พ่อเลี้ยงของกานต์ไม่ใช่คนดุ แต่เป็นคนระเบียบจัด เขาไม่ชอบอะไรที่ไม่เป็นแบบแผน ไม่ชอบอะไรที่นอกกฎเกณฑ์ที่เขาวางไว้ และที่สำคัญ...ไม่ชอบเด็กดื้อ
เรื่องนี้กานต์ท่องจำขึ้นใจแล้ว ถึงจะไม่ได้โดนดุ แต่ก็ใช่ว่าอยากจะถูกดวงตาคู่สวยของออสตินจับจ้องอย่างจับผิดเท่าไรหรอก หลังจากที่โดนดุไปวันนั้น วันรุ่งขึ้นมาเรียก็ถูกสั่งให้มาดูแลเขาระหว่างที่พ่อเลี้ยงไม่อยู่อีกครั้ง คราวนี้กานต์ข่มความเกร็ง ไม่หนีไม่หลบ ยอมพูดคุยกับมาเรียตลอดทั้งวัน จนกระทั่งความขัดเขินระหว่างคนแปลกหน้าค่อยๆ มลายหายไปทีละน้อย ความจริงแล้ว แม่บ้านคนนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะน่ารักเสียด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ทำให้เด็กหนุ่มกำพร้าอย่างเขารู้สึกว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีออสตินเป็นพ่อเลี้ยง
เหตุผลน่ะเหรอ?
เพราะออสตินเป็นคนใจกว้าง...
มาเรียพร่ำชมชายหนุ่มไม่หยุดว่าถึงจะเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความลึกลับจนให้บรรยากาศเข้าถึงได้ยาก ทว่าตัวตนที่แท้จริงของเขากลับเมตตาใจดี เขาเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิเกี่ยวกับเด็กและสตรี มีการจัดตั้งกองทุนการศึกษาให้กับเด็กผู้ด้อยโอกาสในอเมริกามากมายหลายร้อยโครงการด้วยซ้ำ
ไม่ใช่แค่ใจกว้างแล้ว ยังใจดีอีกด้วย
กานต์เสริมในใจ จากนั้นก็พูดคุยเกี่ยวกับตัวออสตินโดยการเล่าเรื่องผ่านมาเรียตลอดทั้งวัน ข้อมูลใหม่เท่าที่กานต์รู้ในวันนี้นอกจากเรื่องข้างต้นก็คือออสตินอายุสามสิบห้า ไม่เคยแต่งงานมาก่อน ไม่มีลูก ไม่มีครอบครัว เป็นหนุ่มโสดตัวคนเดียว ครอบครัวเก่าก็ไม่มี พอคิดจะสร้างครอบครัวกับผู้หญิงสักคนขึ้นมาบ้าง ผู้หญิงคนนั้นก็มาด่วนจากไปทั้งที่แต่งงานกันได้ไม่กี่เดือน ซึ่งนั่นก็คือแม่ของเขาเอง
เด็กหนุ่มเสียดายอยู่สักหน่อยที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว ถ้ามีแม่อยู่ด้วยในตอนนี้ ครอบครัวของเขาจะสมบูรณ์แค่ไหน กานต์ไม่อาจจะคาดเดาได้เลย แต่ถึงจะไม่มีแม่อยู่แล้ว เขาก็ยังชอบออสตินอยู่ดี และความนิยมชมชอบก็ทวีมากขึ้นด้วยเมื่อมาเรียว่า...
“ตอนแรกที่เขาตัดสินใจจะรับเธอมาอุปการะ มีแต่คนรอบข้างคัดค้าน แต่เขาไม่ฟังใครเลย พูดอยู่ประโยคเดียวว่าจะต้องรักษาสัญญา จากนั้นก็ไปรับเธอมาอย่างที่เห็น”
ถ้าฝรั่งรู้ว่าการกราบเบญจางคประดิษฐ์คืออะไร กานต์คงจะไม่รีรอที่จะทำอย่างนั้นกับออสติน แต่สำหรับชาวตะวันตก แค่ขอบคุณกับทำตัวเป็นเด็กดีอย่างสม่ำเสมอให้ออสตินสบายใจก็คงจะเป็นการขอบคุณที่เพียงพอแล้ว
“คุยอะไรกันอยู่ ดูท่าทางสนุกเชียว”
คุยกับมาเรียต่อได้อีกไม่นานเท่าไร เสียงทุ้มก็ดังขึ้นหลังจากที่เสียงประตูบ้านถูกเปิดดังมาให้ได้ยินก่อนหน้า
สายตาของเด็กหนุ่มและแม่บ้านหันไปมองยังผู้มาใหม่ที่เดินเข้าบ้านมาในสภาพที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด ก่อนที่มาเรียจะยิ้มรับ
“กำลังคุยเรื่องของคุณค่ะ”
“เรื่องของฉัน?”
“ฉันเล่าให้คาร์ลฟังว่าคุณเป็นคนดีแค่ไหน”
คาร์ล...กลายเป็นชื่อที่คนอื่นใช้เรียกกานต์ ด้วยชื่อนี้มันออกเสียงคล้ายกับชื่อภาษาไทย ออสตินเลยตัดสินใจให้เขาใช้ชื่อนี้เป็นชื่อใหม่ ขณะที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเรียกเด็กหนุ่มด้วยชื่อภาษาไทย
“งั้นเหรอ แต่ฉันกลับมาแล้ว พวกเธอคงหมดเวลาที่จะนินทาฉันต่อแล้วมั้ง”
ออสตินว่าทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ หากกานต์อยู่คนเดียวคงจะทำหน้าไม่ถูกด้วยไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายพูดเล่นหรือจริงจัง ขณะที่มาเรียซึ่งทำงานกับชายหนุ่มมานานรับรู้ได้ ก่อนที่เธอจะหัวเราะร่วน
“ไม่ได้นินทาคุณสักหน่อย เล่าถึงความดีของคุณต่างหาก”
ออสตินยิ้มบางๆ “งั้นก็เก็บเอาไว้เล่าวันอื่นบ้าง หมดเวลางานแล้ว กลับได้เลยมาเรีย”
เขาไม่ได้ไล่ แค่เตือน อันที่จริงมาเรียยังอยากอยู่ต่อเพราะการพูดคุยกับกานต์ก็สนุกดีไม่น้อย แต่ออสตินนั้นเป็นเจ้านายที่เข้มงวดเรื่องเวลา ทั้งเวลาเข้างานและออกงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ตรงเป๊ะๆ ห้ามขาดห้ามเกิน
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณสเวน เจอกันใหม่จ้ะคาร์ล”
โบกมือลาพ่อลูกคนละสายเลือดเรียบร้อยก็ผลุบหายออกไปจากบ้าน เสียงประตูปิดดังขึ้น ออสตินเดินตรงไปทรุดตัวนั่งที่โซฟาเพื่อพักเหนื่อยจากการขับรถ ขณะที่กานต์นึกอยากจะเอาใจพ่อเลี้ยงขึ้นมา จึงเดินตามไปหยุดตรงหน้า พอออสตินเหลือบมอง อีกฝ่ายก็เปิดปาก
“เหนื่อยไหมครับ”
“เธอจะเอาอะไร”
“ครับ?”
“ฉันถามว่าอยากได้อะไรถึงได้ถาม”
หัวสมองของกานต์ประมวลผลทันที เข้าใจได้ว่าออสตินหมายความว่าอะไร
“ผมไม่ได้ถามแด๊ดดี้เพราะอยากได้อะไรนะครับ”
“ฉันก็คิดว่าประจบเพราะอยากได้อะไร” ออสตินหัวเราะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าง้ำ ก่อนจะเสริมขึ้นมา “ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้น บางทีฉันก็อยากจะหยอกเธอเล่น แต่มุกของฉันอาจจะไม่ตลกสำหรับเธอ”
ใช่...ไม่ตลกเลย ไม่ตลกสักนิด
กานต์ปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะว่าพึมพำ
“ผมแค่อยากจะดูแลแด๊ดดี้เป็นการตอบแทนที่ใจดีกับผมเฉยๆ ไม่ได้อยากจะประจบประแจงอะไรหรอกครับ”
คนฟังพยักหน้า เข้าใจที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ พลันยกขาขึ้นไขว่ห้าง แขนข้างหนึ่งวางราบไปกับพนักโซฟา ปรายตามองพลางถาม
“แล้วเธออยากจะดูแลฉันด้วยวิธีไหนดีล่ะ”
นั่นสิ ดูแลด้วยวิธีไหนดี จะบอกว่าทำงานบ้านก็ไม่ได้ เพราะบ้านนี้มีมาเรียมาดูแลทุกวัน
ถ้าอย่างนั้น...
“ให้ผมเอาเสื้อสูทไปเก็บให้ไหมครับ”
วิธีเดิมก็แล้วกัน ได้ดูแลนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังดี
“ก็เอาสิ” ออสตินไม่ปฏิเสธ ขยับตัวมาถอดเสื้อสูทออกแล้วส่งให้กับลูกเลี้ยง “แต่ครั้งนี้ไม่ต้องเอาไปแขวนในตู้นะ เอาไปใส่ตะกร้าที่ห้องน้ำไว้ ฉันจะให้มาเรียส่งไปร้านซักพรุ่งนี้”
กานต์พยักหน้า ถือเสื้อสูทเตรียมจะเอาไปพับใส่ไว้ในตะกร้าที่หน้าห้องน้ำข้างๆ ครัว แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ออสตินก็ร้องเรียกไว้ พอหันไปก็เห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นยืน
“อันนั้นไม่ต้องซักเอง จะส่งไปร้านซักสูทโดยเฉพาะ แต่อันนี้ต้องซัก เอาไปใส่เครื่องซักผ้า ปั่นแล้วอบให้แห้งด้วย”
ว่าพลางถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวออกจากตัวโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบรับ กานต์ถึงกับเบิกตาโตเมื่อเห็นแผ่นอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่าย เขารู้ว่าไม่สมควรจะมองจ้อง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไล่สำรวจอย่างลืมตัว
ผิวสีบ่มแดดจนออกสีน้ำตาลและไรขนอ่อนๆ ที่ขึ้นประปรายบริเวณหน้าอกทำให้กานต์ต้องลอบกลืนน้ำลาย จากนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อออสตินก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับส่งเสื้อเชิ้ตให้
“ไปจัดการซะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปอาบน้ำ ลงมาแล้วค่อยกินมื้อเย็นกัน”
จังหวะนี้เองที่กลิ่นหอมจากน้ำหอมซึ่งออสตินใช้ประจำลอยเข้ามาในผัสสะทางจมูก
มันยังคงหอม...เย้ายวนเสียจนปลุกความฟุ้งซ่านของเด็กหนุ่มวัยรุ่นให้เตลิดเปิดเปิง
“มัวยืนมองอะไรอยู่ ไปสิ”
ได้สติกลับคืนมาในคราวนี้ กานต์พยักหน้ารับเร็วๆ
“คะ...ครับ”
สองขารีบก้าวไปโดยไว ออสตินมองตามหลังเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ปลีกตัวขึ้นไปบนบ้านเพื่อทำธุระส่วนตัวของตัวเอง