คำว่าปลอดภัยของเขาดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
“คุณพอจะมีหนังสือนิยายให้ผมฟรีๆ สักเรื่องสองเรื่องมั้ย อยากอ่านแต่ไม่อยากซื้อ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นเมื่อขับรถมาได้สักพัก ขากลับดูเหมือนเขาตั้งใจขับช้ามากในความคิดของคนที่นั่งมาด้วยกัน แล้วยังมาพูดกวนโทโสอีกครั้งกับเรื่องที่เขาไม่ยอมเข้าใจเสียที
อัญมณีหันขวับไปมองแล้วชักสีหน้าใส่ ก่อนจะมองไปข้างหน้านิ่งไม่ตอบคำใดๆ จึงได้ยินเสียงแขวะกลับมาสั้นๆ
“งก”
“จะต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าฉันไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่”
“ไม่ต้องทำอะไร เพราะผมก็ไม่เชื่อว่าคุณไม่ใช่”
“โว้ย คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง”
“ว่ะ คนอะไรขี้โกหก อ่อ มันเรื่องปกติของพวกนักเขียนนี่นะ นิยายแต่ละเรื่องก็เหมือนเล่าเรื่องโกหกให้คนฟังอยู่แล้ว แต่ชีวิตจริงทำไมต้องปิดบังโกหกคนอื่นอีก”
“คงมีแต่คุณมั้งที่คิดว่าฉันโกหก ถามจริงเถอะถ้าฉันคืออัญมณีแล้วมันจะมีผลยังไงกับคุณหรือถึงอยากให้ฉันยอมรับนักหนา”
สิ้นคำถามรถก็จอดข้างทางอย่างรวดเร็ว ชลทิศขยับมาจับลำคอหล่อน ท่าทีคุกคามจนเผลอร้องอย่างหวาดกลัว
“ว้าย! อะไร ปล่อยนะ”
“ไม่ คุณเป็นต้นเหตุให้พี่สาวผมตาย คุณสมควรตาย” เขาไม่ได้ขู่เพราะลงแรงบีบลำคอเล็กๆ ของหล่อน
“ช่วยด้วย!” อัญมณีตาเหลือกตกใจ ดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นเงื้อมือ
สวิชนั่งมองรูปในโทรศัพท์แล้วเกิดจินตนาการจนอยากให้อัญมณีมาอยู่ตรงหน้าเพื่อถ่ายทอดคำพูดของเขาเป็นตัวหนังสือโดยเร็ว แต่เหลือบมองเวลาแล้วรู้ว่ากว่าจะเช้านั้นอีกนานพอสมควร เขาจึงใช้วิธีอัดเสียงเอาไว้เพื่อกันลืม
เจ้าคนที่กำลังคุ้ยถังขยะเพื่อหาขวดพลาสติกไปขายคงไม่ทันสังเกตว่ามีรถมาจอดข้างๆ แล้วคนขับที่สวมชุดดำรัดกุม สวมถุงมือสีดำและแว่นกันแดดสีเข้มแม้เป็นเวลากลางคืนก็เดินเข้ามาช้าๆ ระยะสี่ห้าก้าวก่อนถึงจุดหมายก็ชักมีดเล่มยาวคมวาววับในความมืดออกมา ยกขึ้นระดับอกคนถือแล้วโถมเข้าไปปักกลางแผ่นหลังบอบบางของเจ้าคนที่กำลังคุ้ยขยะเต็มแรง กดลึกลงไปแล้วถอยออกมายืนมอง
เหยื่อคมมีดสะดุ้งสุดตัว พยายามควานมือมาข้างหลังเพื่อสัมผัสอาวุธที่ทำให้เจ็บปวดจวนเจียนจะขาดใจอยู่ลอมล่อ ร่างผอมแกร็นอ่อนล้าที่แบกรับความเจ็บปวดเอาไว้ค่อยๆ รูดลงข้างถังขยะ
คนชุดดำรีบเดินเข้าไปพยุงร่างนั้นขึ้นมา
“ไปกันเถอะ”
“ช่วยด้วยช่วยด้วย พาผมไปโรงพยาบาลที” คนเจ็บฝืนยืนขึ้นแล้วก้าวตามผู้มีเมตตาจนไปถึงรถ เขาถูกส่งให้นอนคว่ำไปบนเบาะหลัง ก่อนรถจะแล่นออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ตลอดทางเขาพร่ำขอร้องให้พาไปรักษาตัวและบอกว่ามีเงินค่ารักษา
“เป็นคนเก็บขยะแต่มีเงินเก็บหรือ เก่งนี่”
“มีสิ มีมากด้วยพอรักษาตัวได้ พาไปหาหมอทีนะ”
ไม่นานนักรถที่มีเสียงเครื่องยนต์เงียบกริบไฟส่องทางมืดสนิทก็แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านร้างหลังนั้น บ้านที่พบเห็นโดยบังเอิญแล้วคิดไปว่า หากมีคนมาตายอยู่ด้านในก็คงไม่มีใครสนใจเพราะอยู่ท้ายซอยติดหลังวัด ขนาดกลางวันยังวังเวงเกินกว่าจะเดินผ่าน กลางคืนคงไม่ต้องกลัวใครเห็นหากคิดจะทำอะไรสนุกๆ
ประตูรถด้านหลังถูกเปิด ร่างเหนื่อยอ่อนหายใจรวยรินถูกลากลงจากรถจนลำตัวกระแทกพื้น เสียงโอดโอยแผ่วเบาออกจากปากที่พยายามเอ่ยถาม
“เจ็บ นี่ที่ไหน มีหมอใช่มั้ย”
“ไม่มีหมอหรอก แต่เข้าไปข้างในแล้วก็หายเจ็บ ไป” คนบอกพยุงให้ลุกขึ้น พาเดินเข้าไปในบ้านร้างที่มืดสลัวแต่ไม่เป็นอุปสรรคในการเดินเพราะเคยชินกับสถานที่ จัดแจงพาร่างสิ้นเรี่ยวแรงยินยอมตามการชักพาไปนั่งลงใกล้เสากลางบ้าน
“กอดเสาไว้สิ” สั่งสั้นๆ ก่อนจะผละออกห่างมาเพียงครู่ก็กลับมาใช้เชือกฟางที่เตรียมไว้มัดมือผอมติดกันไว้
คนถูกกระทำบิดมือขัดขืนแต่ไม่มีแรงมากพอเพราะพิษความเจ็บปวดเล่นงานครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากมือถูกมัดในท่าโอบเสาแล้ว เท้าก็ถูกดึงไปคร่อมเสาแล้วผูกติดกัน
“ทำอะไร” คนเจ็บแข็งใจถาม และเป็นโอกาสสุดท้ายที่ได้ถามเพราะเศษผ้าถูกดึงมามัดปิดปากเอาไว้ พร้อมเสียงกระซิบข้างหู
“ขอดูแผลหน่อยนะ” สิ้นคำพูด มีดที่ปักคาก็ถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็วจนร่างที่มีดฝังอยู่ในเนื้อมานานสะดุ้ง เลือดสีเข้มทะลักออกมาแล้วแทงลงไปตำแหน่งเดิมอีกครั้งทว่าพลาดเป้าไปนิดทำให้แผลใหญ่ขึ้น คนถูกแทงดิ้นแรงคาดว่าหากไม่ถูกพันธนาการเอาไว้คงนอนดิ้นพรวดพาดบนพื้นและส่งเสียงโหยหวน คนทำรีบค้นตัวฉีกทึ้งเสื้อผ้าที่แค่แตะเบาๆ ก็เกือบขาดติดมือ
ในตัวคนบอกว่ามีเงินมากไม่พบแม้แต่เศษสตางค์
“ถุย นี่หรือจะให้พาไปหาหมอ สลึงหนึ่งก็ไม่มีติดตัว ไปโกหกยมบาลเถอะ”
คนชุดดำกระชากแหงกร้านเต็มแรงให้คอแหงนขึ้น แล้วดึงมีดจากแผ่นหลังมาปาดลงไปอย่างรวดเร็ว
ร่างที่ถูกกระทำกระตุกแรงขึ้นๆ และค่อยราลงจนไม่ไหวติง
คนทำมองวาระสุดท้ายก่อนลมหายใจของเหยื่อจะปลิวหายด้วยแววตาพึงพอใจ เตะร่างไร้วิญาณอีกครั้งก่อนเดินออกมาแล้วโทรศัพท์รายงานผล