ปัญหาใหญ่คือตัวฉันเอง

1784 คำ
บ่ายคล้อยแขกทยอยกลับกันไปเกือบหมด แคลร์เพิ่งจะมีจังหวะพูดคุยกับฉัน “อารยา เล่าเรื่องที่ฝึกงานให้ฉันฟังบ้างสิ” “ฝึกงานรอบนี้ ฉันได้เปิดหูเปิดตามากค่ะ ทุกคนตั้งใจทำงานเหมือนกับแข็งขันกีฬาโอลิมปิก หลังเลิกงานฉันแทบจะคลานกลับบ้าน” ฉันตอบไปตามความรู้สึก “หัวหน้าของเธอเป็นพวกบ้าอำนาจหรือเปล่า” แคลร์เหลือบมองอลิเซียด้วยสายตาล้อเล่น “เธอเอาคืนฉันได้เต็มที่เลย อารยา ไม่ต้องเกรงใจ” อลิเซียหัวเราะอย่างอารมณ์ดี โหนกแก้มของเธอเป็นสีแดงระเรื่อด้วยฤทธิเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ “อลิเซียเก่งมากค่ะ เธอหูตาไวเหมือนเหยี่ยว คุมลูกน้องทุกคนได้อยู่หมัด” “เธอไปนั่งจับผิดคนอื่นอย่างเดียวหรือเปล่า” แคลร์พูดติดตลก “อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้พิสูจน์ความสามารถ เพราะอลิเซียเลือกงานที่ฉันออกแบบไปเสนอให้ลูกค้าค่ะ” ฉันยิ้มให้อลิเซียอย่างรู้สึกขอบคุณ “คนที่เสนองานให้ลูกค้าต้องเป็นผู้จัดการฝ่ายดีไซเนอร์ไม่ใช่หรือ” แคลร์หันไปถามเพื่อนรัก ท่าทีเธอดูสนอกสนใจ “ใช่ แผนงานของฝ่ายดีไซเนอร์ถือเป็นความลับ ทางบริษัทฯ เลยมอบหมายให้ฝ่ายแพทเทิร์นดูแลนักศึกษาฝึกงาน ฉันเห็นว่ามีงานออกแบบน่าสนใจเลยเลือกหยิบไปให้มาร์คดูเท่านั้นเอง ลูกชายเธอนี่ร้ายกาจไม่ใช่เล่นเลยนะ เขารู้ว่าลูกค้ารายไหนชอบอะไร พอมีโอกาสก็รีบดันแฟนตัวเองให้ได้โชว์ฝีมือ” เมื่อสิ้นเสียงของอลิเซีย ใบหน้ายิ้มแย้มของแคลร์ก็เปลี่ยนไปจากเดิม “ลูกชายฉันมันร้ายจริงๆ นั่นแหละ” แคลร์กระตุกมุมปาก คำพูดไร้อารมณ์ขันของเธอทำให้สายตาหลายคู่พุ่งไปทางมาร์คซึ่งนั่งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ชาย หลังจากนั้นบรรยากาศก็เงียบลงอย่างเห็นได้ชัด เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการช่วยกันเก็บกวาดข้าวของ นีน่าอาศัยจังหวะปลอดคนพาฉันขึ้นไปดูห้องนอนมาร์ค เธออยากให้ฉันเห็นรูปถ่ายสมัยเด็กของเขา ฉันมองสำรวจไปรอบๆ ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์แค่สองสามชิ้น คือเตียงกับโต๊ะวางโคมไฟ และตู้เสื้อผ้าแบบบิลท์อิน สายตาของฉันหยุดลงที่กรอบรูปบนผนัง ฉันยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ขณะที่ตั้งใจฟังเสียงกระซิบกระซาบของนีน่าที่เล่าถึงวีระกรรมในอดีตของพี่ชาย ตอนอายุสามสี่ขวบมาร์คมีผมสีบลอนด์ผิวขาวจัดและริมฝีปากสีชมพูราวกับเด็กผู้หญิง พอถึงช่วงวัยรุ่นเขามีรูปร่างผอมสูงเหมือนคนไม่มีไส้ สมัยมัธยมเขาปลายเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียนแต่ถูกตัดออกจากโควตาเพราะแอบหนีเที่ยวตอนกลางคืนระหว่างการเข้าค่ายเก็บตัวฝึกซ้อม ระหว่างที่ฉันกับนีน่ากำลังแอบหัวเราะคิกคัก พลันมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นีน่ารีบดึงฉันเข้าไปหลบในห้องน้ำ พวกเราคิดว่าจะต้องเป็นมาร์คแน่นอน แล้วก็ใช่จริงๆ เพียงแต่มีแคลร์ตามมาด้วย “แม่ข้องใจ เรื่องที่อลิเซียพูดก่อนหน้านี้” “ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายดีไซเนอร์ที่บริษัทอิรอนเดลจริงๆ ครับ” “ลูกไม่เคยบอกอะไรแม่เลย รวมถึงเรื่องที่คบกับอารยาด้วย” เสียงแคลร์เน้นหนักประโยคหลัง “วันนี้ผมตั้งใจจะมาบอกแม่ ทั้งเรื่องงานและเรื่องแฟน แต่เราไม่มีโอกาสคุยกันตามลำพัง ผมยอมรับว่าต้องการปิดไม่ให้แม่รู้เรื่องเปลี่ยนงาน ส่วนเรื่องอารยา เราเพิ่งจะตกลงกันได้เมื่อวาน” “มาร์ค บนหน้าผากของแม่ไม่มีคำว่าโง่เขียนเอาไว้นะ แม่จำได้ว่าเควินเคยชวนลูกไปทำงานก่อนที่บริษัทแอร์เมสจะตอบรับลูกเข้าทำงานด้วยซ้ำ ความจริงลูกตั้งใจเปลี่ยนงานเพราะผู้หญิงคนนี้ ลูกรู้หรือเปล่าว่าเธอเป็นออทิสติกแฝงเหมือนกับนีน่า อารยาไม่เหมาะสมกับลูกเลย” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ขณะที่ฉันได้ยินแค่คำว่า ‘อารยาไม่เหมาะสมกับลูกเลย’ ถ้าคนอื่นพูดแบบนี้ ฉันคงไม่รู้สึกอะไรมากนัก แต่นี่เป็นแม่ของมาร์ค แคลร์ทำดีกับฉันมาตลอดและเป็นคนที่ช่วยเหลือฉันในหลายๆ เรื่อง “ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองโง่น้อยกว่าแม่นะครับ แต่คิดว่าผมเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ผมมีสิทธิ์เลือกมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตยังไง ผมรู้ตัวว่าต้องการอะไร และผมมีความสุขที่ได้อยู่กับอารยา” “ความสุขมันไม่คงที่เสมอไปหรอกนะ สักวันหนึ่งถ้าลูกพลั้งมือทำร้ายอารยา เธออาจจะมีสภาพหวาดกลัวการเข้าสังคมแบบนีน่าก็ได้ รู้ไหมว่าแม่เป็นทุกข์แค่ไหนที่เห็นนีน่าติดแหง็กอยู่กับแม่ทุกวัน มันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกนะ เชื่อแม่เถอะ... ลูกต้องเลิกกับเธอ ก่อนที่จะสายไปกว่านี้” คำพิพากษาของแคลร์โหดร้ายเหลือเกิน ฉันกับนีน่ามองสบตากัน และเห็นความเจ็บปวดในแววตาของกันและกันได้อย่างชัดเจน เราจับมือกันแน่น ต่างก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย เข้าใจในความลำบากที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดันซึ่งไม่สามารถจะหลีกเลี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น เราเข้าใจความหมายของแคลร์ เธอเป็นห่วงพวกเราทุกคนเหมือนดังเช่นที่ผ่านมา และตอนนี้เธอแค่พยายามจะกำจัดปัญหา ซึ่งปัญหาใหญ่ก็คือ... ตัวฉันเอง ภายในห้องขนาดเล็ก ความรู้สึกต่างๆ ถูกขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม เสี้ยววินาทีแห่งความอึดอัดทรมานเนิ่นนานจนน่ากลัว ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกและเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง พยายามประคับประคองจิตใจที่เริ่มจะอ่อนแอลงทุกที “ถ้าผมบอกให้แม่เลิกกับบาสเตียน แม่ยินดีทำตามหรือเปล่าครับ” “แม่เตือนด้วยความหวังดีนะ ไม่ใช่ว่าแม่เห็นแก่ตัว” “ไม่ค่ะ ! แม่เห็นแก่ตัว” เสียงคัดค้านของนีน่าดังแทรกขึ้น ทำให้สองคนนั้นเงียบลงทันที ฉันตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าสาวน้อยผู้แสนอ่อนโยนและเปราะบางอย่างนีน่าจะกล้าเข้าไปขัดจังหวะการสนทนาอันเคร่งเครียดระหว่างแม่กับพี่ชายของเธอ ฉันคิดจะเอาตัวรอดด้วยการไปหลบอยู่ด้านหลังประตู แต่นีน่ากุมมือฉันไว้ไม่ยอมปล่อย นีน่าใช้มือข้างหนึ่งหมุนลูกบิดและออกแรงบังคับให้ฉันเดินตามออกไปข้างนอก มาร์คมองเราทั้งคู่ด้วยท่าทีเคร่งขรึม ขณะที่แคลร์มีสีหน้าซีดเผือด เธอก้าวถอยไปชนขอบเตียงและเสียหลักทรุดนั่งอย่างรู้สึกช็อก “ที่ผ่านมา แม่พูดกับหนูเสมอว่า คนเป็นออทิสติกแฝงไม่ใช่คนป่วย เราแค่มีวิธีคิดที่แตกต่างและซับซ้อนกว่าคนทั่วไป แต่ความจริง แม่ไม่เคยมองเห็นเราเป็นคนปกติเลย แล้วที่แม่บอกว่าดีใจที่หนูหันมาเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าและแม่ก็อยากจะให้หนูเป็นคนรับช่วงดูแลร้านฯ ต่อจากแม่ ทั้งหมดคือเรื่องโกหกหรือเปล่าคะ ?” นีน่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น เย็นชา “ทั้งหมดคือเรื่องจริง แม่ไม่ได้โกหก” แคลร์ระล่ำระลักแก้ตัว “ถ้าอย่างนั้น ทำไมแม่ขัดขวางไม่ให้พี่มาร์คกับพี่อารยาคบกันล่ะคะ” “พอเถอะ ฉันทนฟังไม่ไหวแล้ว” ฉันกระตุกข้อมือจนหลุดจากการเหนี่ยวรั้งของนีน่า เพื่อจะพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ชวนอึดอัด ความไม่ยุติธรรมกับการไม่เป็นที่ยอมรับ ทำให้ฉันรู้สึกแย่และอับอายอย่างบอกไม่ถูก ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวขา มาร์คก็ดึงตัวฉันเข้าไปกอด “อย่าทิ้งผมไปเหมือนอย่างวันนั้นเลยนะ ผมขอร้อง” มาร์คก้มลงจูบหน้าผากฉันต่อหน้าแม่และน้องสาว “คนอื่นจะคิดกับเรายังไงผมไม่สนใจ ขอแค่เรารักกันก็พอแล้ว” น้ำเสียงเขาแหบแห้ง ความรู้สึกห่วงหวงที่ส่งผ่านมาทางไออุ่นทำให้หัวใจที่หดเกร็งด้วยความปวดร้าวของฉันอ่อนยวบลง น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตั้งนานไหลทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก “ค่ะ แค่เรารักกันก็พอ” ฉันตอบรับทั้งที่ยังร้องไห้ ชั่ววินาทีนี้ ฉันตระหนักได้ว่าเราสองคนผูกพันกันลึกซึ้งเกินกว่าจะยอมแพ้ให้กับความหวาดกังวลของบุคคลที่สาม ฉันอาจจะเหนื่อยล้าที่ต้องพบเจอกับความผิดหวังและถ้อยคำรุนแรง แต่ฉันจะไม่ปล่อยมือจากเขาเด็ดขาด บรรยากาศตกอยู่ในความอึมครึม นานครู่ใหญ่ แคลร์เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “อารยา... ฉันขอโทษที่เผลอทำตัวน่ารังเกียจ แล้วก็ ฉันไม่มีสิทธิก้าวก่ายเรื่องของเธอกับมาร์ค เอาจริง ๆ ฉันต่างหากที่ทำร้ายทุกคน” เธอสูดจมูก ก่อนจะพูดต่อ “มาร์ค แม่ฝากปลอบขวัญแฟนลูกด้วยนะ” เสียงเปิดปิดประตูและเสียงฝีเท้าสองคู่ค่อย ๆ ห่างหาย มาร์คพาฉันไปนั่งที่เตียง “คุณจะเสียใจทีหลังหรือเปล่าที่มีแฟนเป็นออทิสติกแฝง” ฉันเอ่ยถาม ลึก ๆ ในใจก็กลัวคำตอบ... ฉันต้องการเป็นที่ยอมรับ แต่กลับปิดบังมาร์คในความแตกต่างที่มองไม่เห็นของเรา และเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับสำหรับแคลร์ เพราะฉันยื่นเอกสารเกี่ยวกับสุขภาพและประวัติการรักษาให้เธอดูตั้งแต่วันแรกที่ติดต่อขอฝึกงาน ซึ่งฉันมีสิทธิที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลนี้ และไม่ได้แจ้งกับบริษัทอิรอนเดล เพราะกลัวการเลือกปฏิบัติ “อาย เมื่อวันก่อนแม่กับปะป๊าของคุณ คุยกับผมเรื่องนี้แล้ว บนโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอกนะครับ ขนาดไอน์สไตน์กับนิวตันก็ยังมีอาการออทิสติกแฝง และตัวผมเองก็ไม่ได้มีอะไรที่วิเศษไปกว่าคุณเลย ผมทำงานผิดพลาดอยู่เสมอแต่ผมบอกใครไม่ได้ เพราะผมเป็นหัวหน้าคน และผมจะล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด บางครั้งผมเหนื่อยแทบตายแต่ต้องวางท่าอวดดีต่อหน้าคนอื่น เพราะอีโก้มันค้ำคอผมเอาไว้” “คุณทำงานผิดพลาดบ่อยด้วยหรือคะ” ฉันรู้สึกทึ่งในตัวเขา “ใช่ครับ นี่เป็นความลับ คุณอย่าเผลอไปบอกใครนะ” เขามองฉัน แววตาไว้เนื้อเชื่อใจ ทุกคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของมาร์คในวันนี้ ทำให้ฉันรู้สึกรักเขามากขึ้น ฉันรวบรวมมันใส่กล่องความทรงจำอย่างกระตือรือร้น เพื่อปกป้องเอาไว้ให้เป็นความลับที่เรารู้กันแค่สองคน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม