หานเถิงซีโน้มหน้าลงมาใกล้แทบติดกับใบหน้าของถางเมิ่งหรู นัยน์ตาหงส์ช้อนมองสบนัยน์ตาดุดันตาไม่กะพริบ
“ข้าไม่เจอเจ้าหลายเดือน รู้สึกว่าปากคอเราะรายขึ้นไม่น้อยนะ” บุรุษกระซิบที่ริมหู หัวใจของสตรีเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว เท่าที่จดจำได้จวิ้นอ๋องไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง เมื่อกลับมาก็บุกเข้าห้องมาร่วมหอกับนาง และนั่นถึงทำให้นางเกิดการตั้งครรภ์โดยไม่ได้เตรียมตัว และถ้าหากไม่อยากตั้งครรภ์ในช่วงนี้ ก็ห้ามนอนกับท่านอ๋องโดยเด็ดขาด
“ใกล้เกินไปแล้วเพคะ ท่านอ๋องเกลียดหม่อมฉันมิใช่หรือ” ถางเมิ่งหรูเอ่ยเตือน ทั้งที่เมื่อก่อนนางจะดีใจมากที่ได้ใกล้ชิดกับจวิ้นอ๋องแบบนี้ เพราะว่าเขาเป็นพระสวามีและนางก็เป็นชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายของแคว้นเฉิน
หานเถิงซีรู้สึกขัดใจที่ถูกห้ามไม่ให้ทำอย่างใจต้องการ
“พวกเจ้าออกไปให้หมด...” แน่นอนว่าเขาไล่พวกนางกำนัล พวกนางจึงรีบออกไปจากห้องทรงพระอักษรทันที
เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ถางเมิ่งหรูจึงยื่นข้อเสนอขึ้นมาว่า “พวกเราอภิเษกสมรสกันมานานหลายปีแล้ว หม่อมฉันไร้ความสามารถไม่อาจมีทายาทให้ท่านอ๋องได้” ทว่าสตรีโฉมสะคราญเอ่ยไม่ทันจบประโยค บุรุษก็ซบหน้าลงที่ข้างซอกคอขาวเสียก่อน และนั่นถึงทำให้ลมหายใจร้อน ๆ รดริน ขนอ่อนของถางเมิ่งหรูจึงลุกชันด้วยความตื่นเต้น
“ข้ากับเจ้ายังไม่เคยร่วมหอกัน ก็ไม่น่าแปลกใจนักที่เจ้าจะยังไม่มีทายาท พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อยากมีทายาทให้ข้าหรือ...” หานเถิงซีพูดหยั่งเชิงแต่ฝ่ามือข้างที่ว่างก็ไม่ยอมหยุดลูบไล้ที่สะโพกของถางเมิ่งหรู เพราะถือว่าถางเมิ่งหรูตกอยู่ในกำมือแล้ว จะบีบให้ตายหรือคลายให้รอดย่อมอยู่ที่เขาเท่านั้น
“มะ ไม่อยากมีเพคะ หม่อมฉันมิกล้า” ถางเมิ่งหรูอยากหยิกแขนตัวเองที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ตอนนี้นางควรเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ก่อน หานเถิงซีเห็นคนตัวสั่นก็นึกมันเขี้ยว ใช้มือหยิกที่ลำคอขาวจนเกิดรอยแดงแทนการใช้ริมฝีปาก
“โอ๊ย! เจ็บนะเพคะ” ถางเมิ่งหรูร้องเสียงหลง รีบยกมือเรียวสวยมาจับบริเวณที่ถูกประทุษร้ายทันที พลางถลึงตามองจวิ้นอ๋องด้วยความโกรธเคือง
“มองข้าเช่นนี้ เจ้าไม่พอใจข้าหรือ” ฝ่ามือหนาเปลี่ยนมาช้อนปลายคางโฉมสะคราญอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้ถางเมิ่งหรูไม่อาจหลบสายตาจวิ้นอ๋อง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บุรุษองอาจโน้มหน้าลงมาใกล้เรื่อย ๆ ท่าทางคุกคามอย่างมาก สตรีก็ใช่ว่าจะยืนอยู่เฉย ๆ ให้กลั่นแกล้ง นางจึงเลือกตอบโต้ด้วยวิธีพูดตามความรู้สึกของตัวเอง
“ไม่พอใจเพคะ ท่านอ๋องลองให้หม่อมฉันกัดคืนดูบ้างสิ” ถางเมิ่งหรูยังคงปากคอเราะรายต่อต้านไม่ยอมหยุด กระทั่งหานเถิงซีมองมาด้วยสายตาคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้ม
“เจ้ากล้าทำหรือ!” หานเถิงซีเลิกคิ้วใส่สายตาคมเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยถากถาง
ถางเมิ่งหรูรู้สึกว่าถูกท้าทายจึงใช้มือข้างที่กุมลำคอตนเองไปรั้งใบหน้าบุรุษให้เคลื่อนเข้ามาใกล้กัน จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากเคลือบชาดของตนขบเม้มที่ริมฝีปากหยักสวยอย่างแรง ทว่าเมื่อนางผละริมฝีปากออก เขากลับเปลี่ยนมือจากช้อนปลายคางมาตรึงที่ท้ายทอยของนางแทน ไม่ยอมให้คนใจกล้าถอยหนีออกไปได้
“อะอืออื้อ!” ลิ้นน้อยทั้งสองชายหญิงพันกันยุ่งเหยิง คนหนึ่งคิดรังแกแล้วจะหลีกหนี ทว่าอีกคนกลับไม่ยินยอมให้หนีไปได้
“อะอ่อยอะ (ปละปล่อยนะ)” ถางเมิ่งหรูรู้สึกว่าทุกอย่างถลำลึกมากเกินไปแล้ว นางต้องการหยุดการกระทำที่พลั้งเผลอลงมือทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบก่อน แต่ทว่านอกจากจะหยุดการกระทำนี้ไม่ได้ยังคงเสียเปรียบให้หานเถิงซีไปมาก ท้ายที่สุดนางก็ตัดสินใจใช้เขี้ยวซี่เล็กขบที่ริมฝีปากล่างของเขา
“โอ๊ย! นี่เจ้า” หานเถิงซีรีบผละริมฝีปากออกทันที ก่อนจะถลึงตาใส่พระชายาเพียงแต่ในนาม ถางเมิ่งหรูไหวพริบดีรีบย่อตัวลง หลีกหนีจวิ้นอ๋องได้สำเร็จ แล้ววิ่งออกจากห้องทรงพระอักษรไปไม่รีรอ
ขันทีและนางกำนัลต่างตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูก เพราะปกติท่านอ๋องกับพระชายาไม่เคยใกล้ชิดกันมาก่อนเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกและดูเหมือนกับว่าจะมีอะไรในกอไผ่
ร่างบางในชุดผ้าไหมสีขาวงดงามวิ่งหนีไปตามทางเดิน ส่วนพวกนางกำนัลก็รีบเดินตามไปทันที แต่ก็ตามพระชายาไม่ทัน
“พระชายาทรงสำรวมด้วยเพคะ” เพราะว่ากฎในจวนจวิ้นอ๋องนั้นมีมากนัก แต่ว่ายามนี้ถางเมิ่งหรูไม่สนใจกฎพวกนั้นอีกแล้ว
“คนนิสัยเสีย!” ถางเมิ่งหรูวิ่งไปพลางใช้หลังมือเรียวสวยเช็ดริมฝีปากไปด้วย กระทั่งวิ่งมาจนถึงท้ายจวนซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางจึงหยุดมองหน้าทางเข้าด้วยสายตาเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง ภาพความทรงจำไหลย้อนเข้ามานับไม่ถ้วน
“ข้ากลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้วสินะ ใช่หรือไม่” ถางเมิ่งหรูมั่นใจว่าตนเองมาเกิดใหม่อีกครั้ง หรือถ้าเป็นผู้อื่นอาจจะเรียกว่าย้อนเวลากลับมาก็ได้ ทว่านางไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อก่อน แม้ว่าทุกคนจะยังมีชีวิตอยู่เหมือนชาติก่อนไม่มีผิดเพี้ยนก็ตาม
“พระชายาเหตุใดริมฝีปากถึงได้บวมเช่นนั้นเพคะ” ซ่งเอ๋อเพิ่งจะเคี่ยวน้ำแกงเสร็จ จึงเดินยกถาดออกมาเจอพระชายาที่ไม่ยอมเดินเข้ามาในตำหนักพอดี
ถางเมิ่งหรูจึงละสายตาจากป้ายหน้าตำหนักที่เขียนคำว่า อันจิ้ง**ฮุ่ยอี้ **แปลตรงตัวว่า เงียบสงบ มีคุณธรรมและมีปัญญา’ ที่แท้ชื่อตำหนักของนางก็เปรียบเสมือนคำที่ใช้บอกตรงตัวว่า จงอาศัยอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ต้องมีสติปัญญารวมทั้งคุณธรรมจรรยาบรรณของสตรีในห้องหอ
“ข้านี่โง่เขลามานานเสียจริง เพิ่งจะเข้าใจทุกอย่างในตอนนี้เอง” เมื่อถางเมิ่งหรูคิดได้ดังนั้นก็รีบก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก ซ่งเอ๋อเห็นพระชายาอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ถามเซ้าซี้ ทำเพียงยกถาดน้ำแกงเดินตามหลังไป
ณ ห้องปีกซ้ายของตำหนักท้ายจวน ร่างบางนั่งซดน้ำแกงไปด้วยพลางคิดแผนการว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้านางใช้เรื่องที่ไม่มีทายาทต่อรองกับจวิ้นอ๋องในการหย่า จะสามารถหย่าได้อย่างราบรื่นหรือไม่
“ระวังร้อนนะเพคะ” นางกำนัลข้างกายเป็นกังวล เมื่อเห็นว่าพระชายาดูใจลอยตั้งแต่กลับมาจากตำหนักใหญ่
“เจ้าว่าข้าขอท่านอ๋องหย่าดีหรือไม่” เพราะไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครจึงหันไปถามนางกำนัลข้างกาย ซ่งเอ๋อได้ยินแบบนั้นก็ทำสีหน้าตกใจรีบหันมองไปรอบตัวทันที เพราะเกรงว่าจะมีคนมาได้ยินคำพูดประโยคเมื่อสักครู่นี้ของพระชายา
“ไม่ดีเพคะ พระชายาจะหย่ากับท่านอ๋องทำไมกัน อยู่แบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนะเพคะ” ซ่งเอ๋อรู้ว่าครอบครัวของพระชายานั้นถูกสั่งประหารทั้งหมด หรือพูดกันง่าย ๆ ก็คือพระชายาไม่มีที่ให้พึ่งพาแล้ว ถ้าหากต้องหย่ากับท่านอ๋องขึ้นมาจริง ๆ ก็ไม่บ้านให้กลับ อย่าพูดถึงตระกูลถางสายรองเลย ทุกคนต่างกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางหลายปียากต่อการติดต่อ
ถางเมิ่งหรูเห็นสีหน้าซ่งเอ๋อก็เข้าใจว่าเหตุใดถึงพูดเช่นนั้น ตัวนางไร้ญาติขาดมิตรและไร้ที่พึ่งพาจริง ๆ ที่จวิ้นอ๋องอภิเษกสมรสกับนางก็เพราะต้องการแก้แค้นตระกูลถางที่ทำผิดต่อพระองค์ นางอยู่ที่นี่ในฐานะนักโทษคนหนึ่งด้วยซ้ำ “นั่นสิ...ข้าเลือกอะไรไม่ได้”
ซ่งเอ๋อเห็นสีหน้าพระชายาเศร้าสลดไปก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ จึงไปยกผีผาตัวโปรดออกมา หวังให้ถางเมิ่งหรูเล่นดนตรีผ่อนคลายอารมณ์