูแทน “นั่นต้นอะไรเจ้าคะพี่รอง!” หลีเริ่นหรานเบิกตาโต ต้นไม้ที่พี่รองของนางเอาออกมามีหน้าตาประหลาดนัก แต่สีของมันกลับดูสวยงามยิ่ง “หรานเอ๋อร์ ต้นนี้คือเซียนหยง มีสรรพคุณสมานแผลสดได้ดียิ่ง ส่วนมากเกิดในป่าลึกที่มีความชื้นสูง ทำให้มีราคาแพงเพราะกว่าจะได้มาต้องเดินเข้าไปในป่าลึกและเสี่ยงอันตราย” หลีเริ่นหรานมองดูต้นเซียนหยงในมือหลีหยาง ก่อนจะก้มมองต้นหงลู่ในมือตัวเอง แล้วในใจก็พลันเกิดคำถาม “มันมีค่ามากกว่าต้นหงลู่หรือเจ้าคะพี่รอง เหตุใดท่านจึงเลือกที่จะไม่เก็บต้นหงลู่ต้นนี้ แต่กลับเดินเข้าป่าลึกเพื่อหาต้นเซียนหยง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะพบมันหรือไม่” ในเมื่อต้นหงลู่อันมีค่าอยู่ใกล้กว่า แม้จะลำบากในการเก็บ ทว่าก็ยังดีกว่าเดินเข้าป่าหาสมุนไพรอื่นที่ไม่รู้ว่าพบหรือไม่ ทำแบบนี้มันต่างอะไรกับทิ้งก้อนทองไปหาก้อนกรวดกัน หลีเริ่นหรานคิดอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่ชายคิด “หรานเอ๋อร์...ต้นเซียนหยงหนึ่งต้นมีค่ามากถึงยี่สิบตำลึง และการที่พี่เสี่ยงดวงไปหามัน เพราะพี่มั่นใจว่าจะหามันเจออย่างไรเล่า ว่าแต่เจ้าเถอะ เหตุใดถึงได้เสี่ยงชีวิตไปเก็บต้นหงลู่นี่ รู้หรือไม่ว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ต้นหงลู่มากค่านี่ก็ไร้ซึ่งความหมาย เพราะเจ้าสำคัญกว่ามันเยอะ” หลีเริ่นหรานหน้าสลด ตอนนั้นรู้เพียงว่าหากได้ต้นหงลู่นี่ไปขาย ครอบครัวของนางก็จะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายตำลึง ถึงจะเถียงพี่ชายในใจว่าอย่างไรซะ นางก็ไม่มีทางเป็นอะไร เพราะถ้าหากเถาวัลย์เกิดขาดขึ้นมาจริง นางก็แค่ว่ายน้ำขึ้นฝั่งก็เท่านั้น แต่รู้ดีว่าพูดอะไรแบบนั้นออกไป ก็เท่ากับเป็นการจุดประเด็นให้คนในครอบครัวสงสัยในความสามารถของนาง ในเมื่อพวกเขายังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ววิญญาณในร่างนี้ หาใช่หลีเริ่นหรานตัวจริงไม่! “เจ้าค่ะพี่รอง ต่อไปข้าจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายอีกแล้ว” “รู้ก็ดีแล้ว จำไว้ว่าชีวิตเจ้ามีค่ากับพี่และคนในครอบครัวมากนัก” เมื่อเห็นน้องสาวมีสีหน้ารู้สึกผิด หลีหยางก็ไม่คิดจะว่าอะไรนางต่อ ทั้งสองจึงได้เดินออกไปสมทบกับบิดาที่กำลังหานางอยู่อีกด้านของป่า หากจะกล่าวถึงจอมมารแห่งโลกมาร ภาพจำของเหล่ามนุษย์ที่มีต่อมารคงไม่พ้นภาพใบหน้าชั่วร้าย น่าเกลียดน่ากลัว จิตใจอำมหิตฆ่าคนไม่เลือกหน้า ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามนุษย์บนโลก ถูกปลูกฝังโดยเทพเซียน เมื่อกล่าวถึงมาร มนุษย์จึงนึกถึงแต่ความโหดร้าย และการนองเลือด ทว่าความเป็นจริงนั้น สรรพสิ่งในใต้หล้านี้มิได้มีเพียงโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ หรือโลกมารเพียงเท่านั้น เพราะใต้หล้านี้ยังมีโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่มีใครเอ่ยถึง เพราะส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจว่าเป็นโลกเดียวกันกับโลกมาร ซึ่งที่นั่นก็คือโลกพิศวงหรือเรียกอีกอย่างว่าแดนปีศาจนั่นเอง ว่ากันว่าในกาลก่อน ทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนแต่เป็นสิ่งเดียวกันและอยู่รวมกันอย่างสงบสุข ทว่ากับมีเซียนน้อยตนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลบ่อน้ำศักดิ์ ถูกเทพเซียนคนอื่นๆ รังแกอยู่บ่อยครั้ง นานวันเข้าเซียนน้อยตนนั้นทนไม่ไหว จึงได้หนีไปอยู่เพียงลำพังในดินแดนเปลี่ยวร้าง แต่ด้วยความลำบากเพราะดินแดนเปลี่ยวร้างนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้เลยนอกจากงู เซียนน้อยตนนั้นจึงได้ฝังจิตของตนเองเข้ากับงูเห่าตัวหนึ่ง และตั้งหมั่นบำเพ็ญจิตอยู่ภายใต้ร่างงูเห่าตัวนั้น จวบจนระยะเวลาผ่านไปหลายสิบปี จิตของเซียนน้อยตนนั้นในร่างงูจึงได้สร้างกายหยาบที่เป็นมนุษย์ชายคนหนึ่งขึ้น และเดินทางออกจากดินแดนเปลี่ยวร้าง ไปอาศัยอยู่ในป่า ทว่ากายหยาบที่เป็นมนุษย์นั้นกลับคงอยู่ได้เพียงเวลากลางวัน เมื่อใดที่จิตเซียนตนนั้นหลับสนิท เขาก็จะถูกจิตของงูเห่าครอบงำ ตอนกลางคืนจึงได้กลายร่างเป็นงูออกหากิน แต่ด้วยเหตุใดไม่มีใครทราบ สุดท้ายร่างเซียนผู้นั้นกลับกลายเป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ ลำตัวเป็นคน มีหางเหมือนจิ้งจอก มีลิ้นสองแฉกเหมือนงู ผมและตาสีแดงฉานดุจเลือด วันหนึ่งมีพรานป่าคนหนึ่งเข้าไปหาของป่าในป่าแห่งนั้น และได้ไปพบกับเซียนตนนั้นเข้า เขาจึงได้แสดงอาการหวาดกลัวและรังเกียจ ครั้นพอเซียนตนนั้นเห็นผู้คนรังเกียจ จึงบังเกิดความขุ่นข้องหมองใจ และโกรธ จึงได้ฆ่านายพรานคนนั้น ทั้งยังเดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน และเมื่อเห็นผู้คนหวาดกลัวตน จึงได้ฆ่าล้างหมู่นั้น กระทั่งเรื่องนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณขององค์เง็กเซียน พระองค์จึงได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อปราบปีศาจตนนั้นด้วยพระองค์เอง เมื่อได้เผชิญหน้ากับปีศาจที่คนเล่าลือ พระองค์จึงได้ใช้ดวงจิตเพ่งมองไปยังจิตของปีศาจตนนั้น จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ปีศาจตนนั้นคือเซียนน้อยผู้หนึ่งที่หายไปจากสวรรค์ พระองค์จึงได้เสนอว่าจะช่วยเซียนน้อยบำเพ็ญจิต จนกว่าจะคืนร่างเดิมได้ ทว่าเซียนน้อยที่บัดนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้วไม่ยอมรับข้อเสนอ เพราะน้อยใจที่เวลาตนถูกเหล่าเทพเซียนคนอื่นกลั่นแกล้ง พระองค์กลับไม่เคยคิดช่วย จึงได้เกิดการต่อสู้กันอย่างรุนแรง และในที่สุด ปีศาจเซียนน้อยตนนั้นก็แพ้ จึงได้หนีกลับไปอยู่ในดินแดนเปลี่ยวร้างเช่นเดิม ต่อมาจึงได้เกิดสงครามระหว่างเผ่าเทพและมารขึ้น เพราะเทพแดนสวรรค์ส่วนใหญ่คิดว่ามารเป็นผู้สร้างปีศาจตนนั้นขึ้น โดยจับเอาเซียนน้อยไปเป็นหนูทดลอง เหล่ามารก็ไม่พอใจที่ถูกใส่ร้าย จึงได้จัดตั้งกองทัพเตรียมสู้รบกับเหล่าเทพ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง แต่ด้วยพลังและอิทธิฤทธิ์ที่มีโดยเท่าเทียมกัน เทพกับมารจึงไม่อาจเอาชนะกันและกันได้อย่างเด็ดขาด องค์เง็กเซียนที่เป็นประหนึ่งตัวแทนของท่านผู้สร้าง จึงได้เสนอให้แต่ละเผ่าต่างอยู่ แต่แบ่งแยกดินแดนออกเป็นคนละส่วนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงกระนั้นเทพและมารก็ยังสู้รบปรบมือสร้างสงครามกันอยู่เนืองๆ มาตรว่าต้องการรู้แพ้รู้ชนะกันอย่างเด็ดขาด แม้เวลาจะผ่านมานานหลายแสนปี แต่ความแค้นเคืองระหว่างเทพกับมารก็ยังคงอยู่และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ “แล้วเซียนปีศาจตนนั้นล่ะเจ้าคะท่านพ่อ เซียนปีศาจตนนั้นหายไปที่ใด” “หลังจากหายเข้าไปยังดินแดนเปลี่ยวร้าง ก็ไม่มีผู้ใดได้ข่าวคราวเซียนตนนั้นอีกเลย” หลีเริ่นหรานฟังแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แม้ว่าหลังจากฟังเรื่องเล่าจากบิดาจบจะมีคำถามมากมาย ทว่าหากนางถามไปก็คงจะได้รับคำตอบไม่ต่างกัน ขึ้นชื่อว่าตำนาน อย่างไรซะมันก็ผ่านมานานแล้ว คิดหาคำตอบไปก็คงไร้ประโยชน์ เหตุที่วันนี้ผู้เป็นบิดาเข้ามาเล่าเรื่องตำนานนี้ให้ฟังก็ว่านางจะได้ลืมเรื่องของเจ้านกอินทรีดำจอมเนรคุณตัวนั้นเสียที หลังจากที่กลับมาจากไปหาของป่าบนเขา หลีเริ่นหรานก็ตรงเข้ามายังห้องนอนของนางทันที ทว่าเด็กน้อยมีอันต้องตกตะลึงปนใจหาย เมื่อมองไปที่เตียงนอนแล้วไม่พบเจ้านกยักษ์สีดำตัวนั้นอีก! แม้ในใจจะคิดว่ามันคงฟื้นและบินหนีกลับรังไปแล้ว แต่ด้วยความที่นางเอามันมานอนด้วยทุกคืน บวกกับขนหนาๆ ของมันที่นางกอดทุกคืนนั้นสร้างความอบอุ่นให้นางยิ่ง เมื่อมันจากไป นางจึงอดเสียดายและคิดถึงมันไม่ได้ รู้อย่างนี้ย่างกินเสียก็ดี!.... “พ่อว่าเจ้านอนได้แล้วนะหรานเอ๋อร์ เป็นเด็กนอนดึกมากมันไม่ดี” หลีหยุนลูบหัวลูกน้อยสองสามครั้งก่อนจะดึงผ้าห่มให้จนถึงอก วันนี้มารดาของนางเร่งมือปักผ้าเพื่อที่จะนำไปขายในวันมะรืนให้เสร็จ เขาจึงอาสาพาลูกสาวเข้านอนด้วยตัวเอง จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่บุตรสาวฟื้นคืนสติ หลังจากหลับใหลมานานเกือบครึ่งปี บุตรสาวของเขาคนนี้ก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่มาก แต่เขาก็สังเกตถึงการเปลี่ยนไปนั้นได้ แววตามุ่งมั่น จริงจัง ที่แฝงออกมายามนางพูดจานั้น ไม่เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาวัยห้าขวบเลยสักนิด อีกทั้งยังรู้ความกว่าแต่ก่อนมาก ทั้งไม่มีความคิดที่จะวิ่งเล่นเหมือนแต่ก่อน ไม่ร่ำร้องกินขนม หรือเรียกหาอาหารจานโปรดเหมือนเก่า แม้จะเป็นเรื่องดีที่บุตรสาวคนเล็กเลี้ยงง่าย แต่นั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน หากการที่ลูกน้อยไปเรียกร้องอยากได้นู้นนี่นั่นตามใจตน ก็แสดงว่านางเข้าใจถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของครอบครัว และถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกลำบาก “หรานเอ๋อร์ พ่อขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าลำบาก” หลีหยุนเอ่ยบอกกับลูกสาว ก่อนจะก้มลงไปจูบหน้าผากน้อยๆ “ลูกไม่โกรธท่านพ่อ ท่านพ่อทำถูกแล้วเจ้าค่ะ แล้วลูกก็ไม่ได้ลำบากอันใด” แม้บิดาจะไม่บอกว่าขอโทษนางด้วยเหตุอันใด ทว่าจิตวิญญาณของนางนั้นรู้ได้ บิดาของนางยังโทษตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ที่เป็นต้นเหตุให้ครอบครัวประสบกับความลำบาก หลีหยุนยิ้มรับ ก่อนจะดับเทียนให้บุตรสาวแล้วออกจากห้องไป เสียงนกร้องบ่งบอกว่าตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ด้วยวันนี้หลีเริ่นหรานตั้งใจจะปักผ้าอยู่ที่เรือนกับมารดา หน้าที่ขึ้นเขาไปหาสมุนไพรจึงตกเป็นของท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รองและพี่สามของนาง กายเล็กๆ ค่อยๆ ขยับตัวออกจากผ้าห่ม ก่อนจะชะงักเมื่อฝ่าเท้าน้อยๆ สัมผัสได้ถึงก้อนอะไรบางอย่างที่กลิ้งเกลือกอยู่บนที่นอนของนาง พรึ่บ! “เอ๊ะ?” และเมื่อเลิกผ้าห่มขึ้นจึงได้รู้ว่าไอ้ก้อนเล็กๆ เท่าขี้นกนั้นมันคือก้อนทองที่เกลื่อนอยู่บนที่นอนของนางประมาณสิบก้อน ห๊ะ! ก้อนทอง!.......... หลีเริ่นหรานลนลานเก็บก้อนทองที่ว่านั้นมาดูด้วยความแปลกใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เตียงนอนของนางจะมีก้อนทองเกิดขึ้นมาเอง “หรือว่า?” เด็กน้องรำพึงรำพันกับตัวเอง ก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม และเมื่อมือน้อยๆ ของนางหยิบมันออกมา หลีเริ่นหรานก็เบิกตากว้างเสียยิ่งกว่าไข่ห่าน เพราะมันคือขนนกทองคำ! ร่างเล็กแข็งค้างไปช่วยครู่ ก่อนสติจะถูกดึงกลับมาเมื่อประกายสีทองแวววับของปีกนกทองคำสะท้อนแสงเข้ามากระทบตา หรือนี่จะเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยชีวิตเจ้านกยักษ์นั่นไว้? หลีเริ่นหรานนั่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะดูก้อนทองเหล่านั้น และเมื่อนับเสร็จ เด็กน้อยก็เป่าปากออกมาอย่างโล่งอก เพราะต่อจากนี้ไปครอบครัวของนางจะไม่ลำบากแล้ว ก้อนทองหนึ่งก้อนแลกก้อนเงินได้ห้าสิบก้อน ก้อนเงินหนึ่งก้อนแลกเป็นตำลึงเงินได้ร้อยตำลึง และเป็นอีกแปะได้พันอีแปะ และตอนนี้นางก็มีก้อนทองอยู่ถึงสิบห้าก้อน จากตอนแรกที่กวาดตามองแค่ประมาณสิบก้อน แต่พอนับจริงๆ กลับมีถึงสิบห้าก้อน แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าอะไรถ้าไม่เรียกว่ารวย.... แถมรวยแบบโชคหล่นทับอีกต่างหาก! นี่ยังไม่รวมเจ้าขนนกทองคำอันนั้น ครอบครัวนางยังมีเงินมากขนาดนี้แล้ว แล้วถ้านางนำมันไปแลกเป็นเงิน จะมีค่ามากเท่าไหร่กัน หลีเริ่นหรานหยิบขนนกทองคำนั้นขึ้นมาพิจารณา มองไปมองมาก็พบว่ามันช่างสวยงามนัก อย่างนี้แล้วนางคงตัดใจเอามันไปขายแลกเงินไม่ได้แน่ คิดได้ดังนั้นหลีเริ่นหรานก็เก็บขนนกทองคำกับก้อนทองอีกหนึ่งก้อนไว้ในถุงเงินสีเทาใบเก่า ก่อนจะเย็บถุงเงินใบนั้นติดกับเสื้อตัวในสุด ที่มีสภาพใหม่เอี่ยมที่สุดในบรรดาเสื้อตัวในที่นางมี ต่อไปนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะสวมเสื้อข้างในตัวนี้ทุกวัน ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนนอน เพราะนางหวงของที่อยู่ในถุงเงินที่นางเย็บติดกับเสื้อตัวนี้มาก! ด้วยนางจะไม่บอกให้ใครรู้ว่ามีขนนกทองคำอยู่ แม้จะรู้สึกผิดที่ปิดบังคนในครอบครัว แต่นางก็ตัดสินใจอย่างเห็นแก่ตัวไปแล้วว่าขนนกทองคำอันนี้เป็นของนาง ถือเป็นค่าตอบแทนที่นางได้ช่วยชีวิตเจ้านกน่าตายตัวนั้นไว้ แถมยังให้นอนบนเตียงและห่มผ้าให้อีกต่างหาก “ไม่สิ” หลีเริ่นหรานเอ่ยขึ้นเมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะออกไปหาผู้เป็นมารดา “ข้าจะเรียกเจ้าว่านกน้อยน่าตายไม่ได้...ต้องเรียกเจ้าว่านกน้อยผู้ใจดี” แม้จะไม่รู้ว่าก้อนทองเหล่านั้นมาจากที่ใด แต่หลีเริ่นหรานก็ทึกทักไปแล้วว่าต้องเป็นของนกอินทรีดำตัวนั้นแน่ แม้จะหาความเชื่อมโยงของก้อนทองกับนกตัวนั้นไม่ได้ แต่ขนนกทองคำนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าทั้งก้อนทองและขนนกทองคำนั่นน่าจะมาจากมัน และไม่ว่ามันจะคาบมาจากที่ใดแล้วเอามาให้นาง หรือมันมีขนเป็นทองคำจริงๆ ตอนนี้หลีเริ่นหรานก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว มือน้อยๆ กำเอาก้อนทองทั้งสิบสี่ก้อนนั้นมาไว้ในมือ ก่อนจะคิดไปคิดมาแล้ววางอีกก้อนลงไว้บนเตียง จากนั้นก็เอาผ้าห่มคลุมไว้ แล้วนำก้อนทองทั้งสิบสามก้อนออกจากห้องไปหามารดา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของนางนั้น อยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา “หึ!....เด็กขี้งก!” ร่างเล็กป้อมของหลีเริ่นหรานวิ่งมาหามารดาที่เรือนด้วยความตื่นเต้น ในมือน้อยๆ ของนางกำก้อนทองไว้แน่นราวกับว่าหากมันสูญหายไป นางต้องปวดใจมากเป็นแน่ แน่ล่ะ! จะมีใครโชคดีอย่างนางกันที่อยู่ๆ พอลืมตาตื่นก็มีก้อนเงินกองอยู่บนเตียงมากมาย “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านแม่เจ้าคะ!” ไป๋ฮวาส่ายหน้าอย่างระอาใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกตนจากทางเข้าเรือน โดนที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด แม้ว่าบุตรสาวจะไม่ได้กิริยานี้แบบนี้บ่อยๆ แต่ถ้าให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นิสัยแบบนี้คงติดตัวไปจนโตเป็นสาวแน่ แล้วอย่างนี้ชายใดจะตบแต่งนางเข้าจวนกัน “ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ” ร่างน้อยวิ่งหน้าตื่นมาถึงตัวมารดาที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ “หรานเอ๋อร์ มีเรื่องอันใดรึ เหตุใดเจ้าจึงวิ่งตะโกนร้องเรียกแม่เช่นนี้ หากท่านพ่อเห็นกิริยานี้ของเจ้าคงปวดใจน่าดู” ไป๋ฮวาเย้าบุตรสาวพร้อมกับยกบิดานางขึ้นมาอ้าง เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลีเริ่นหรานเกรงกลัวบิดาเป็นที่สุด “ท่านแม่ดูนี่สิเจ้าคะ?” หลีเริ่นหรานไม่สนใจคำสอนปนคำขู่ของมารดา มือน้อยชูก้อนทองให้มารดาดูต่อหน้า “หืม? ก้อนทอง เจ้าไปเอามาจากที่ใดกันหรานเอ๋อร์!?” แม้จะน้ำเสียงจะฟังดูค่อนข้างตกใจ ทว่าสีหน้าของมารดากลับนิ่งนัก นี่หรือคือคุณสมบัติของสตรีชนชั้นสูง ที่ไม่ว่าจะตื่นเต้นดีใจ แปลกใจ หรือตื่นกลัวเพียงใด ก็ยังคงต้องรักษากิริยาสงบเสงี่ยมไว้ “หรานเอ๋อร์เจอมันบนที่นอนเจ้าคะท่านแม่” หลีเริ่นหรานไม่คิดโกหก นางจึงตอบออกไปตามความจริงบางส่วน ลำพังแค่การที่นางแอบเก็บขนนกทองคำไว้คนเดียวก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นถ้าจะให้นางตัดใจขายมันนางก็ทำไม่ได้อยู่ดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม