หมายเหตุ นักเขียน
นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนได้แต่งขึ้นมาจากจินตนาการของตนเอง ไม่อิงประวัติศาสตร์ หลักความเป็นจริง สถานที่ ขนบธรรมเนียมประเพณี และตัวละครไม่มีอยู่จริง รวมถึงมีฉากอีโรติกรวมอยู่ด้วย วอนผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน นิยายเรื่องนี้เหมาะกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น (อายุ 18 ปี ขึ้นไป) และใช้คำราชาศัพท์เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากหากใช้ฉบับเต็มรูปแบบอาจจะส่งผลให้ผู้อ่านรู้สึกติดขัด และเข้าใจยาก หรือน่ารำคาญจนเกินไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวนักเขียนเองยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ คำติ หรือคำชมเพื่อปรับปรุงแก้ไขในผลงานเล่มต่อไป
[พื้นที่เพื่อความบันเทิง ละเว้นดราม่ากันนะคะทุกคน]
.....
๓
แปลกไป
"ทะ เที่ยวหรือเจ้าคะ"
"ใช่ ฉันอยาก… ข้าอยากออกไปเที่ยว ที่นี่มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง"
เป่าเป้ยชะงักเพียงเล็กน้อยกับคำพูดของตนเองเพราะนางยังไม่ชิน ก่อนที่จะมาที่นี่นางก็มีอ่านนิยายอยู่เยอะแยะไปหมด แต่เพราะเป็นคนประเภทชอบเสพความฟินจึงอ่านข้ามๆ บทบรรยายอื่นๆ ไปบ้าง นางเลือกอ่านเฉพาะแค่บทที่พระเอกนางเอกได้อยู่ด้วยกัน ทำให้นางทำตัวไม่ค่อยจะถูกเมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่จริงแบบนี้ ก็ใครจะไปคาดคิดเล่าว่านางจะมาอยู่ที่นี่ได้ เคยตราหน้านักเขียนจินตนาการล้ำเลิศไปก็หลายคน หากนางได้มีโอกาสกลับไปสัญญาเลยว่านางจะตามหานักเขียนผู้นั้นแล้ววิ่งเข้าไปกอดเสียหนึ่งที
"อ่อ ช่วงนี้มีเทศกาลตงจื๊อ ที่ตลาดจะมีของมาขายมากมายเลยเจ้าค่ะ"
"อือๆๆ อยากไปอ่ะ" คุณหนูของนางยิ่งดูยิ่งแปลก ไม่ใช่เพียงแค่นางแต่เจียวจิ้นบิดาของนางที่ยืนดูบุตรสาวคนเล็กอยู่ห่างๆ ยังรับรู้ได้ถึงความแปลกไปของนาง
"ฟูจวิน ดื่มชาก่อนเถอะ"
"อ่อ อาฉี เจ้าว่าเป้ยเป้ยของข้าดูแปลกตาไปหรือไม่" เฟยฉี กดยิ้มอย่างอ่อนหวาน เพราะรู้ถึงความห่วงใยที่ฟูจรินของนางมีต่อบุตรีคนเล็ก
"ก็ แปลกตาไปอยู่บ้าง"
"อย่างไร" ถามขึ้นขณะหยิบชาขึ้นมาเป่าเบาๆ เพื่อคลายความร้อนและดมกลิ่นชาหอมๆ เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย แขนข้างหนึ่งไขว้ไว้ด้านหลัง ยืนมองบุตรสาวของตนที่กำลังพูดคุยกับสาวใช้ด้วยท่าทางสดใสซุกซนต่างจากเป่าเป้ยคนก่อนเป็นอย่างมาก แววตาเช่นนี้เจียวจิ้นไม่เคยได้เห็นจากบุตรสาวของตนแม้แต่น้อย
"สดใสราวกับดอกไม้แรกแย้ม อารมณ์ดีราววันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แถมยังขี้อ้อนราวกับลูกแมวตัวเล็กๆ " ได้ฟังเช่นนั้นเจียวจิ้นก็กดยิ้มอย่างพึงใจเหตุเพราะก่อนหน้านี้บุตรสาว และอนุภรรยาของเขาไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่ แม้จะไม่มีเรื่องให้ปวดหัวภายในระหว่างลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยง แต่ทั้งสองก็ไม่ค่อยได้พูดคุยหรือแม้กระทั่งโอบกอด ออดอ้อนเช่นนี้ ดูท่าแล้วบุตรสาวของเขาที่เพิ่งฟื้นขึ้นมานี้จะทำให้อนุภรรยาของเขาเป็นสุขได้
"เจ้าชอบนางหรือไม่"
"พูดอะไรอย่างนั้นเล่า นางเป็นบุตรสาวคนเล็กของท่านก็เท่ากับว่าเป็นบุตรสาวของข้าด้วยไม่ใช่หรือ"
"ข้าหมายถึง บุตรสาวของข้านางนี้ เฮ้อ… หากเป็นอย่างที่ข้าคาด คงเป็นเพราะสวรรค์ประทานพรมาให้ข้าได้แก้ตัวอีกหนละมั้ง"
พูดแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ ที่มีไว้สำหรับชมบรรยากาศ แต่การพูดเช่นนี้กลับทำให้เฟยฉีอนุภรรยาของเขาหุบยิ้มแทบไม่ทันด้วยเหตุที่ว่านางรู้ดีว่าเหตุใดเป่าเป้ย จึงคิดสั้นเช่นนั้น
"ฟูจวิน เป็นเพราะข้าอบรมเฟยหงไม่ดีเอง ข้าไม่คาดคิดว่านางจะป้ายสีน้องสาวได้ถึงเพียงนี้"
เพราะหลังจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ความเสียใจถาโถมเข้ามาระลอกใหญ่ใส่ทั้งสองสามีภรรยา ด้านเฟยฉีก็ให้สาวรับใช้ข้างกายของนางคอยสังเกตผู้คนในบ้าน ด้านเจียวจิ้นนอกจากจะร่ำสุราร่ำไห้ เขายังให้คนสนิทบางส่วนช่วยเช็กข้อมูลอีกครั้ง จึงได้ทราบว่า
แท้จริงแล้วบุตรสาวคนเล็กของเขากับองค์รัชทายาทแทบไม่ได้ปะหน้ากันเลยสักหน มีเพียงบุตรสาวติดอนุภรรยาเท่านั้นที่พักหลังๆ ก็หายไปกับคนขององค์รัชทายาทบ่อยๆ และกลับมาก่อนฟ้าสางอยู่เสมอ จนกระทั่งมีข่าวจากในวังหลุดรอดออกมาว่าองค์รัชทายาททรงคลุ้มคลั่งและใช้ดาบประจำกายของพระองค์ปลิดชีพผู้ที่ทรยศหักหลัง หลังจากนั้นมาบุตรสาวติดอนุภรรยาของเขาก็กลับมาบ้านด้วยอาการสั่นกลัว และขังตัวเองอยู่ในเรือนถึงหนึ่งคืน รุ่งเช้าก็ออกมาเรียนเขาว่านางทราบมาว่าเป่าเป้ยบุตรสาวที่ไม่ค่อยชอบออกนอกเรือน ชอบเก็บตัว และรักสงบของเขาผู้นี้ มีสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทอย่างลึกซึ้ง
ในเพลานั้นต้องโทษเขาเองที่โง่เขลาเบาปัญญาเชื่อคำลวงของนางเขาจึงเร่งเดินทางไปเพื่อเอาผิดพระองค์ พระองค์ทรงนิ่งเฉยก่อนจะกดยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบเขามาว่า
"หากไท่ฝูคิดเช่นนั้น…"
"ข้าก็ไม่ขัดหากจะมีสนมเพิ่มขึ้นมา"
"ท่าน!" ถึงแม้จะเป็นไท่ฝูขององค์รัชทายาทแต่ก็ไม่สามารถขัดรับสั่งพระองค์ได้เลย ทำให้เขาทำเรื่องที่ผิดมหันต์นั่นคือบีบบังคับบุตรีคนเล็กของตนให้เข้าไปเป็นสนมของพระองค์
ส่วนเฟยฉีที่พอจับสังเกตบุตรสาวของตนได้ก็ให้สาวรับใช้ข้างกายไปเรียกนางมาเพื่อสอบถาม นางไม่ยอมรับ แต่กลับพูดจาว่าร้ายใส่น้องได้จนนางระคายหูไม่สามารถทนฟังต่อได้ และรู้สึกผิดขึ้นในใจเมื่อทราบข่าวว่าเป่าเป้ยคิดสั้น
…
"ถ้าเจ้าไม่อยากไปก็ตามใจนะ ข้าไปชวนท่านพ่อกับท่านแม่ไปเที่ยวดีกว่า" ความสำรวมที่เคยมีหายไปสิ้นเมื่อกล่าวจบคุณหนูของนางก็วิ่งราวกับม้าพยศยิ้มแฉ่งตรงไปหาบิดาของตนเอง
"ท่านพ่อ ท่านแม่"
"ต้องการอะไรอีกหรือเป้ยเป้ย"
"ท่านแม่ ข้าอยากไปเที่ยวงานเทศกาล…" เทศกาลอะไรวะ ลืมชื่อ เป่าเป้ยกลอกตาไปมาเม้มปากแน่นพยายามคิดชื่องานเทศกาลที่เว่ยหยันบอกเมื่อสักครู่
"ที่ตลาดใช่หรือไม่"
"ใช่ๆ "
"ใช่เทศกาลตงจื๊อหรือไม่เล่า" ใช่มั้ง
"ใช่ๆ ท่านแม่ข้าอยากไปเที่ยว ไปด้วยกันนะ"
"ดูทำตาเข้า ขออนุญาตท่านพ่อของเจ้าหรือยัง"
"ไม่ขอ แต่ข้าจะชวนท่านพ่อกับท่านแม่ไปด้วยกันเลย"
จากเด็กสาวเก็บตัวกลายเป็นเด็กเยี่ยงนี้ก็ดีไม่ใช่น้อย นิสัยนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนก็ดีไม่ใช่น้อย อาจเป็นเพราะนางหลับไปนานหลายวันก็คงใช่
"อืม เสี่ยวเว่ยไปบอกคนให้เตรียมรถม้า"
"เจ้าค่ะ"
…
ภายในรถม้า
"เป้ยเป้ย เจ้าทราบข่าวองค์รัชทายาทล้มป่วยหรือไม่"
"ข้าเพิ่งฟื้นยังไม่ถึงวันเลยจะทราบข่าวเขาได้ไง" คำพูดคำจาฟังแล้วแปลกหูไปอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเสียทีเดียว
"แล้วทำไมข้าถึงจะต้องแต่งงานกับเขาด้วยล่ะท่านพ่อ"
เจี้ยวจิ้นเหลือบสายตามองอนุภรรยาของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขาเองก็กลัวว่าทุกอย่างจะลงรอยเดิม ตอนนี้นางเพิ่งฟื้นอาจจะมีหลงลืมอะไรไปอยู่บ้าง
"หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่บังคับ"
"จริงหรือ"
"จริง"
"เจ้ายินยอมหรือไม่เล่า"
"ไม่ ข้าจะอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ตลอดไป"
พูดแล้วก็โน้มตัวกอดเอวบางของคนที่นางคิดว่าเป็นท่านแม่ของนางจริงๆ มาถึงที่นี่ ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปที่ที่นางมาวันไหน หรืออาจจะไม่ได้กลับเลยก็ได้ แต่ไม่เป็นไรไหนๆ ก็ได้มาเที่ยวต่างมิติแล้วนางก็ขอใช้ชีวิตให้คุ้มบ้างปะไร นางไม่ต้องออกทำงานให้เหนื่อยอีกแล้วเพราะว่าชีวิตของนางที่นี่น่าจะสุขสบายโขอยู่ จวนของนางที่อยู่ในตอนนี้ก็กว้างใหญ่แถมยังมีสาวรับใช้ที่น่ารักคอยอยู่ข้างกายไม่ห่างหาย มีท่านพ่อ มีท่านแม่ที่นางไม่มีโอกาสได้มี เพียงแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือไร
"ทำพูดปากหวาน ไปได้"
"ข้าไม่อยากแต่งงาน ท่านพ่อจะใจร้ายกับข้าได้ลงคอเชียวหรือ"
"ใครจะกล้าใจร้ายกับเจ้ากันเล่า ต่อให้ข้าต้องเลี้ยงเจ้าไปจนแก่เฒ่าก็ไม่เป็นไร"
รถม้าเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ เป่าเป้ยที่นั่งอยู่ด้านในรถม้านี้ก็กวาดสายตามองเพื่อสังเกตรถม้าที่นางนั่ง หรูหราใช่ย่อยเลยทีเดียว นางแหวกม่านหน้าต่างขึ้นเพียงนิดเพื่อดูบรรยากาศด้านนอกก่อนจะยิ้มแฉ่งเมื่อเห็นของกินละลานตา อากาศที่นี่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ดูแล้วน่าจะบริสุทธิ์กว่ากรุงเทพฯ เมืองที่นางเคยอยู่
"วะ ว้ายย!" อยู่ๆ รถม้าก็ชะงักแล้วหยุดนิ่ง เป่าเป้ยแทบหน้าคะมำแต่โชคดีที่ฟูฉีโอบนางเอาไว้
"เกิดอะไรขึ้น!" น้ำเสียงดุดันของเจียวจิ้นเปล่งออกไปจนเป่าเป้ยสะดุ้ง
"อะ"
"อะไร"
"คือ"
"มีเรื่องอะไรเล่า!"
มีมือหนาค่อยๆ เลื่อนเปิดม่านของรถม้าอย่างช้าๆ เป่าเป้ยมองลอดออกไปจนกระทั่งได้เห็นม้าสีน้ำตาลเข้มขนมันเงาตัวใหญ่ดูน่าเกรงขาม เธอค่อยๆ อ้าปากค้างอย่างช้าๆ เมื่อมองขึ้นไปยังคนที่อยู่บนหลังม้า
ไอ้นี่หน้าคุ้นๆ วะ ช่างแม่งนางคงไม่มีคนรู้จักที่นี่หรอกมั้ง
"ไท่ฝู่"
"อะ องค์รัชทายาท!"
ได้ยินท่านพ่อพูดออกมาเช่นนั้น เป่าเป้ยก็หันกลับไปมองชายผู้นี้ที่ยังนั่งอยู่บนหลังม้าอีกครั้ง เขาไม่ยิ้ม น้ำเสียงเข้มดุ สายตาเย็นชาเลื่อนกลับมาจดจ้องนางไม่กะพริบตา
"คะ คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ"
เป่าเป้ยทำตัวไม่ถูก เมื่อทั้งท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต่างก็ก้มศีรษะลงเพื่อคารวะองค์รัชทายาท ท่านแม่เหลือบขึ้นมาเห็นเป่าเป้ยยังนั่งอยู่ท่าเดิมไม่ได้ก้มหัวให้พระองค์แต่อย่างใด นางจึงค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วจับบุตรีคนเล็กโค้งศีรษะลง
"คารวะองค์รัชทายาทเพคะ"
"ตามสบาย" สายตาของพระองค์ยังจดจ้องแม่นางน้อยผู้นี้ ผู้ที่พระองค์ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ผู้ที่จะมาเป็นสนมของพระองค์ ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้พระองค์ แม่นางผู้นี้คงคิดว่าตัวพระองค์ใจดีมากสินะ
"มาทำอะไรกันหรือไท่ฝู" ท่านพ่อลงจากรถม้า รวมถึงท่านแม่ และยังต้องมีนางลงจากรถม้าตามมาด้วย
"กระหม่อมพาบุตรีมาเที่ยวเล่นพ่ะย่ะค่ะ"
"ได้ยินมาว่า ลูกสาวท่านไม่สบายไม่ใช่หรือ"
"อ่อ นางดีขึ้นมาบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
"เช่นนั้น ก็ดี" ขณะพูดพระองค์จดจ้องนางอยู่แทบตลอดเวลาไม่ยอมละสายตาไปไหนราวกับกำลังข่มขู่นางจนเป่าเป้ยต้องก้มหน้าลงเพราะไม่อยากถูกพระองค์มองหน้าตน
"กระหม่อมได้ยินมาว่าพระองค์เองก็ล้มป่วย ดีขึ้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"ข้า แข็งแรงขึ้นมาก" แม้แต่องค์รัชทายาทที่เคยดุดันกว่านี้ หลังจากที่ล้มป่วยเพราะพิษไข้เมื่อหายดีแล้วยังแปลกไปอยู่บ้าง ความโหดเหี้ยม น้ำเสียง ยังดูอ่อนโยนขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา
"บุตรสาวของไท่ฝู ชื่ออะไร"
"นาง…"
"ข้าถามนาง" ปกติพระองค์ก็ไม่ใส่ใจหญิงสาวเช่นนี้
"ฉัน… ข้าชื่อเป่าเป้ย ไป๋ เป่าเป้ย"
"เพคะ" ท่านแม่กระซิบเบาๆ ที่ข้างใบหูของนาง
"ข้าชื่อ ไป๋ เป่าเป้ย เพคะ"
"หม่อมฉัน" ท่านแม่ยังกระซิบข้างใบหูสอนนางเช่นเดิม
"กุมมือไว้ข้างหน้า ย่อตัวลงเล็กน้อยด้วย" ท่านแม่ยังกระซิบเบาๆ
"ไม่ต้องมากพิธีหรอก นางคงกลัวข้ามากเลยสินะ ถึงได้ยอมละทิ้งชีวิตเช่นนี้"