หลังจากรถคันหรูขับออกไปจากลานจอดรถ ชายหนุ่มที่ยืนแอบฟังอยู่ตั้งแต่ต้นก็เดินออกมาจากที่ซ่อน สายตามองไปยังท้ายรถคันหรูที่เริ่มขับเคลื่อนออกไปจนลับตา ในใจอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นกำลังคิดเรื่องบ้าบออะไรอยู่ หรือไม่รู้ใจตนเองกันแน่
มาบอกเลิกผู้หญิงแต่กลับรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีสติครบร้อยหรือเปล่า มีที่ไหนกันมาบอกเลิกแต่ไม่อยากให้ฝ่ายหญิงโกรธหรือเกลียด เขาเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนทำได้หรอก ถูกชายที่ตนเองรักบอกเลิกแถมให้เหตุผลที่สวยหรู ทั้งที่ความจริงๆ เหตุผลเหล่านั้นมันเป็นคำโกหกทั้งสิ้น
“เหตุผลบ้าบออะไรกันวะ ถ้าอยากเลิกก็ไม่เห็นจะต้องใช้คำพูดซะสวยหรูขนาดนั้นก็ได้มั้ง...ว่าแต่ยัยหนูน้ำจะเป็นอะไรหรือเปล่า”
น้ำเสียงกึ่งเป็นห่วงเป็นใยรำพันออกมา สองเท้ารีบก้าวเดินตรงเข้าไปในลิฟต์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ที่จริงก็ใช่ว่าอยากสนใจนักหรอก หากไม่ใช่เพื่อนสนิทของน้องสาว เขาไม่มีทางเป็นห่วงเด็ดขาด สำหรับเขาแล้วผู้หญิงก็เป็นเหมือนปลิงตัวหนึ่งที่เคยเกาะกินและดูดเลือดคนที่หล่อนสนใจและหมายตาเอาไว้เท่านั้น
///////////
หลังจากเดินมาถึงห้องทำงานวารินก็เอาแต่นั่งซึมตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง อาการดังกล่าวทำให้หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ และหนึ่งในนั้นก็คือดาราพรรณ เพื่อนร่วมงานที่วารินสนิทที่สุด หญิงสาวขยับลุกจากโต๊ะทำงานเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงาน
“เป็นอะไรหรือเปล่าน้ำ ท่าทางเหมือนไม่สบาย”
“เปล่าหรอกค่ะพี่พรรณ น้ำก็แค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“ไปนอนห้องพยาบาลไหม”
ดาราพรรณถามอย่างเป็นห่วง เห็นสีหน้าซีดเซียวเหมือนกระดาษของรุ่นน้องแล้วก็กังวล ปกติวารินก็ไม่แต่งหน้าทาปากอยู่แล้ว พอไม่สบายหน้าตาก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ มือบางยื่นออกไปแตะหน้าผากเล็ก
“ตัวก็ไม่ร้อนนิ”
“ก็น้ำบอกแล้วว่าน้ำไม่ได้เป็นอะไรมาก พี่พรรณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
“ไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงก็น้ำเป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและรุ่นน้องที่มหา’ ลัยพี่นี่นา ไม่ต้องเกรงใจพี่หรอก น้ำ มีอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้เสมอนะน้ำ”
วารินสบตามองรุ่นพี่ร่วมคณะด้วยความซาบซึ้งใจ แต่จะให้เธอเล่าเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้รุ่นพี่สาวฟังคงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก อีกอย่างเธอก็ยังไม่พร้อมที่จะเล่าที่แฟนหนุ่มบอกเลิกให้ใครฟังทั้งสิ้น ตอนนี้เธออยากอยู่คนเดียวมากกว่า
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่พรรณ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว วันนี้เราจะกินอะไรกันดีคะ”
หญิงสาวชวนคุยเรื่องอื่นแทน สายตาคู่หวานสบตามองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ใครเห็นต่างก็ต้องหลงใหล แม้ในเวลานี้จะดูเศร้าไปหน่อย แต่ก็ยังดูหวาน น่ารักอยู่ดีสำหรับความคิดของดาราพรรณ
“เที่ยงนี้เราไปทานราดหน้ากันไหม ไม่ได้กินได้มาหลายวันแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวน้ำรีบเคลียร์เอกสารกองนี้ให้เสร็จก่อน อีกไม่กี่แผ่นก็จะเสร็จแล้ว”
“โอเค! งั้นพี่ไม่กวนน้ำแล้ว”
ดาราพรรณบอกรุ่นน้องสาวก่อนจะตัดสินใจกลับไปนั่งทำงานที่โต๊ะของตัวเอง แม้สงสัยกับท่าทางซึมเศร้าของอีกฝ่าย แต่เธอก็ไม่กล้าถามเซ้าซี้ รอให้วารินเล่าเองดีกว่า เสียงถอนหายใจยาวเหยียดกับท่าทางน่าเป็นห่วงของวาริน
////////////
12 : 00 นาฬิกา
ดาราพรรณกับวารินกำลังเก็บเอกสารลงแฟ้มเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง ทั้งสองมัวแต่สนใจแฟ้มเอกสารบนโต๊ะของตนเลยไม่รู้ว่าตอนนี้ภายในห้องทำงานไม่ได้มีแต่พวกเธอสองคนเท่านั้น แต่กลับมีชายหนุ่มรูปร่างสูงกำยำยืนพิงโต๊ะทำงานของพนักงานคนหนึ่งอยู่
สายตาคู่คมจ้องมองหญิงสาวร่างเล็กที่กำลังเก็บเอกสารเข้าแฟ้มด้วยสีหน้าแปลกใจ นึกสงสัยเหลือเกินว่าเหตุการณ์ในช่วงเช้ามันรุนแรงมาก แต่เพราะเหตุใด สาวน้อยคนนี้ถึงได้นั่งทำงานมาจนถึงเที่ยง หากเป็นผู้หญิงคนอื่นคงร้องห่มห้องไห้จนไม่เป็นอันทำงานแล้ว
แต่คนตัวเล็กคนหน้าของเขากลับทำตัวปกติ อาจจะมีบ้างที่เปลี่ยนไปก็คือหน้าตาไม่ค่อยสดใสเหมือนอย่างเคย แถมดวงตากลมโตคู่หวานนั่นกลับแห้งแล้งเหมือนอยู่กลางทะเลทราย ร่างสูงก้าวเท้าเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของวาริน สองแขนยกขึ้นมากอดอกก่อนจะตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาเตรียมมาตั้งแต่ก่อนออกมาจากห้องทำงาน
“เก็บแฟ้มลงกล่องเลยหนูน้ำ เพราะช่วงบ่ายเราจะไม่เข้ามาในบริษัทอีก”
“ท่านรอง!”
วารินหน้าซีดกับการปรากฏตัวของอัคคี ท่านรองประธานหนุ่มแห่งวีเอสเคซี จิวเวลรี่กรุ๊ป ดวงตากลมโตคู่หวานเบิกกว้าง มองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างตกใจจนพูดไม่ออก ปกติเธอไม่เคยเห็นเขาลงมาในแผนกการตลาดเลยสักครั้ง
“ท่านรองมีงานด่วนอะไรให้แผนกการตลาดทำหรือค่ะ”
ดาราพรรณถามหลังจากหายอึ้ง หญิงสาวเหลือบมองสีหน้านิ่งเฉยกับนัยน์ตาคู่คมดุอย่างสงสัย ก่อนจะฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าบางทีท่านรองหนุ่มอาจจะมาหาวารินก็ได้ ว่าแต่มาหาวารินทำไมกัน?
“ผมมีธุระกับหนูน้ำ เอ่อ...กับวารินนะครับคุณพรรณ”
อัคคีหันไปตอบพนักงานสาว แล้วก็หันมาสนใจเจ้าของดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มกับดวงตากลมโตคู่หวานต่อ ชายหนุ่มสังเกตเห็นรอบดวงตาบวมซ้ำก็พาลรู้สึกหงุดหงิด ไม่ชอบใจเอาเสียเลยกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ไม่รู้ว่าวารินรักผู้ชายคนนั้นมากแค่ไหน แต่ถ้าให้เขาเดาก็คงจะรักมากอยู่หรอก ไม่งั้นคงไม่ร้องไห้จนตาบวม
“ท่านรองมีธุระอะไรกับดิฉันหรือค่ะ”
“เก็บของเสร็จหรือยัง”
ไม่เพียงไม่ตอบคำถาม แต่ชายหนุ่มยังถามคำถามอื่นขึ้นมาแทน จนคนที่ถูกถามต้องขมวดคิ้ว ดวงตากลมโตคู่หวานเงยขึ้นมามองใบหน้าหล่อคมคายอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย
ทำไมเธอต้องมาเก็บเอกสารเข้าแฟ้มแล้วนำไปไว้ในตู้ เพราะเธอมีเวลาพักแค่หนึ่งชั่วโมง ทานข้าวเสร็จเธอก็กลับเข้ามาในบริษัทแล้ว วารินยังยืนนิ่งไม่ยอมตอบคำถามจนคนตัวโตเริ่มทำหน้าบึ้งโดยไม่รู้ตัว
“สงสัยคงจะเก็บเสร็จแล้ว งั้นเราไปกันเลย”
“จะไปไหนค่ะท่านรอง”
“ไม่ต้องถามหรอกน่า ไปถึงก็จะรู้เองแหละ”
“แต่ดิฉันต้องกลับมาทำงานต่อนะคะท่านรอง”
“เลิกเรียกฉันซะห่างเหินแบบนั้นเสียทีหนูน้ำ เดี๋ยวเหอะ! สอนไม่รู้จักจำ”
อัคคีทำเสียงเข้มดุ สายตาจ้องมองคนตัวเล็กอย่างไม่สบอารมณ์ หงุดหงิดกับท่าทีห่างเหินของอีกฝ่าย ทั้งที่รู้จักและสนิทกับเขาและครอบครัวของเขาซะขนาดนั้น แต่ทำไมต้องทำตัวเฉยเมย ไม่สนใจเขาสักนิด เรียกชื่อแต่ละทีก็ห่างเหินเสียจนเขารู้สึกเหมือนตนเองไม่เคยอยู่ในสายตาของเจ้าหล่อนเลย
“ก็ดิฉันกับท่านรองไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้นนิค่ะ”
“นั่นสิเนอะ คนไม่สนิทจะเข้าออกบ้านพี่สบายแบบนั้นเหรอ”
น้ำเสียงประชดประชันของท่านรองหนุ่มทำให้ดาราพรรณที่ยืนร่วมวงสนทนาถึงกับขมวดคิ้ว จ้องมองฝ่ายชายทีฝ่ายทีหญิง ในใจเริ่มสงสัยในความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ขึ้นมาตงิดๆ แต่ก็ไม่กล้าถามในสิ่งที่ตนสงสัยออกไป
...ท่านรองกับน้องน้ำมีความสัมพันธ์แบบนั้นไหนแน่ล่ะเนี่ย…
////////////
...โปรดติดตามตอนต่อไป...