พอตื่นเช้ามาเขาก็ไม่ได้อยู่ในห้องเพราะกลับไปแล้วและฉันเป็นคนนอนตื่นสายด้วยจึงไม่รู้ว่าเขาออกไปตอนไหน
ต่อแต่นี้เป็นต้นไปฉันคงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เจอผู้ชายคนนี้อีก...
!!
ความคิดที่มุ่งมั่นของฉันยังไม่ทันจบลง สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่วางอยู่บนหัวเตียง
นาฬิกาข้อมือราคาแพงของเขา สร้อยล็อกเกตที่เขาบอกจะมาเอาคืน ตอนนี้ยังคงอยู่ในห้องฉันเหมือนเดิมแล้วมันตามเพื่อนมาอีกชิ้นด้วย
ลืมจริงหรือตั้งใจ?
ฉันเม้มปากมองของที่เขาทิ้งเอาไว้แล้วกำหมัดทุบกับที่นอนอย่างหงุดหงิด
"ไอ้บ้าคิว!"
หลายชั่วโมงต่อมา
"เอาอะไร"
"สปาเกตตีซอสมะเขือเทศปลาหมึก" ฉันตอบยัยเค้กแล้วเล่นมือถือตัวเองดูอะไรเรื่อยเปื่อย
"มาม่าผัดขี้เมาทะเล" ต้องตาที่นั่งข้างฉันพูดต่อ
"ยัยคะนิ้งมันจะเอาอะไร ไม่มาซักที สงสัยเมื่อคืนหนัก" เค้กบ่นอุบอิบก่อนจะกดมือถือตามคะนิ้งในแชทกลุ่มของพวกเรา
คำพูดของยัยเค้กทำให้สมองฉันเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ฉันไม่อยากมีความลับกับเพื่อนเลยแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรบอกหรือเปล่านะ
แล้วถ้าพวกมันรู้ทีหลังล่ะฉันจะถูกมองยังไง
"พวกแก..." ฉันพูดออกไปแค่นั้นเสียงอีกคนก็ดังขึ้นมาแทรก
"มาแล้ว" ต้องตาพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าร้านก็เห็นยัยคะนิ้งกำลังเดินเข้ามาพอดี
"ไง เมื่อคืนพี่เขาจัดหนักให้แกเหรอ" ยัยเค้กพูดแซะแต่ยัยคะนิ้งกลับทำหน้าบอกบุญไม่รับ
"จัดหนักอะไร ส่งฉันหน้าหอแล้วกลับไปเลย" ยัยนั่นตอบแล้วหยิบน้ำขึ้นมาจิบ
"เขามีอะไรที่น่าสนใจกว่าแกปะ" ยัยเค้กหัวเราะเบาๆเหมือนสมน้ำหน้าเพื่อน ส่วนฉันได้แต่นั่งเงียบฟังพวกมันเพราะเรื่องนี้เข้าฉันเต็มๆ
"จะมีอะไรน่าสนใจกว่าฉัน เมื่อคืนฉันจัดเต็มขนาดนั้น" คะนิ้งพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ
"หมายถึงอ่อยจัดเต็มใช่มั้ย" ประโยคนี้ต้องตาเป็นคนพูด
"เออ อีกนิดเดียวก็จะแก้ผ้าให้ดูแล้ว ถุย!" คะนิ้งตอบอย่างประชด ฉันก็ได้แต่เงียบฟังอย่างกังวล
ส่วนเค้กก็ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา สองคนนี้มักจะพูดไม่ถูกคอกันเท่าไหร่ เพราะยัยเค้กมันบอกว่าคะนิ้งทำตัวไม่น่ารักนั่นแหละ สำหรับฉันก็เฉยๆนะไม่ได้คิดอะไรมากกับนิสัยของเพื่อนหรอก ยิ่งตอนนี้สอนใครไม่ได้เลยเพราะฉันก็ไม่ใช่คนดีอีกแล้ว
"หรือพี่เขารู้ว่าฉันมีแฟนถึงไม่อยากยุ่งวะ"
"รู้ตัวก็ดีนะ ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอก" เค้กคนเดิมที่ชอบตอกย้ำคะนิ้ง
"แต่เท่าที่รู้มาพี่คิวเขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้นะเว้ย ได้ฉายาคาสโนว่าแห่งเอนจิเนียร์มาแล้ว ไม่น่าปล่อยให้ผู้หญิงน่ารักอย่างฉันหลุดมือปะ" ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ยิ่งได้ยินสิ่งที่ยัยนิ้งพูดยิ่งอึดอัด "งั้นเขาจะยอมมาเหรอที่ฉันชวน"
ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขานะแต่ความกังวลของยัยนั่นมีผลมาจากฉันนี่แหละ เพราะเมื่อคืนเขามาหาฉัน
"แกไม่น่าสนใจพอไง"
"รำคาญ"
"พอๆข้าวมาแล้ว" ฉันรีบตัดบทแล้วสนใจกับข้าวที่พนักงานเอามาเสริฟ
แล้วบทสนทนาเรื่องผู้ชายก็จบลงแค่นั้น
บางที่ก็อยากภาวนาอีกเรื่อง นั่นคือขอให้ยัยคะนิ้งเลิกสนใจพี่คิวซักที แต่ดูเหมือนจะยากพอควรเพราะเท่าที่เห็นมามันสนใจคนนี้มากสุดแล้ว
หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็ไปเดินเล่นที่ห้างกันต่อ เพราะอยู่หอมันก็เบื่อๆ ทีแรกว่าจะหาหนังดูซักเรื่องแต่ไม่มีเรื่องที่พวกเราถูกใจเลยแม้แต่เรื่องเดียวเลยเปลี่ยนเป็นเดินชอปปิ้งแทน
"ไปห้องน้ำนะ เดี๋ยวมา" ฉันบอกพวกมันที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งร้านนี้ถือเป็นร้านที่สาวๆมหาวิทยาลัยย่านนี้รู้จักดีเพราะถือว่าใหญ่ที่สุดและมีของให้เลือกเยอะที่สุดด้วย
ฉันเดินออกมาจากร้านก็เดินเลี้ยวไปตามทางเดิน เข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมา แต่ยังไม่ถึงร้านฝีเท้าของฉันก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งเดินมาทางนี้เข้า
"..." ผู้ชายคนนั้นพอเห็นฉันก็เหมือนจะตกใจเหมือนกันแต่เขาก็ส่งยิ้มให้นิดๆ แล้วก็แกล้งหันไปมองทางอื่น
ส่วนผู้หญิงตอนแรกไม่เห็นฉัน พอเห็นยัยนั่นก็ยิ้มให้เหมือนกัน แต่สาบานเลยว่าฉันไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย
รอยยิ้มเย้ยหยันนั่นใครจะดูไม่ออก
"ผีเน่ากับโลงผุ" ฉันพูดขึ้นลอยๆตอนที่กำลังจะเดินผ่านสองคนนั้นไป พอยัยนั่นได้ยินก็หยุดเดินแล้วทำท่าจะหันมาเอาเรื่องฉัน
"ปิ่น ไม่เอา"
"พี่ดรีม ก็เมียเก่าพี่มันปากหมาใส่อะ" เมียเก่าเป็นสรรพนามที่ไม่ควรใช่กับฉันหรอกนะเพราะฉันกับไอ้พี่ดรีมไม่เคยมีอะไรกันแม้แต่ครั้งเดียว
ตลอดเวลาที่คบกันเขาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสุดๆ มากสุดก็แค่จูบ จับไม้จับมือ จนฉันวางแผนอนาคตเอาไว้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้
"ปากหมาก็ดีกว่านิสัยหมาๆล่ะวะ" ฉันหยุดเดินแล้วหันไปยิ้มให้สองคนนั้น "พวกหมาเดือนสิบสอง"
"อีเด็กนี่!" นังนั้นทำท่าจะเข้ามาตบฉัน แต่ฉันก็กอดอกยืนยิ้มให้ รอฝ่ามือของมันมาประทะใบหน้า เอาสิ ตบมาฉันจะสวนคืนให้รัวๆ
"ไปเถอะ" พี่ดรีมพยายามฉุดกระชากลากว่าที่เจ้าสาวของเขาออกไปขณะที่ฉันที่ยืนยิ้มอยู่ก็ค่อยเปลี่ยนสีหน้าทีละนิด
ฉันอวดเก่งไปอย่างนั้นแหละ พอเห็นเขามากับคนใหม่หัวใจที่เคยคิดว่าหายดีมันก็จุกขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้เริ่มมีน้ำใสๆเอ่อนองเกาะขอบตาแล้วด้วย
ฉันหันหลังจะเดินกลับไปที่ร้านก็เห็นผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งสวนมาพอดี ผู้ชายคนนั้นหันมามองด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนที่คิ้วเข้มจะค่อยๆขมวดเข้าหากัน ฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆแล้วรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าทันที
พี่คิวมากับผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง เรื่องนี้ยัยคะนิ้งต้องรู้ด้วยมั้ย แต่คงไม่สำคัญหรอกมั้ง ต่างคนต่างไม่ได้จริงจังอยู่แล้วนี่
โลกนี้ไม่มีใครดีที่สุดสินะ เราต่างมีเรื่องเลวๆเป็นของตัวเอง รวมถึงฉันด้วย
"ทำไมไปนานจัง" ต้องตาหันมาถามแล้วถือชุดที่ตัวเองเลือกไว้ยื่นให้พนักงาน ยัยเค้กก็กำลังเดินมาทางฉันด้วย
"เจอแฟนเก่ากับเมียใหม่" ฉันตอบออกไปตามตรงแค่เรื่องของพี่ดรีมส่วนเรื่องพี่คิวไม่ได้บอก
"แล้วเป็นไง" เค้กถามแล้วเดินมายืนใกล้ๆ
"มีเสียดสีกันนิดหน่อยแต่ไม่มีอะไร" ฉันบอกแล้วเดินไปดูเสื้อผ้าต่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์ซะแล้วสิ
"แกร้องไห้มาหรือไง จะร้องทำวะมันก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วปะ" ยัยคะนิ้งพูดแล้วส่ายหน้า
"คนอย่างแกมันจะไปรู้สึกอะไร ความหนักแน่นในความรักอะแกสัมผัสไม่ได้หรอก ยัยคนเจ้าชู้!" เค้กต่อว่าคะนิ้งเสร็จก็เดินหนีไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ทันที ยัยนิ้งจึงไหวไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะเดินหนีไปอีกทาง
พอซื้อเสื้อผ้ากันเสร็จพวกเราก็แยกย้ายกลับหอพัก กลับมาเก็บเสื้อผ้า รีดผ้าที่ซักไว้แล้วงีบพักสมองซักหน่อย จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วแต่ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมือถือสั่นเตือนว่ามีสายเรียกเข้า
'Kanink'
"อือ" ฉันกดรับสายของยัยคะนิ้งแล้วลุกไปเปิดไฟเพราะตอนนี้เวลาค่ำแล้วทั้งห้องจึงเกือบมืดสนิท
(แกไปร้านเหล้าเป็นเพื่อนฉันหน่อย...)
"ตอนไหน" ฉันถามแล้วทิ้งตัวนอนอีกรอบอย่างเพลียๆ
(สองทุ่มไปรับ)
"แล้วเพื่อนคนอื่นล่ะ"
(พวกนั้นไม่ชวนดีกว่า เดี๋ยวบ่นอีกเมื่อวานก็ไป)
"แกไม่คิดจะพักบ้างหรือไง" ฉันถอนหายใจออกมา เพราะเมื่อคืนเราก็เที่ยวกันแล้ว ดื่มมาแล้วก็ใช่ว่าจะรู้สึกดี
(ฉันเหงาอะ นะเตย...แกไปเป็นเพื่อนหน่อยฉันเลี้ยง แกอกหักด้วยไงต้องไปปลดปล่อย) ยัยคะนิ้งพยายามหาเหตุผลมาให้ฉันไปด้วย
"อืม ร้านไหน" ฉันคงเป็นคนที่ปฏิเสธคนไม่เก่งที่สุดแล้วมั้ง เพราะฉันมักจะใจอ่อนกับทุกเรื่องเสมอ
(ร้าน XXX ไม่ไกล)
"อืม มารับแล้วกัน"
————————
พี่คิวคะ ครั้งหน้าจะใช้มุขลืมของไม่ได้แล้วนะ คนรู้กันหมดแล้วอะ ???