5
ตอแยไม่เลิก
บรรยากาศภายในโต๊ะอาหารตอนเช้าช่างตึงเครียด นายชูนั่งอยู่ตรงกลางชันชัยขนาบด้านซ้ายส่วนเพียงจันทร์อยู่ด้านขวา หลานชายคนเล็กของบ้านที่เดินมาคนสุดท้ายแทนที่จะเลือกไปนั่งอยู่ด้านข้างกับภรรยา ชาลเลือกที่จะเดินไปหย่อนสะโพกลงด้านข้างกับพี่ชายตัวเอง
“นี่ก็สองเดือนแล้วนะชาล” นายชูเอ่ยขึ้นลอย ๆ จงใจให้ชาลได้รู้ถึงเจตนาของตัวเอง
“ครับปู่” ชาลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย หนวดเคราที่เริ่มจะขึ้นรำไรจากการที่เจ้าตัวไม่คิดจะจัดการกับมัน ส่งผลให้ใบหน้าอันหล่อเหลาแลดูคมเข้มขึ้นกว่าเดิม
“แกต้องไปช่วยงานเจ้าชันได้แล้ว”
“อ้าว สองเดือนแล้วเหรอครับเร็วจริง ๆ” น้ำเสียงของเขาแสร้งทำเหมือนไม่รู้ตัว ชาลรู้สึกเสียดายเวลาที่เที่ยวเตร็ดเตร่ไปในแต่ละวันของตัวเอง ทำงานหนักอยู่อเมริกามาตั้งหลายปี ใจหนึ่งก็อยากจะพักผ่อนให้จุใจเสียก่อน ในตอนแรกนั้นชาลตั้งใจไว้ว่าจะไปหาประสบการณ์แค่ปีสองปี แต่ด้วยบางเรื่องบางอย่างมันทำให้เขาต้องอยู่ต่อกลายเป็นห้าปีเต็มได้เสียอย่างนั้น
“ก็ได้ครับปู่ว่าแต่จะให้ผมไปทำงานในตำแหน่งอะไร” เขาหันมาถามคนเป็นปู่
“แกจะต้องเรียนรู้งานของฟาร์มตั้งแต่พื้นฐานใหม่ทั้งหมด ให้หนูนิ้งเป็นคนสอนก็ได้ เพราะว่าก่อนที่หนูนิ้งจะมาทำในตำแหน่งผู้ช่วยของตาชันก็ต้องฝึกพื้นฐานมาเหมือนกัน” คนเป็นปู่พยายามที่จะสานความสัมพันธ์อันห่างเหินของทั้งคู่ แต่ดูเหมือนจะเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาดไป
“ไม่ครับ” เพราะว่าคนเป็นหลานนั้นปฏิเสธเสียงแข็งกลับมา
“ทำไม” เสียงวางช้อนมาพร้อมกับคำถามที่ต้องการฟังคำตอบที่ถูกใจ ชายสูงวัยจ้องหน้าหลานชายคนเล็กด้วยสีหน้าขึ้งเครียด
“ผมไม่อยากฝึกงานกับใครบางคนครับ” คำตอบของชาล ทำให้ใครบางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับกลืนเข้าแทบไม่ลง เพียงจันทร์ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องจงเกลียดจงชังตัวเธอขนาดนี้ด้วย
“ผมสอนให้เองก็ได้ครับปู่” เมื่อเห็นท่าไม่ดีชันชัยจึงรีบอาสา
“งานของแกมีจะท่วมหัวอยู่แล้ว ให้หนูนิ้งนี่แหละเป็นคนสอน” เมื่อคนที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดในบ้านประกาศก้อง ปากที่กำลังจะอ้าคัดค้านของเพียงจันทร์เป็นอันต้องหุบฉับลง
“ไม่ครับ” ชาลก็ช่างไม่ยอมลงให้คนเป็นปู่เลยแม้แต่น้อย เขายังคงปฏิเสธเสียงแข็งเช่นเดิม จ้องดูอาหารบนโต๊ะที่เริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่ากินเสียแล้ว
“ยังไงก็ต้องฝึกงานกับหนูนิ้งฉันขอสั่ง !” แววตาของชายสูงวัยไม่ได้ล้อเล่น หลานคนเดียวจะเอาไม่อยู่ก็ให้มันรู้ไป
“ตามใจปู่สิครับ แต่ผมไม่ทำ” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารไป ท่ามกลางความอึดอัดใจของทุกคน ชาลแววตานิ่งจนน่ากลัว ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงที่ตะโกนตามหลังมา
“ไอ้ชาล !...” เขารีบสาวเท้าตรงไปยังรถของตัวเอง ไม่อยากจะฟังคำด่าทอต่อจากนั้นของคนเป็นปู่อีก กลายเป็นว่าคนที่ต้องฟังถ้อยคำเหล่านั้นกลายเป็นชันชัยกับเพียงจันทร์ ทั้งคู่หันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ขอตัวออกจากห้องกินข้าวไป ปล่อยให้นายชูนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตามลำพัง
ออฟโรดคันสีดำแล่นออกจากฟาร์มชาลีมาได้เพียงครึ่งทาง ชาลก็เลี้ยวพวงมาลัยกลับไปเส้นทางเดิม ผ่านฟาร์มมณีษรไปสักระยะก็ถึงเป้าหมายที่เขาต้องการ
ปริ๊น ๆ ๆ เสียงรถที่แล่นมาจอดสนิทอยู่ตรงรั้วหน้าบ้านพร้อมกับเสียงบีบแตรดังสามครั้งติด ทำให้เจ้าของบ้านสาวถึงกับหน้ามุ่ยด้วยความหงุดหงิดที่มีคนมารบกวนเวลานอนของเธอ
ปริ๊น ๆ ๆ เสียงบีบแตรย้ำขึ้นอีกครั้ง
“โอย รู้แล้ว” คนงัวเงียตื่นรีบสะบัดผ้าห่มออกจากร่างแล้วก้าวเท้าลงจากเตียงนอน อรุณนารีรีบวิ่งลงมาด้านล่างของตัวบ้าน เพราะกลัวว่าเสียงแตรจะบีบดังรบกวนอีก และทันทีที่เปิดประตูบ้านออกไปดวงตาคนยังง่วงก็เบิ่งกว้างขึ้นในทันที ร่างสูงของชาลกำลังยืนพิงบานประตูรถอยู่นอกรั้ว ทำให้เธอต้องยกหลังมือขึ้นขยี้ตาอีกครั้งหนึ่งเหมือนไม่แน่ใจ
“มาทำไม” เจ้าของบ้านสาวถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ เมื่อภาพตรงหน้ายังคงเป็นเขาอยู่ดี
“รุณมาเปิดประตูให้ฉันหน่อย” คนเพิ่งตื่นสะดุ้งตัวเล็กน้อยต่อเสียงของเขาที่ตะโกนผ่านเข้ามาภายให้ได้ยิน อรุณนารีลังเลใจเป็นอย่างมากในเรื่องนี้ สำหรับตัวเธอแล้วไม่มีความจำเป็นต้องเปิดประตูให้ชาลเลย
“ถ้าไม่เปิดฉันจะกระโดดข้ามรั้วเข้าไปนะ” เสียงของชาลขู่กรรโชกมาแต่ไกล คนที่อยู่ด้านในถึงกับตาโตในทันที รั้วไม้เก่าผุพังแบบนั้น หากเขาจะกระโดดข้ามมาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
“มีธุระอะไรกับรุณคะคุณชาล” เจ้าของบ้านสาวตัดสินใจตะโกนถามเขาออกไป
“จะมาเปิดดี ๆ ไหมรุณ” คำตอบของเขาช่างไม่ตรงประเด็นเอาเสียเลย อรุณนารีเลยต้องยืนหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงประตูบ้าน
“ก็เราไม่มีธุระอะไรจะต้องคุยกันนี่คุณชาล คุณกลับไปเถอะ” หญิงสาวตะโกนตอบเขาไป
“อรุณนารี !” คำพูดประโยคนั้นคงไม่ตรงใจเขา เสียงตะโกนกลับมาจึงฟังดูเหมือนสัตว์คำราม
โครม ! คนที่อยู่ในบ้านถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เมื่อเขายกเท้าถีบทีเดียวรั้วไม้อันเก่าแก่ก็พังราบไปทั้งแถบ ซ้ำเจ้าตัวยังก้าวเข้ามาภายในบ้านด้วยท่าทางไม่น่าไว้วางใจ
“คุณชาล” เมื่อรู้ตัวว่าท่าไม่ดีเสียแล้ว อรุณนารีรีบหันหลังกลับแล้วปิดประตูบ้านในทันที
ปัง ! ปัง ! ปัง !
“รุณเธออยากให้ประตูบ้านเป็นเหมือนรั้วใช่ไหม” อาการเหมือนผีเข้าของเขาทำให้หญิงสาวที่อยู่ในชุดนอนตัวสั่นเล็กน้อย
“รุณ !”
“เปิดแล้ว” หญิงสาวลนลานเปิดประตูให้เขาอย่างรวดเร็ว สีหน้าบึ้งตึงของชาลบ่งบอกว่าเรื่องเลวร้ายกำลังจะมาเยือนตัวเธออย่างแน่นอน
“ว่าแต่มีธุระอะไรกับรุณคะ” หญิงสาวพยายามข่มความกลัวเอาไว้สุดฤทธิ์
“ไม่มี” คำตอบของเขาทำเอาคนกลัวเปลี่ยนอารมณ์เป็นโกรธในทันที
“ไม่มีแต่มาพังรั้วบ้านของรุณนี่นะ คุณชาลคุณบ้าหรือเปล่านี่” หญิงสาวเผลอขึ้นเสียงกับเขาจนได้
"ไม่ได้เจอกันตั้งห้าปีฉันก็อยากแวะมาเยี่ยมเยียน"
"เยี่ยม เยียน" สองคำที่เว้นช่วงเอ่ยห่างกัน ทำเอาอรุณนารีแทบอยากจะปล่อยหมัดใส่เขาให้น่วมไปเลยในตอนนี้ หันไปมองรั้วไม้ที่พังราบ สลับกับจ้องหน้าของเขาด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง
"ใช่ ฉันอยากมาเยี่ยมพอดีเพิ่งได้ข่าวว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ฟาร์มมณีษรอีกแล้ว ไปไหนมาตั้งหลายปีทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย" เขาดันบานประตูให้เปิดออก แทรกตัวก้าวอาด ๆ เข้าไปนั่งบนเก้าอี้รับแขกอย่างถือวิสาสะ
"ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้เลยนี่ต่างคนต่างอยู่น่ะดีแล้ว"
"แต่ฉันอยากทำความรู้จักกับเธอนี่นา แม่เธอไปไหนแล้วล่ะ" เขาเปลี่ยนเรื่องชวนคุยเสียอย่างนั้น
"ตายแล้ว" อรุณนารีตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ชาลชะงักนิดหนึ่งหันไปมองหน้าของคนพูดก็รู้สึกว่ามันเศร้าลงทันตาเห็น
"เสียใจด้วยนะ"
"ค่ะ ว่าแต่คุณชาลเองก็อย่ามาหาเรื่องรุณอีกเลยนะคะ" อรุณนารีตัดสินใจเอ่ยคำนี้กับเขา ชาลถึงกับหน้าตึงในทันทีไม่เข้าใจว่าเขาไปหาเรื่องหญิงสาวตอนไหนกัน
"ฉันไม่ได้มาหาเรื่องเธอเลยนะรุณ"
"ไม่ได้มาหาเรื่องแต่พังรั้วบ้านรุณเข้ามานี่นะ ให้ตายเถอะคุณชาล ตั้งแต่เรารู้จักกันมาคุณเคยพูดดีหรือทำดีกับรุณบ้างไหม ไม่เข้าใจเลยว่าห้าปีที่ไม่ได้เจอกันนี่ มันไม่ได้เปลี่ยนนิสัยใจคอของคุณเลยหรือยังไง" คนพูดยกมือขึ้นเสยผมอย่างหมดความอดทน ห่างกันไปตั้งห้าปีทำไมผู้ชายคนนี้ถึงยังไม่เลิกตอแยกันอีก
"พูดพอหรือยัง" เห็นอีกคนโกรธแทนที่เขาจะเหวี่ยงกลับ แต่ชาลกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเหมือนเมื่อก่อน เวลาที่เขาหงุดหงิดอะไรมาพอได้แหย่อรุณนารีนิด ๆ หน่อย ๆ ความขุ่นเคืองใจทั้งหลายก็มลายหายไปในทันที
"ยังไม่พอ ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมาที่บ้านหลังนี้อีกนะคะรุณต้องการความสงบ แล้วอีกอย่างมันไม่เหมาะที่สามีของคุณนิ้งจะมาหารุณที่นี่"
"ห้ามพูดถึงยัยนั่นนะ" เหมือนโดนของร้อนสาดใส่ ชาลแทบจะหน้าบูดเบี้ยวไปด้วยความรู้สึกโกรธที่ได้ยิน
"แต่มันคือเรื่องจริงนะคะ"
"จริงบ้านเธอน่ะสิ ฉันจะทำอะไรใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์มาบงการ"
'บ้านขาดความอบอุ่นหรือไงนี่' เห็นอาการผีเข้าผีออกของเขาแล้ว อรุณนารีแทบอยากจะกรอกปากเขาด้วยลูกกระสุนสักนัด เผื่อจะหายขาดจากโรคนี้ได้อย่างฉับพลัน
"ไปหากาแฟให้ฉันกินหน่อยสิ เช้า ๆ แบบนี้สมองไม่แล่น" ชาลพูดจบ เจ้าของบ้านสาวก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ ด้วยความทึ่งในสิ่งที่ได้ยิน
"นี่บ้านของรุณนะคะคุณชาล" อรุณนารีเอ่ยปากย้ำเตือนเขาอีกรอบ
"เออ ฉันไม่ได้ตาบอด" อีกคนก็ตอบกลับอย่างนึกรำคาญ
"งั้น ถ้าอยากกินก็ชงเอาเอง" เจ้าของบ้านกระแทกกระทั้นน้ำเสียงใส่ ก่อนจะหันหลังเดินลงส้นเท้าตึงตึง ขึ้นบันไดบ้านไปอย่างเหลืออดเต็มที มุมปากของชาลยกขึ้นทั้งสองข้างนานมากแล้วสินะที่เขาไม่ได้เห็นอรุณนารีบึ้งตึงใส่แบบนี้ ยัยเด็กมัดผมหางม้าปากเก่งอวดดีคนนั้นก็ยังเหมือนเดิม ต่างก็แค่...สัดส่วนที่เปลี่ยนไป
อรุณนารีเดินตรงเข้าห้องน้ำไป ต้องทำใจยืนสงบนิ่งอยู่เงียบ ๆ หน้าบานกระจกสักพักหนึ่ง ความโกรธหรือเจ้าอารมณ์ทั้งหลายไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้ แต่ว่านี่มันเรื่องบ้าบอคอแตกอะไรกัน ทำไมเขาต้องมาที่บ้านหลังนี้ด้วย แล้วทำไมต้องมาพูดคุยเหมือนสนิทสนมชิดเชื้อขนาดนั้น
"กลุ้มโว้ย !" ระบายเสร็จก็หยิบหลอดยาสีฟันขึ้นมาบีบใส่แปรง แล้วนำมากระแทกถูใส่ฟันตัวเองอย่างหงุดหงิด ในความรู้สึกที่ไม่อาจสงบลงได้อย่างตั้งใจ