หนึ่งวันพันเรื่องราว

1203 คำ
ภาพแรกที่เห็น...ทำให้ขอบตาของฉันร้อนผ่าว เสียงฝีเท้าผู้บุกรุก รบกวนความสำราญของชายหญิง ที่กำลังประกบริมฝีปากแลกจุมพิตอย่างดูดดื่ม ทั้งคู่ผละออกจากกันแทบทันที “อารยา!” มาร์คอุทานอย่างคาดไม่ถึง ฉันเหมือนคนเขลาที่ถูกเชือดคอด้วยมีดแห่งความจริงอันน่าหวาดกลัว รู้สึกอ่อนแอและขี้ขลาดจนไม่กล้ามองสบตากับเขา รวมถึงสาวสวยรูปร่างสูงโปร่งเหมือนนางแบบคนนั้น เท้าทั้งสองข้างก้าวไปทางโซนรับรองแขก ตรงไปหยิบโทรศัพท์มือถือในเคสสีชมพูที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าโซฟา ก่อนจะอ้อมกลับมาบริเวณโถงทางเดิน โดยมีคนสองคนมองตามแบบไม่คลาดสายตา “อย่าเพิ่งไป...ฟังผมอธิบายก่อน” มาร์คมีอาการร้อนรนและพยายามจะเข้าหา ขณะที่ผู้หญิงคนนั้นยืนกอดอกทำปากคว่ำใส่ฉันอย่างหมิ่นแคลน มันทำให้บุคคลที่สามซึ่งโผล่เข้ามาเป็นส่วนเกินไม่มีทางเลือก ฉันคว้าแก้วน้ำส้มขนาดครึ่งลิตรที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์สาดใส่หน้ามาร์คแบบเต็มๆ “ผมกับโซฟีแค่--” เขาก้มศีรษะลงและดึงชายเสื้อขึ้นมาซับดวงตาที่มีอาการปวดแสบอย่างฉับพลันเพราะฤทธิ์เครื่องดื่มอุดมวิตามินซี บรรยากาศภายในห้องตึงเครียดมากกว่าเดิม “น้ำส้มแซ่บ ๆ เท่านี้ น่าจะช่วยดับไฟตัณหาของผู้ชายขี้เอาให้เย็นลงบ้าง” สุ้มเสียงของฉันสั่นเครือจนน่าโมโห ฉันกระแทกก้นแก้วลงบนท็อปหินแกรนิตอย่างไม่ออมแรง ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปจากห้อง “เดี๋ยว! อารยา” มาร์คตามมายื้อยุด แต่ฉันกระชากแขนกลับแล้วก็สะบัดฝ่ามือตบเขาจนหน้าหัน ไม่รู้ว่าตัวเองเอาพละกำลังมาจากไหนถึงทำเรื่องบู๊ล้างผลาญแบบนั้นได้ “อย่ามาแตะต้องฉันอีก ไอ้หน้าตัวเมีย!” “ปล่อยเธอไปก่อนเถอะค่ะ” ฉันได้ยินเสียงของผู้หญิงชื่อโซฟีดังอยู่ด้านหลัง แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง ฉันไม่อยากร้องไห้คร่ำครวญให้คนสารเลวได้ใจ ทว่า...น้ำตามันไหลออกมาเอง เมื่อเข้าสู่เส้นทางมอเตอร์เวย์ ฉันเหยียบคันเร่งจนสุดความเร็วเพื่อพาตัวเองไปให้พ้นจากความเสียใจ โชคร้ายที่มีรถตำรวจขับตามหลังมาติดๆ และเปิดไฟสัญญาณฉุกเฉินบีบบังคับให้ฉันจอดรถข้างทาง ฉันลดกระจกหน้าต่างฝั่งคนขับลงเพื่อเจรจาต่อรอง แต่สารรูปของฉันคงดูน่าเวทนามากเกินไป คนในเครื่องแบบผู้รักษากฎหมายถึงกับไม่กล้าใช้เสียงข่มขู่ “คุณผู้หญิง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” “ไม่ค่ะ...ฉันไม่ได้เป็น...ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาทั้งนั้น” ฉันสูดจมูกพยายามหยุดอาการสะอื้น ก่อนจะรวบรวมความกล้าเงยหน้าสู้กับความจริง ทว่าวิสัยทัศน์ด้านนอกพร่ามัวจนต้องสับคันโยกที่ปัดน้ำฝนขึ้น “ที่ปัดน้ำฝนใช้ปัดน้ำตาไม่ได้หรอกครับ” คุณตำรวจใจดียื่นมือเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อดับเครื่องยนต์และยึดกุญแจรถเอาไว้ “คุณโดนใครทำร้ายมาหรือเปล่า?” “ไม่ค่ะ ฉัน...ฉันเป็นคนตบหน้าเขา แล้วก็...สาดน้ำส้มใส่หน้าเขาด้วย” ฉันสารภาพความผิดทุกอย่าง ทว่ายังถูกเชิญให้ลงจากรถเพื่อไปเป่าวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจและตรวจหาสารเสพติดผิดกฎหมาย ผลสรุปออกมาว่าฉันเป็นพลเมืองดีคนหนึ่ง แต่ก็ต้องโดนใบสั่งเรียกเก็บค่าปรับ 135 ยูโร และโดนหักคะแนนในใบขับขี่ 3 แต้ม ข้อหากระทำการฝ่าฝืนกฎจราจร คุณตำรวจคนเดิมอาสาขับรถมาส่งฉันที่อะพาร์ตเมนต์ อีกทั้งยังสวดอบรมเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนมาตลอดทาง ทำให้ฉันหลงลืมความเสียใจไปชั่วคราว และได้สำนึกในพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคมของตนเอง ความประมาทเพียงเสี้ยววินาทีอาจจะทำลายหลายชีวิต หรือถ้าฉันเป็นอะไรไปคนที่รักฉันคงหัวใจสลาย ระหว่างที่นั่งคอตกอยู่ข้างโชเฟอร์ขี้บ่น ฉันหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์คำอวยพรส่งไปให้แม่กับปะป๊า รวมถึงเพื่อนและญาติสนิท ทว่ายังไม่กล้าโทรหาใคร ไม่กล้าแม้แต่จะเปิดอ่านข้อความที่ส่งมาจากมาร์ค หลังเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามาในพื้นที่อำนวยความสะดวกส่วนรวมของอะพาร์ตเมนต์ ฉันมองเห็นป้ายประกาศขนาดใหญ่ระบุข้อความว่า ‘ลิฟต์ขัดข้อง’ รู้สึก...เหมือนโดนถีบตกเหวแล้วถูกตอไม้เสียบทะลุร่าง มันหนักหนาสาหัสเกินที่ใครจะทนไหว แต่ฉันก็ยังทน... ฉันก้มลงถอดรองเท้าส้นสูงและเดินขึ้นบันไดอย่างเชื่องช้าราวกับหอยทาก แอบเหม่อมองป้ายแจ้งเตือนข้อความบนหน้าจอมือถือทุกสองก้าว จู่ ๆ เสียงสายเรียกเข้าก็ดังลั่นขึ้น ฉันสะดุ้งตกใจจนทำโทรศัพท์หลุดมือ มันกลิ้งตกจากบันไดชั้น 4 ลงไปถึงชั้นล่างสุด เอวัง... วันแรกของปี ชีวิตฉันเริ่มต้นด้วยการอกหัก โดนใบสั่ง ถูกตัดคะแนนในใบขับขี่ สูญทรัพย์ และเสียความสาวที่หวงแหน ฉันพยายามฮึบ... กลั้่นน้ำตาไม่ให้ไหล ก้มหน้าก้มตาเก็บชิ้นส่วนเครื่องมือสื่อสารที่แตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหล่นกระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ใส่กระเป๋า ฉันก้าวขึ้นบันไดกลับมาที่ห้องพักบนชั้น 4 ใช้หัวไหล่ดันประตูล็อคอัตโนมัติปิดลงเพื่อขังตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเดินลากขาที่อ่อนแรง มาทิ้งตัวนอนบนโซฟา แล้วก็...ร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่อายผีสางเทวดา ในหัวมีแต่ภาพของมาร์คจูบกับผู้หญิงอื่น... ความคิดขัดแย้งกับความปรารถนาในใจ ที่พากเพียรสรรหาข้ออ้างมาแก้ต่างให้เขาสารพัด กระทั่งผล็อยหลับ เสียงเคาะประตูห้องที่ดังรัวๆ ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นจากความฝัน คนแรกที่นึกถึงคือแม่... ถ้าแม่มาเจอฉันอยู่ในสภาพนี้ แน่นอนว่าจะต้องมีคนตาย! ฉันรีบวิ่งไปส่องตาแมวเพื่อความชัวร์ รู้สึกโล่งอกที่คนยืนอยู่หน้าห้องเป็นเอ็มม่า พอฉันเปิดประตู เผยโฉมสู่โลก เอ็มม่าถึงกับอ้าปากค้าง “เกิดอะไรขึ้น!” “เข้ามาข้างในก่อน” ฉันยืนพิงผนังห้อง หลีกทางให้เพื่อนสาวและปิดประตูตามหลัง “ทำไมเธอตาบวมเป่ง...แถมยังปิดมือถืออีก” “มือถือพังน่ะ” “ช่วยตอบคำถามแรกด้วย” ยัยเพื่อนสาวจอมยุ่งกัดไม่ปล่อย เหมือนกับทุกครั้ง พอฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ให้เอ็มม่าฟัง แล้วเธอก็โทรตามเกว็นกับเมลินให้มารวมกลุ่มกันที่ห้องของฉันเป็นการด่วน แถมกำชับให้ทั้งสองคนหอบหิ้วเสบียงติดไม้ติดมือมาด้วยเสร็จสรรพ และยังช่วยโทรหาแม่กับปะป๊า ให้ฉันบอกพวกท่านเรื่องที่ทำมือถือตกบันได คืนนั้น เอ็มม่า เกว็น เมลิน ผลัดกันเล่าเรื่องแฟนเก่าให้ฉันฟัง ทุกคนต่างก็เคยเจอผู้ชายเฮงซวยและต้องรับมือกับความเจ็บปวด... และพวกเราตั้งปณิธานว่าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทำร้าย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม