ทุก ๆ วันช่วงเช้ามืดถึงอากาศจะหนาวเย็นแค่ไหนเธอก็ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ แรกๆก็ยากหน่อยแต่พอปรับตัวได้ร่างกายเอมอรก็เริ่มรู้สึกตัวตื่นเองโดยอัตโนมัติเมื่อถึงเวลา
แม่เริ่มสอนให้เธอทำงานบ้านงานเรือนเกือบทุกอย่าง ปัญหาก็คือการทำกับข้าวต้องก่อไฟเองแล้วก็ต้องใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิง กว่าจะทำได้ในวันแรกใช้เวลาก่อไฟอยู่เกือบสามสิบนาทีตะวันจะโผล่พ้นขอบฟ้าอยู่แล้วข้าวยังไม่ได้นึ่ง แต่เธอเกลียดกลิ่นควันไฟเป็นที่สุดมันชอบลอยเข้ามาฝั่งที่มีคนนั่งอยู่ มันเหม็นมากและทำให้น้ำหูน้ำตาเธอไหลไม่หยุด แม่ของเธอบอกว่าเมื่อไปเป็นสะใภ้บ้านโน้นแล้วต้องทำเองทุกอย่าง มันหนักกว่านี้อีกเป็นสิบเท่า เพราะพ่อใหญ่ศิลามีลูกหลายคนแถมยังมีไร่นาเป็นร้อยไร่
‘โอ้...ร้องไห้รอเลยได้ไหม? พ่อจ๋าแม่จ๋าหนูอยากกลับบ้าน!’
“ทิดกันพาน้องไปหาบน้ำมากินแหน่” (ทิดกันพาน้องไปหาบน้ำดื่มหน่อย) แม่อวนตะโกนบอกว่าที่ลูกเขยขณะที่เขายังเกี่ยวข้าวอยู่กับเอมอร
‘เรียกทิดกันแสดงว่าเขาบวชแล้วสินะ!’
“ปะอร แม่บอกให้ไปหาบน้ำ”
“น้ำอะไร?”
“น้ำกิน”
‘หือ? คือ? ทำไมต้องไปหาบแล้วทุกวันนี้เธอดื่มน้ำอะไร’
เอมอรเดินตามกันไปไกลพอสมควร เขาเป็นผู้ชายที่เดินเร็วจนเอมอรเดินตามแทบไม่ทัน ที่สำคัญคือต้องเดินเลียบไปตามแนวป่าช้า
“ย่างเร็ว ๆ ดู๊ คือย่างซ่าแท้” (เดินเร็ว ๆ หน่อยสิ ทำไมเดินช้าจัง) กันพูดเสียงดุแล้วหยุดเดินเพื่อรอเอมอร อย่าว่าแต่เดินช้าตอนนี้เธอเริ่มจะก้าวขาไม่ออก ทางข้างหน้ามีแต่ดินทรายทั้งนั้น เหยียบเท้าลงไปทีดินก็ไหลมากองอยู่เต็มหลังเท้า ก้าวขาลำบากสุด ๆ กว่าจะดึงรองเท้าขึ้นมาได้แต่ละก้าวแถมเม็ดทรายร้อน ๆ ก็ดีดขึ้นมาด้านหลังอีก
แล้วเขาล่ะไหนจะต้องหาบน้ำกลับมาอีกตั้งสองถังเดินบนดินทรายอีกอารมณ์เหมือนอยู่ในทะเลทรายร้อนเท้าก็ร้อน รองเท้าก็มีแต่แตะคีบ
‘สุดจริงขอบอก!’
เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก หนุ่มสาวสมัยนี้ทำงานเก่ง ทนทานต่อแดดฝนเธอแทบไม่ได้ครึ่งแม้แต่ขี้เล็บของพวกเขาเหล่านั้น เห็นจะชนะได้คนเดียวก็คือเอมอรคนก่อนที่เธอจะมาอยู่ในร่างนี้ ตอนเธอเกี่ยวข้าวยังไม่ถึงไหนเดี๋ยวก็วิ่งเข้าไปหลบในร่ม ดีแต่ที่ไม่หยุดทำไปเลย
พอมาถึงบ่อน้ำดื่มมันเป็นบ่อดินที่เกิดจากการขุดของเจ้าของที่นาหรือภาษาอีสานเรียกว่าส่าง ซึ่งลึกประมาณสองถึงสามเมตรพื้นที่โดยรอบเป็นดินเหลืองลึกลงไปเป็นหินเขาเล่าว่าบ่อน้ำนี้ใช้จอบกับเสียมขุด กันยังเล่าต่อว่าที่นาคนอื่นลึกกว่านี้ก็มี
‘คนเรานี่ก็เก่งเนอะ! ใช้จอบใช้เสียมขุดได้ลึกขนาดนี้’
น้ำในบ่อใสมากกันบอกว่าที่ตรงนี้เป็นที่นาของเขาเอง เอมอรเพิ่งรู้ว่าหลายวันที่ผ่านมาเธอดื่มน้ำบ่อมาตลอด รสชาติมันออกเปรี้ยวนิดหนึ่ง
‘เอาวะคนอื่นกินแล้วไม่ตายเราก็คงไม่ตายเหมือนกัน วงเล็บบ่อน้ำอยู่ทางทิศใต้ของป่าช้า น้ำจากป่าช้าไหลลงมาตรงนี้เกือบทั้งหมดเพราะพื้นที่มันลาดลงมาทางนี้’
ดินบริเวณนี้กันบอกว่ากินได้ด้วย ซึ่งเธอก็ไม่อยากรู้หรอกว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร ไม่ต้องสรรหามาให้เธอลอง
‘อึ๋ย...แค่คิดก็เสียวฟัน จะเอามาให้กิน อย่าแม้แต่จะคิด’
เขาใช้ไม้ไผ่ที่มีตะขอตรงโคนเกี่ยวหูหิ้วถังน้ำแล้วตักน้ำขึ้นมา เขาสาวไม้ไผ่ยาวอย่างชำนาญเอมอรมองดูแล้วถ้าเธอทำบ้างถังน้ำคงหลุดลงไปก้นบ่อเป็นแน่ สองมือแกร่งยกไม้คานที่มีน้ำอยู่เต็มถังทั้งสองข้างขึ้นบ่าอย่างง่ายดาย
ตอนขามาว่าเขาเดินเร็วแล้วตอนกลับแทบจะวิ่ง เขาบอกว่าหาบของหนักจะมาเดินช้าไม่ได้ ขาก็ยาวแถมมาวิ่งอีก
‘จะรออะไรล่ะ ก็วิ่งนำหน้าไปเลยสินี่มันป่าช้าน้า!’
กันต้องเหนื่อยคูณสองทั้งหาบน้ำทั้งขำท่าทางกลัวผีของเอมอร เขาเริ่มมองเห็นอนาคตของตัวเองขึ้นมาลาง ๆ เมื่อต้องมีเมียกลัวผีแม้แต่ตอนกลางวันอย่างเธอ กลับไปถึงเถียงนาเอมอรนั่งหอบแฮ่ก ๆ
“แล่นเฮ็ดหยัง เป็นสาวเป็นแส้” (วิ่งทำไมเป็นสาวเป็นแส้) ยายแพงเอ่ยถามเอมอรเมื่อเห็นหลานสาววิ่งกระหืดกระหอบมา มือข้างหนึ่งก็จับชายผ้าถุงขึ้น มืออีกข้างถือรองเท้า ส่วนที่เอวไม่ต้องจับเพราะเธอใช้เชือกผูกมันไว้เป็นอย่างดี
‘เอ๊า เป็นสาวห้ามวิ่งอันนี้เธอเพิ่งรู้’
“กลัวผี” เอมอรตอบยายเสียงหอบ
“ผีหยังสิมายามมื้อเวน” (ผีอะไรจะมาตอนกลางวัน)
‘ปัดโธ่! คนมันกลัวผีจะเลือกเวลาไหมล่ะยาย พูดแบบนี้แสดงว่าตอนกลางคืนมีผีงั้นสิ?’
เอมอรเดินไปดูหม้อแกงที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ เตาที่นาแม่ใช้เป็นหินสามก้อนขนาดกลางเพื่อพยุงหม้อไว้
“อรซิมเบิ่งดุ๊ แซบไป่” (อรชิมดูหน่อยสิ อร่อยยัง) แม่อวนยื่นทัพพีให้เธอ แม่เริ่มไว้ใจกับรสชาติอาหารที่เธอทำขึ้นมาบ้างแล้ว ในหม้อมันคือแกงปลาใส่สายบัวที่เธอชอบแต่อาหารที่แม่ทำไม่ได้ใส่กะทิสักอย่างแต่แกงทุกอย่างที่นี่ต้องใส่ปลาร้า ซึ่งปลาร้าที่แม่อวนหมักไว้กินเองต้องใช้เวลาหมักแรมปี เห็นสายบัวแล้วก็คิดถึงเหตุการณ์วันนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ถ้าเธอไม่อยากเก็บสายบัวเธอก็คงไม่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้ เอมอรยืนนิ่งเหม่อมองแกงในหม้อ น้ำตาก็ไหลออกมาเหมือนสั่งได้ กันเดินตามมาเงียบ ๆ แล้วหยุดยืนอยู่ข้างเธอ
“ไห้เฮ็ดหยัง” (ร้องไห้ทำไม) เขาพูดขึ้นมาเสียงอ่อนโยนราวกับว่าอยากจะปลอบเธอ เอมอรสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ไม่ได้ร้อง ควันมันเข้าตา อะชิมให้หน่อย” เอมอรพูดเสียงสั่นเครือแล้วยื่นทัพพีให้ชายหนุ่มต่อ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพื่อจัดการกับน้ำตาของตัวเอง กันมองตามร่างบางด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยความสงสัยระคนเป็นห่วง เขามองดูผู้หญิงคนนี้นับวันก็ยิ่งแปลกไปจากเอมอรคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก บางครั้งก็ดูสดใสแต่บางครั้งก็ดูเศร้าจนน่าใจหาย
สถานที่กินข้าวช่วงลงแขกแบบนี้ก็ไม่ต้องพิธีรีตองมาก ถ้ามีแต่คนในครอบครัวก็คงนั่งกินบนเถียงนา แต่นี่คนเยอะก็นั่งบนพื้นดินพื้นหญ้าเรียงเป็นสองแถวแล้วหันหน้าเข้าหากัน ทุกคนเอาอาหารที่ห่อมาจากบ้านวางตรงกลางแค่นี้ก็อร่อยที่สุดแล้ว
ช่วงบ่ายทุกคนลงไปเกี่ยวข้าวช่วยกันอีกครั้ง ที่นาของเธอคงใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเกี่ยวเสร็จ เพราะข้าวงามเกินไปต้นข้าวปูลาดไปกับพื้นด้วยแรงลมแถมบางพื้นที่รวงข้าวสลับไขว้กันไปคนละทิศทางเอมอรแทบจะคลานเข่าเพราะก้ม ๆ เงย ๆ เอวแทบหลุด และกว่าจะได้เก็บเข้ายุ้งฉางก็คงใช้เวลาอีกเป็นเดือน
ตอนนี้เธอต้องทำใจให้ชินกับทุกอย่างไปก่อน แม้กระทั่งตอนปวดหนักปวดเบาเวลาอยู่ทุ่งนา ห้องน้ำที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือตอซังข้าวหรือกอหญ้าหรือไม่ก็ต้นไม้ก็ว่าไปสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือผ้าถุง ทำเหมือนสุ่มครอบไก่แล้วก็จัดการมันตรงนั้นเลย อารมณ์นั้นไม่ได้สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น
ทุกวันนี้ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้เรื่องที่เอมอรพูดจาแปลกไปจากคนในหมู่บ้านเดียวกัน ชาวบ้านก็พากันนินทาไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ว่าเธอเป็นบ้า บ้างก็ว่าสมองเสื่อม บ้างก็ว่าผีเข้า แต่เอมอรก็ไม่ได้สนใจคำพูดของใครทั้งสิ้นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือจะหาทางกลับไปยังยุคปัจจุบันของเธอได้อย่างไร