เปมิศาลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันหยุดอย่างเคยชิน ความสามารถในการตื่นเช้าของเขาไม่ใช่สิ่งที่น่าพอใจสำหรับเขาสักเท่าไหร่
เขาลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ ยืนส่องตัวเองในกระจกเพียงครู่ก่อนจะหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาทำความสะอาดซอกฟัน เมื่อคิดว่ามันสะอาดพอแล้วก็จัดการบ้วนปากและเช็ดหน้าเช็ดตาด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก
เขาเดินออกมาจากห้องน้ำ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าและจัดการเปลี่ยนจากชุดนอนของตัวเองเป็นชุดออกกำลังกายแทน กิจวัตรประจำวันของเขาคือการออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้ ๆ กับของโดของเขา ในทุก ๆ เช้าเขาจะตื่นไปวิ่งออกกำลังกายประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนจะกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงาน
แต่วันนี้เปลี่ยนไปนิดหน่อยเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเขา เขาจึงใช้เวลาที่เหลือเลือกที่จะมาหัวหมุนอยู่กับตู้เสื้อผ้าของตัวเองแทน
“ใส่ชุดอะไรมันถึงจะดูดี” เขายกมือจับปลายคางอย่างที่ตัวเองชอบทำเมื่อกำลังนึกตัดสินใจบางอย่าง “ถ้าเกิดคุณเขาไม่มาล่ะ” แต่พอคิดไปถึงว่าเจ้านายคนสวยอาจจะไม่มาตามนัดเขาจึงเลิกคิดและจัดการหยิบเสื้อสายเดี่ยวสีดำกับกางเกงยีนส์ขาขาดออกมา ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกายหลังจากที่ง่วนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้านานกว่า 1 ชั่วโมง
“จะไปร้านเหรอ?” เสียงของชยานันต์ดึงความสนใจให้กับคนที่กำลังเดินลงมาจากตัวบ้านให้ต้องเงยหน้าขึ้นสบมองพี่ชายที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะอาหารกับบิดาของเธอ
“ใช่ ไม่ให้ไปร้านแล้วจะให้ไปไหน?” เธอตอบอย่างไม่คิดอะไร
ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเธอเอาแต่คิดไม่ตกกับคำเชิญชวนทีเล่นจริงของคนกวนประสาทที่ไม่รู้ว่าตั้งใจจะมากวนประสาทเธอเล่นหรือชวนจริง ๆ กันแน่
“เอ้า ก็ถามเหมือนเดิมทุกวัน ทำไมวันนี้ต้องหงุดหงิด” เขาส่ายหัวเอือมระอาน้องสาวที่มีนิสัยขี้เหวี่ยง ขี้วีน “ขี้วีนเก่งแบบนี้ ระวังขึ้นคานไม่รู้ตัว” เขาว่าจบก็ลุกออกจากเก้าอี้ทันที
ทำให้คนที่หย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้เมื่อครู่ต้องเงยหน้ามองตาขวาง ปากยังไม่ทันได้ต่อว่าพี่ชายตัวดี เขาก็วิ่งหนีไปไกลเสียแล้ว
“คุณหนูรับข้าวต้มไหมคะ?”
“ขอเป็นกาแฟแล้วกันค่ะ” เธอตอบอย่างนอบน้อมกับป้านวล แม่บ้านคนเก่าคนแก่ของบ้าน
“ได้ค่ะ”
“ไม่ทานข้าวเช้า ระวังจะปวดท้องล่ะ” บิดาของเธอเอ่ยบอกแต่ตาก็ยังไม่ละออกจากหนังสือพิมพ์
ถ้าถามว่าเธอมีนิสัยเย็นชา แข็งกร้าวมาจากใคร เธอก็ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอได้รับมาจากบิดาของเธอ คุณพ่อของเธอเป็นคนพูดน้อยแต่ต่อยหนัก ผู้คนมักจะเกรงกลัวคุณพ่อของเธอ และท่านก็ปลูกฝังให้เธอเข้มแข็งมาเสมอตั้งแต่เธอเริ่มจำความได้...
ส่วนพี่ชายตัวดีของเธอ เขามีนิสัย ง่าย ๆ สบาย ๆ มองโลกในแง่ดีเหมือนคุณแม่ของเธอที่เสียไป แต่ถ้าถามถึงเรื่องงาน เขาก็ยังได้เชื้อคุณพ่อมาอยู่บ้าง ทำให้เขาเป็นคนค่อนข้างเด็ดขาดและไม่โลเล ผู้ใหญ่บางท่านยังให้การนับถือพี่ชายของเธอ คุณพ่อจึงยกบริษัทออกแบบให้พี่ชายของเธอดูแลต่อ ส่วนเธอก็แยกออกมาทำร้านอาหารเล็ก ๆ ในแบบที่เธอชอบ
“ไว้ไปทานที่ร้านค่ะ”
“อ้อ...ลืมไป ลูกเปิดร้านอาหาร” สิ้นสุดประโยคจากประมุขของบ้าน ก็ไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ ที่ออกมาจากปากของเธอและบิดาของเธออีกเลย
“คุณเขาจะมาไหมนะ?”
“แต่ว่าก็ไม่น่ามา...”
“หรือจะไม่รอแล้วดี?”
“แต่นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ...”
ประโยคที่เปล่งออกมาจากร่างสูงหลาย ๆ ประโยคไม่ใช่ว่าเขายืนคุยกับใคร แต่เขากำลังถกเถียงกับตัวเองว่าควรจะรอเธอต่อไปดีไหม...
เวลาก็ล่วงเลยมาจวบจนจะเที่ยงวันแล้วแต่ก็ยังคงไร้วี่แววของคนที่เขานั้นเฝ้ารอ แดดตอนเที่ยงนี่ก็ร้อนจนแขนเขาจะกลายเป็นเนื้อย่างแล้ว และท้องเองก็เริ่มประท้วงเพราะเขาไม่ได้ทานข้าวเช้ามาเสียด้วย
“เห้อ ตัดใจนะเปมิศา” เขาถอนหายใจก่อนจะหันหลังเตรียมเดินกลับไปที่รถ “แต่ไหน ๆ ก็มาแล้วขอแวะทานข้าวก่อนละกัน” เขาดีดนิ้วให้กับความคิดที่ชาญชลาดของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้างที่มีแอร์เย็นฉ่ำ
“เปมิศา” เสียงเย็นชาไร้อารมณ์ดังมาจากทางด้านหลังทันทีที่เขากำลังจะก้าวขาเดินเข้ามาภายในห้าง
“มาจริง ๆ ด้วย” เปมิศาเอ่ยออกมาอย่างดีใจก่อนจะหันกลับไปหาคนที่เขาเฝ้ารอมาเกือบชั่วโมง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยคมอย่างเคยชินแต่ญาณินกลับไม่เคยชินกับรอยยิ้มนี้เอาเสียเลย...
ตึกตัก ตึกตัก
“อะ...อืม พาฉันไปสิ เธอจะพาฉันไปไหน” เธอหลีกหนีอาการใจเต้นแรงด้วยการเดินนำหน้าใครอีกคนไป ทำให้เปมิศาได้แต่มองตามคนที่เดินนำหน้าเขาไปด้วยรอยยิ้ม
“ทานข้าวก่อนไหมคะ? จะเที่ยงแล้ว” เขารีบวิ่งมาตีคู่กับเจ้านายคนสวย และก็ได้รับการพยักหน้าของใครอีกคนเป็นคำตอบ
“ทานอะไรดีคะ?” เขาเอ่ยถามคนข้างตัวที่เดินด้วยมาดนางพญาอย่างสง่างาม เราเดินเคียงคู่กันจนมาถึงชั้นอาหาร แต่กลับไม่มีเสียงปริปากออกมาจากปากคนข้างตัวเขาเลยแม้แต่คำเดียว
“เธอชวนฉันมานะ เธอก็เลือกสิ” ญาณินหันมามองคนตรงหน้าเพื่อจะโวยวาย แต่พอเห็นสีหน้าหมาหงอยของคนข้างตัวแล้วเธอก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างใจอ่อน
ให้ตายสิ! ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย!
“อาหารยุโรปไหมคะ?”
“ฉันคือเจ้าของร้านอาหารยุโรป”
“อืม...งั้นอาหารไทย?”
“ฉันไม่ชอบทานเผ็ด”
“อาหารเกาหลีไหมคะ?”
“พึ่งทานมาเมื่อวันก่อน”
“อาหารญี่ปุ่นล่ะ?”
“พี่นันพึ่งซื้อซูชิมาฝากเมื่อคืน”
“งั้นทานอะไรดีคะ?”
“อะไรก็ได้ไง” สิ้นสุดประโยค เปมิศาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย อะไรก็ได้ของคนด้านข้างเขา คือเมนูที่เขาคิดว่ายากที่สุดที่เขาจะรังสรรค์มันออกมาได้
ญาณินมองหน้าคนด้านข้างที่ทำหน้าหมาหงอยออกมาอีกครั้งอย่างนึกขบขัน จนเธอเผลอยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว
“โอเค งั้นทานราเมงกัน” เธอว่าอย่างอารมณ์ดีและออกเดินนำอีกคนไปด้วยมาดนางพญาให้เปมิศาที่ก้มหน้าหงอย ต้องผงกหัวขึ้นมามองและออกเดินตามท่าทางที่สง่างามของคนตรงหน้าเขาไป
“คุณชอบทานเกี๊ยวซ่าไหมคะ?” เปมิศาเอ่ยถามอีกคนที่นั่งตรงข้ามเขาเพราะเขารู้สึกอึกอัดอย่างน่าประหลาดที่อีกคนไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย
“อืม...ก็ทานได้นะ แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบเป็นพิเศษอะไร” เธอตอบตามความจริงซึ่งมันก็ทำให้คนตรงข้ามของเธอยกยิ้มขึ้นมา
“ฉันทำเกี๊ยวซ่าอร่อยมากเลยนะคะ ไว้จะทำไปให้คุณทาน” เขายกยิ้มอย่างดีใจก่อนจะมองเห็นอีกคนนั้นเบือนหน้าหนี ซึ่งทำให้เขารู้สึกใจคอไม่ดีสักเท่าไหร่หรือว่าเขาจะพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “คุณไม่ชอบฉันหรือคะ?” คำถามของคนตรงข้ามทำให้เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างว่องไว
“อะไรของเธอน่ะ?” ญาณินย่นคิ้วใส่จนเปมิศาต้องรีบยกมือขึ้นมาส่ายไปมาเพราะคิดว่าอีกคนต้องเข้าใจความหมายของเขาผิดเป็นแน่
“คือ...ฉันไม่ได้หมายถึงชอบแบบนั้นค่ะ ฉันหมายถึง...คุณดูเหมือนไม่ค่อยพอใจฉัน” คำอธิบายของเปมิศาทำให้เธอคลายคิ้วที่ขมวดออกจากกัน
‘ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่แค่รู้สึกแปลก ๆ เวลาอยู่กับเธอ...แบบใจมันชอบเต้นแรง’
ถ้าเธอจะตอบออกไปแบบนี้มันก็ดูจะเสียฟอร์มมากเกินไปหน่อย แต่พอญาณินเห็นใบหน้าหงอย ๆ ของเขาแล้วก็พาลให้เธออยากแกล้งคนตรงหน้าขึ้นมา
“ใช่ ฉันไม่ชอบ ฉันไม่พอใจเธอ” เสียงดังฟังชัดจากริมฝีปากสวยของเธอทำให้เขาต้องก้มหน้างุด “คือ...”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงดังจากพนักงานที่มาเสิร์ฟอาหารก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน เธอจึงได้แต่ปิดปากเงียบและมองใบหน้าหงอย ๆ ของอีกคนอย่างนึกขบขัน
เผลอยิ้มออกมากี่รอบแล้วนะญาณิน...
บรรยากาศที่น่าอึดอัดเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากที่ร้านอาหาร คนด้านข้างของเธอดูซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด จากคนไม่เคยแคร์ใครอย่างเธอกลับต้องมารู้สึกกระวนกระวายเพราะคนด้านข้างเอาแต่เหม่อลอยไม่ยอมพูดอะไรกับเธอเลยสักคำ ให้ตายสิ!
“นี่...” ญาณินสกิดให้คนด้านข้างหันมาสนใจแต่ก็ไร้วี่แววอีกคนจะหันมาแต่อย่างใด “นี่เธอ!” ญาณินดึงเสื้อตัวเล็กตัวน้อยของอีกคนอย่างแรง จนเปมิศาเซเข้ามาชนไหล่ของเธอ
“ไม่ชอบก็ไม่ต้องยุ่งสิ มาเรียกทำไม...”
“อะไรนะ!”
เธอย่นคิ้วใส่คนที่ออกเดินนำไปอีกครั้งอย่างหงุดหงิดใจ อาการแบบนี้คืออะไร? แล้วไอที่พูดออกมาเมื่อกี้นี่มันยังไง กวนประสาทเธอหรือ?
“นี่! หยุดนะ! อย่ามาเดินหนีกันอย่างนี้” ญาณินยังไม่ยอมแพ้ วิ่งไปจับข้อมือของอีกคนไว้จนเขาหันหน้ามามองด้วยแววตาที่วูบไหว
อาการแบบนี้เหมือนที่พี่ชายเธอเคยบอกว่างอนหรือเปล่า?
“อะไรคะ? คุณจะมาคุยกับคนที่คุณไม่พอใจด้วยทำไม” น้ำเสียงแง่งอนเอ่ยออกมาจากปากเชฟร่างสูงที่ก้มหน้าแบะปากออกมาเหมือนเด็กน้อยสามขวบ ส่วนเธอที่เริ่มจะเข้าใจอาการเขานิดหนึ่งก็เผยรอยยิ้มเอ็นดูออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแกล้งเธอเล่น” เธอพูดออกมาทั้งรอยยิ้ม ทำให้คนที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาเพื่อจะมองเธอต้องหยุดมองใบหน้าสวยนั้นเหมือนต้องมนต์สะกด
“มีใครเคยบอกไหมคะว่าเวลาคุณยิ้มแล้วคุณสวยมาก” น้ำเสียงเหม่อลอยเปล่งออกมาจากปากคนตรงหน้าเธอเหมือนคนเพ้อฝัน ทำให้เธอได้สติและรีบหุบยิ้มลงในทันที
ตึกตัก ตึกตัก
ญาณินเบือนหน้าหนีคนตรงหน้าทันทีก่อนจะปล่อยมือที่เคยกอบกุมข้อมือของอีกคนไว้อย่างรวดเร็ว ใจเจ้ากรรมของเธอมันกำลังส่งเสียงคำรามให้เธอนึกคิดว่ามันเป็นเพราะสิ่งใดกันแน่...
“ฉันต้องไปแล้ว” เธอเอ่ยออกมาก่อนจะก้าวขายาว ๆ เพื่อหนีออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด
“ดะ เดี๋ยวสิคะคุณญาณิน” เปมิศาได้แต่นึกว่าตัวเองนั้นทำอะไรผิดและเร่งฝีเท้าออกตามอีกคนไป
“ไม่ต้องตามมา เธอกลับไปเตรียมตัวเถอะ พรุ่งนี้เราต้องไปทำงาน” เธอหันกลับมาบอกเขาอีกหนและเร่งฝีเท้าเดินจากไป
เปมิศาได้แต่มองตามร่างระหงส์ที่สง่างามของใครอีกคนเดินห่างออกไปอย่างนึกหวาดกลัวและสับสน เขาไม่เคยปฏิเสธตัวเองเลยว่าเขาชอบเธอ แต่ใจหนึ่งเขาก็กำลังสับสนกับท่าทีของอีกคนที่เหมือนจะแคร์และก็เหมือนจะไม่แคร์ เขากำลังกลัวว่าเธอจะเดินหนีจากชีวิตเขาไป ซึ่งเขาไม่ได้ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น
ญาณินทิ้งร่างของตัวเองลงที่เบาะด้านคนขับอย่างสับสนในตัวเอง เธอขับรถมาที่นี่ได้ยังไงเธอก็ไม่รู้ เปมิศาคือข้อยกเว้นของทุกอย่างที่เธอนั้นสัมผัสได้ เธอรับรู้ได้ว่าเธอแคร์ เธอสนใจ เธอห่วงความรู้สึกของเขา หรือสิ่งที่เธอเป็นคือเธอกำลังชอบเขาอยู่กันแน่...
ความรู้สึกที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงมันมาตลอดไม่ว่าจะเป็นกับใคร และเธอก็จะหลีกเลี่ยงมันกับเขาด้วย ความรู้สึกนี้ต้องถูกฝังลึกลงไปในหัวใจของเธอ มันจะไม่มีวันเผยออกมาให้อีกคนนั้นสัมผัสได้ และเธอก็จะเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับเธอคนเดียวตลอดไป...