เช้าวันใหม่มาเยือนในยามเหม่า ชิงเหมยลุกขึ้นจากเตียงนอนตามปกติ หยวนเวยนำอ่างน้ำเข้ามาเพื่อให้นางล้างหน้าและบ้วนปาก จากนั้นเซียงซุนจึงช่วยนางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และหวีผมพร้อมกับจัดแต่งทรงผมให้นางอย่างเบามือ หลายวันที่ผ่านมาชิงเหมยได้รับการปรนนิบัติดูแลจากสองสาวรับใช้ของท่านย่าเป็นอย่างดี แรกๆ แม้จะรู้สึกไม่คุ้นชิน แต่ทว่าพอหลายวันเข้านางก็เริ่มปรับตัวได้ ถึงแม้ชีวิตเช่นนี้จะสะดวกสบายยิ่งนัก แต่นางก็ไม่ปรารถนาที่จะพักอาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้อยู่ดี ได้แต่เฝ้ารอวันที่นางจะเข้าพิธีปักปิ่นและเดินทางกลับหมู่บ้านซานฉีพร้อมกับท่านยาย
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านยายของคุณหนูเดินทางมาถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้นางหนึ่งเข้ามารายงานชิงเหมยที่กำลังนั่งอ่านบัญชีอยู่ในเรือนนอน หลังจากที่นางออกจากเรือนไปในยามเฉินเพื่อกินมื้อเช้าร่วมกับผู้เป็นย่าเสร็จ นางก็ขอตัวกลับมายังเรือนนอนเพื่อตรวจสอบบัญชีต่อ จนยามนี้เวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่ยามซื่อแล้ว
“ข้าจะออกไปต้อนรับท่านยาย”
ชิงเหมยผละมือจากสมุดบัญชีตรงหน้า แล้วลุกขึ้นเยื้องย่างออกจากเรือนนอน มุ่งหน้าสู่เรือนรับรองโดยมีสามสาวรับใช้เดินตามหลังไปไม่ห่าง
น้ำเสียงที่พูดคุยดังมาจากภายในเรือนรับรอง ทำให้ชิงเหมยรู้สึกใจเต้นแรงด้วยความยินดี หลายวันแล้วที่นางจากหมู่บ้านซานฉีมา ครั้นเดินเข้าไปภายในเรือนรับรองก็ได้เห็นว่าท่านยายของนางกำลังนั่งพูดคุยกับท่านย่าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม คราแรกที่นางนึกหวั่นใจไม่ได้ว่าท่านยายยังคงรู้สึกขุ่นเคืองท่านย่า ครั้นมาได้เห็นเช่นนี้นางก็รู้สึกเบาใจ ก่อนที่นางจะมาถึงทั้งสองคงพูดคุยปรับความเข้าใจกันดีแล้ว มิเช่นนั้นสถานการณ์ในยามนี้คงไม่ออกมาดีเช่นนี้
“หลานคารวะท่านย่า หลานท่านยายเจ้าค่ะ”
นางคำนับสตรีทั้งสอง ซุนฉีครั้นได้เห็นหน้าหลานสาวก็รู้สึกยินดีไม่น้อย นางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าไปสวมกอดร่างเล็ก จากนั้นจึงพาหลานสาวเดินกลับมานั่งลงยังเก้าอี้ตัวข้างๆ พลางจ้องมองดวงหน้างามที่ดูผุดผ่องขึ้นมาไม่น้อย
“ดูมีน้ำมีนวลขึ้นนะเรา อยู่ที่นี่ฮูหยินผู้เฒ่าเลี้ยงดูเจ้าอย่างดีใช่หรือไม่” ซุนฉีทักทายหลานสาวพลางหยอกล้อนางออกมา ชิงเหมยยิ้มแย้มพลางตอบออกมา
“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านย่าเอ็นดูหลานยิ่งนัก ยามนี้หลานยังได้ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการบัญชีภายในเรือนอีกด้วย” ซุนฉีหันไปมองหน้าผิงหลัน มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาสนใจหลานสาวต่อ
“พรุ่งนี้ก็จะถึงพิธีปักปิ่นของเจ้าแล้ว แต่ทางฝั่งยายไม่เหลือญาติพี่น้องแล้ว เหลือแต่ยายนี่แหละหนาที่จะทำหน้าที่ปักปิ่นให้แก่เจ้าแทนท่านแม่ของเจ้า” ซุนฉีบอกกล่าวหลานสาว ชิงเหมยพยักหน้ามุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
“ศึกษาการทำบัญชีเป็นเช่นไรบ้าง เจ้าเข้าใจดีหรือไม่” ซุนฉีเอ่ยถามหลานสาวออกมา
"แรกๆก็ยังคงสับสนไม่เข้าใจอยู่บ้าง ครั้นได้ฟังท่านย่าและหัวหน้าพ่อบ้านอธิบาย หลานก็พอจะเข้าใจเจ้าค่ะ"
“จงตั้งใจเรียนรู้และทำให้ละเอียดรอบคอบ อยู่ที่เรือนของเรามิจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ก็จริง แต่ทว่าในภายภาคหน้า เจ้าก็ต้องใช้ความรู้เหล่านี้ในยามที่เจ้าต้องออกเรือนไปอยู่ดี” ซุนฉีกำชับหลานสาวก่อนที่จะหันไปพูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า
“ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่าที่มองการณ์ไกล ให้ความเมตตาต่อเหมยเอ๋อร์ ยามอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีข้าเองก็มิได้ใส่ใจที่จะนึกถึงเรื่องนี้ ลืมคิดไปว่าหลานเป็นสตรีที่สักวันก็ต้องออกเรือนไป”
“ท่านยายกล่าวอันใดเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ หลานยังไม่คิดจะออกเรือนหรอกเจ้าค่ะ”
สองผู้เฒ่ามองหน้ากันยิ้มๆ แม้ภายในอดีตทั้งสองจะเคยขุ่นข้องหมองใจกันมาก่อน ครั้นได้มาพบกันอีกครา นางทั้งสองก็ได้แก้ไขความเข้าใจผิดต่อกัน ซุนฉีเพิ่งจะเข้าใจว่าความซับซ้อนภายในตระกูลขุนนางนั้นยากที่จะอธิบาย ดีแค่ไหนแล้วที่นางพาหลานสาวไปเลี้ยงเอง มิเช่นนั้นชีวิตของหลานสาวที่ต้องอาศัยอยู่ที่นี่โดยไร้บิดามารดาคงจะลำบากไม่น้อย
สองวันต่อมาที่จวนตระกูลซิ่วก็ดูคึกคักกว่าทุกวัน เพราะวันนี้เป็นวันที่จวนได้จัดพิธีปักปิ่นให้แก่หลานสาวอีกคนของตระกูล ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแย้มหน้าบานต้อนรับญาติหญิงชายที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธี ชิงเหมยอาบน้ำสวมใส่อาภรณ์ชุดใหม่ที่ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งคนตระเตรียมให้ จากนั้นจึงให้เซียงซุนเปลี่ยนทรงผมให้นางเสียใหม่ หลังจากเตรียมตัวอยู่ในเรือนจวบจนถึงฤกษ์ถึงยาม สาวรับใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้ามาตามนางออกไป
หลังจากทำพิธีปักปิ่นเสร็จเรียบร้อย ชิงเหมยก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าพาไปแนะนำกับทุกคนที่มาร่วมงานว่านางคือหลานสาวหนึ่งเดียวของตระกูลซิ่ว เป็นหลานสาวที่เกิดจากบุตรชายคนรองที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติที่มาร่วมงานต่างพากันกล่าวแซ่ซ้องยินดีไปกับนาง ที่ได้พบหน้าหลานสาวอีกครา มีเพียงชายผู้หนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกยินดีไปกับการกลับมาของหลานสาว ในใจของเขาจึงร้อนรุ่มและพยายามคิดแผนการมากมาย
แผนการที่เขาร่วมลงมือกับภรรยาก่อนหน้านั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเขาประมาทมารดามากเกินไป แต่ดีแค่ไหนแล้วที่มารดายังจับไม่ได้ว่าเขาคือผู้บงการภรรยาให้ลงมือวางยาสังหารนาง และคิดจะโยนความผิดให้แก่หลานสาว ทว่าแผนการกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ใต้เท้าซิ่วได้แต่เสแสร้งปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมา เพื่อไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็นว่าเขามิได้นึกยินดีที่ได้พบกับหลานสาวสักเท่าใด
มีฮูหยินหลายคนที่นึกเอ็นดูเด็กสาวและอยากจะทาบทามชิงเหมยให้แก่บุตรชาย แต่ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับกล่าวดักหน้าว่า หลานสาวของนางมีผู้ที่เหมาะสมกับนางอยู่แล้ว ฮูหยินทั้งหลายจึงได้แต่รู้สึกผิดหวังไปตามๆ กัน ถึงแม้นชิงเหมยจะรู้สึกงุนงงกับคำตอบของท่านย่า แต่ทว่านางกลับไม่ได้เอ่ยถามอันใดออกมา ทั้งยังคิดว่าที่ท่านย่าบอกกับทุกคนเช่นนี้ก็เพื่อตัดปัญหาความวุ่นวาย เพราะหลังจากพิธีปักปิ่นเสร็จสิ้นและช่วยเหลืองานของพี่ชางแล้ว นางก็จะเดินทางกลับไปอยู่ที่หมู่บ้านซานฉีดังเดิม