ตอนที่ 3 ว่าที่คนปลูกผักที่ชื่อหลิวจิวเมิ่ง

2324 คำ
"พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ท่านอยู่ที่ไหน" เธอได้ยินเสียงของเด็กน้อยดังขึ้น จึงรีบเดินกลับไปที่เกวียนวัวทันที เมื่อมาถึงก็เห็นเด็กน้อยทั้งสองทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พอเห็นเธอก็ทำท่าจะโดดลงจากเกวียนจึงต้องรีบวิ่งไปห้ามเอาไว้ "ไม่มีอะไรนะเด็กๆพี่สาวแค่เดินไปหาดูเผื่อจะมีของกินอะไรแถวนี้บ้างแค่นั้น" เธอเอ่ยเมื่อพาพวกเขานั่งลงเรียบร้อยแล้ว "พี่ใหญ่พวกเราเดินทางมาถึงแล้วหรือขอรับ" น้องรองเอ่ยถามขึ้น "ความจริงพี่สาวก็ไม่รู้หรอกว่าเราเดินทางถึงหรือยัง พี่สาวตื่นมาก็นอนอยู่ที่ต้นไม้ตรงนู้นแล้ว พอดีเห็นมีเกวียนวัวอยู่ก็เลยขึ้นมาเปิดดูจนเจอพวกเจ้าทั้งสองคน" เธอเอ่ยไปตามจริง "พะ..พี่ใหญ่ลืมพวกข้าจริงๆ ด้วย ฮะฮือ ฮือ" น้องเล็กที่พอฟังจบก็ร้องไห้อีกครั้ง "โอ๋ๆไม่ร้องนะเด็กน้อย ถ้าพี่สาวลืมเจ้าจะเล่าให้พี่สาวฟังได้ไหม" เธอกล่าวพร้อมดึงน้องเล็กมากอดปลอบ "อือ ข้าจะเล่าให้พี่ใหญ่ฟังเอง น้องเล็กไม่ร้องนะ" น้องรองที่กลั้นสะอื้นแล้วเอ่ยขึ้น แล้วน้องรองก็เริ่มเล่าเรื่องให้ฟัง โดยบอกว่าตัวเธอชื่อหลิวจิวเมิ่งอายุ 14หนาว เป็นบุตรสาวคนโตของบ้านสายรองตระกูลหลิว และพวกตนเป็นน้องชายอายุ 6หนาว ตนเป็นคนรองชื่อหลิวจิวจื่อ น้องเล็กชื่อหลิวจิวซื่อ เดิมอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นเสวี่ยน ท่านพ่อกับท่านแม่ทำกิจการค้าเกลือต้องเดินทางไปค้าขายตลอดเวลา แล้วทิ้งให้พวกตนต้องอยู่ที่จวนกันเพียงลำพังสามคนพี่น้องกับพวกคนรับใช้ แต่แล้ววันหนึ่งคนสนิทของท่านพ่อก็กลับมาแจ้งว่า ท่านพ่อและท่านแม่เกิดประสบอุบัติเหตุ จึงให้นำจดหมายมามอบให้ โดยในจดหมายมีคำสั่งให้ขายกิจการและทรัพย์สินทุกอย่างให้หมด แล้วให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่นเสีย ตัวเธอที่เป็นพี่ใหญ่ก็ทำตามทันที เพราะนอกจากจดหมายของท่านพ่อแล้วยังมีตราประทับประจำตัวมายืนยันด้วย ใช้เวลากว่าเจ็ดวันจึงจัดการขายร้านค้าและทรัพย์สินมีค่าต่างๆ ที่ไม่จำเป็นจนหมด โดยนำพวกตั๋วแลกเงินไปฝากไว้ที่โรงรับฝากเงินหวงหลงและพกไว้เป็นค่าเดินทางอีกเล็กน้อย เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เตรียมเดินทางโดยคนสนิทของท่านพ่อได้ทำการจ้างคนคุ้มกันจากสำนักคุ้มกันหวงหลงเพื่อพาทั้งสามพี่น้องไปยังเมืองที่ท่านพ่อสั่งไว้ เมื่อออกเดินทางแรกๆก็ราบรื่นดี แต่พอพวกตระกูลหลิวสายหลักรู้เรื่องก็ส่งคนมาตามล่าพวกเราทั้งสาม จนผู้คุ้มกันกับคนสนิทของท่านพ่อต้องหลอกล่อไปทางอื่น และให้พวกเราเปลี่ยนมานั่งเกวียนวัวและหลบซ่อนจนกว่าจะไปถึงเมืองที่ท่านพ่อบอก พอฟังสิ่งที่น้องรองพูดจบข้าก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ได้ แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรตอนนี้ท้องทั้งสามที่ร้องประสานเสียงกันสำคัญกว่า จึงลองดูในห่อผ้าต่างๆว่ามีสิ่งใดอยู่บ้าง ก็พบว่าเป็นพวกเสื้อผ้า หนังสือ และยังโชคดีมีหมั่นโถวห่อใหญ่อยู่ด้วยจึงนำมาแบ่งกันกิน เมื่อกินอิ่มเรียบร้อยจึงให้เด็กน้อยที่ท่าทางยังดูอ่อนล้าเพราะต้องคอยหลบอยู่ในหีบไม้ ได้พักผ่อนต่ออีกหน่อย เพราะตอนนี้เธอต้องรื้อความทรงจำขึ้นมาเพื่อจะได้รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป เพราะถามเด็กน้อยทั้งสองซึ่งก็ไม่รู้ว่าที่ๆจะไปอยู่ที่ไหน เพราะพอพวกผู้คุ้มกันรู้ว่าพวกตระกูลสายหลักรู้เรื่องแล้วก็รีบปรับเปลี่ยนขบวนเพื่อพรางตาทันที และให้พวกตนลงไปนอนในหีบไม้เพื่อซ่อนตัว ทั้งสองจึงไม่รู้เรื่องการเดินทางอีกเลย ตอนนี้จึงจำเป็นต้องมานั่งนึกฟื้นความทรงจำของร่างนี้ ไม่เช่นนั้นเธอกับเด็กน้อยทั้งสองจะทำอย่างไรต่อไปได้เล่า ยังไม่ทันที่ความทรงจำจะรื้อฟื้นขึ้นมา เธอก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังขึ้น คล้ายคนควบม้ามาจากที่ไกลๆมาทิศทางที่พวกเธออยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่ารู้ได้อย่างไรรู้แต่ว่าต้องรีบซ่อนเด็กน้อยทั้งสองก่อน เธอรีบลุกขึ้นเอาผ้าที่ใช้คลุมเกวียนตอนแรกกลับมาคุมเอาไว้ โดยให้เด็กน้อยทั้งสองกลับลงไปนอนในหีบ และเอาแผ่นไม้กับห่อผ้าปิดเอาไว้ตามเดิม ส่วนตัวเธอก็หาผ้ามาพันปิดใบหน้าเอาไว้ ของมีค่าต่างๆก็เก็บใส่กระเป๋าไปทั้งหมด นำมาสะพายเอาไว้แล้วซุกตัวกระเป๋าไว้ด้านหลังทำทีเป็นนั่งพักหลบแดด ไม่นานเสียงฝีเท้าม้าก็ใกล้เข้ามา จนสามารถมองเห็นว่ามีคนขี่ม้ามาประมาณห้าหกคน เมื่อมองเห็นเธอคนที่ขี่ม้านำอยู่หน้าสุดก็ผ่อนฝีเท้าม้าจนมาหยุดอยู่ข้างๆเกวียน ชายคนนี้ดูอายุน่าจะสัก 30-40ปี ดูแข็งแรงกำยำส่วนคนที่เหลือก็น่าจะอายุพอๆกัน นอกจากคนที่ขี่ม้านำมาแล้ว คนอื่นๆที่เหลือล้วนสวมใส่ชุดสีดำเหมือนๆกัน "คุณหนูใหญ่เจอท่านสักที เหตุใดถึงมาไกลกว่าจุดนัดหมายเหล่าขอรับบ่าวตกใจหมด" ชายกลางคนเอ่ยขึ้น "คือน้ำ เอ่ออ หนู เอ่อ ข้า ใช่ ข้า" เธอคิดอย่างมึนงงว่าควรพูดอย่างไรดี ดูจากการแต่งกายของทุกคนนี่น่าจะเป็นยุคจีนโบราณ แล้วคนโบราณเค้าแทนตัวว่าอะไร ใช้การพูดแบบไหน ในสมองของเธอประมวลผลอย่างรวดเร็ว "คุณหนูใหญ่ท่านเป็นอะไรไปขอรับ" ชายคนนั้นเอ่ยถามอย่างกังวลใจถึงท่าทางของเธอ "อืม ขอโทษ เอ้ย ขออภัยท่านด้วย คือข้า ใช่ๆท่านรู้จักข้างั้นรึ" เธอเอ่ยถามถึงแม้จะรู้สึกคุ้นเคยกับชายคนนี้ แต่ก็ต้องถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ "คุณหนูใหญ่เกิดอันใดขึ้น แล้วคุณชายทั้งสองละขอรับ" ชายคนนั้นเอ่ยขึ้น เธอสังเกตุท่าทางแล้วดูท่าจะร้อนใจและเป็นกังวลจริงๆ อีกทั้งคนที่ติดตามมาก็ดูระแวงระวังรอบๆ โดยไม่มีสายตาลุกลิกเลยยามมองมา เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดหีบไม้และพาเด็กน้อยทั้งสองออกมา "ลุงเฉินท่านกลับมาแล้ว" น้องเล็กยิ้มแย้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ "ขอรับคุณชายเล็กบ่าวตามมาแล้ว เกิดเหตุใดกับคุณหนูใหญ่ขอรับ" ชายคนนั้นที่ชื่อลุงเฉินเอ่ยถาม "พวกข้าก็ไม่รู้ขอรับ พี่ใหญ่เปิดหีบให้พวกข้าออกมาก็เอ่ยว่าจำพวกข้าไม่ได้ บอกเพียงว่าฟื้นขึ้นจากตรงนั้นก็จำสิ่งใดไม่ได้เลย" น้องรองเอ่ยและชี้บอก เมื่อได้ฟังดังนั้น กลุ่มชายที่น่าจะเป็นผู้คุ้มกันสองคนก็ลงจากหลังม้า และเดินไปสำรวจตรงที่น้องรองชี้ทันที เพียงไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับซากงูสีดำตัวประมาณแขนเด็กที่มีมีดเล่มเล็กปักคาอยู่ "อสรพิษเกล็ดดำ คุณหนูท่านคงไม่ถูกมันกัดใช่หรือไม่ ไม่เช่นนั้นคงแย่แล้วเพราะยาถอนพิษหายากมากแม้แต่ในเมืองหลวงก็ตาม และตอนนี้ตะวันก็ใกล้ตรงหัวแล้ว คงหายาถอนพิษให้ท่านก่อนฟ้ามืดไม่ทันเป็นเรื่องแน่" หนึ่งในผู้คุ้มกันที่ถือซากงูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน "ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ใด ถ้าถูกกัดคงต้องรู้สึกเจ็บปวดบ้าง" เธอเอ่ยขึ้นแม้ในใจจะตอบว่า มันคงช้าไปแล้วล่ะเพราะดูท่าเจ้าของร่างนี้คงจะถูกกัดและเสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอจะมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ความคิดที่ว่าเธอคงตายจากที่นั้น ตายจากเตียงของโรงบาลที่นอนมาสิบกว่าปี และได้มาอยู่ที่นี่คงเป็นเรื่องจริงแน่แล้ว เธอรับรู้ถึงการมีชีวิตจริงๆผู้คนรอบข้าง บรรยากาศ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสัมผัสได้ ซึ่งมันไม่ใช่ความฝันแน่นอน เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็ดูโล่งใจขึ้น จึงได้พูดคุยตกลงกันเรื่องการเดินทางต่อ ซึ่งเธอก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร จะให้ขัดอะไรล่ะเธอยังไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ลุงเฉินก็มานั่งบังคับเกวียน โดยมีเหล่าผู้คุ้มกันขี่ม้าขนาบข้าง เกวียนวัวเดินทางได้ช้ามากแต่ดีที่มันไม่แกว่งไปมามากนัก จนทำให้เวียนหัว มันค่อนข้างจะนิ่งดีด้วยซ้ำถึงแม้ทางจะค่อนข้างขุรขระก็เถอะ เดินทางมาจนตะวันเริ่มคล้อย ผู้คุ้มกันที่แยกไปสำรวจทางด้านหน้าก็กลับมาแจ้งว่า อีกไม่ไกลมีลำธารที่พอให้ตั้งที่พักชั่วคราวได้ เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นก็เร่งฝีเท้าขึ้น ผู้คุ้มกันบางคนก็แยกตัวออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพื่อไปจัดเตรียมที่พัก เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ลงจากพาหนะของตน คนที่มีหน้าที่ต่างก็แยกย้ายกันไปจัดเตรียม พวกเธอสามคนไม่รู้จะต้องทำสิ่งใด ลุงเฉินก็ให้มานั่งอยู่ข้างกองไฟรอให้คนอื่นจัดการงานไป นั่งรอไม่นานหนึ่งในคนคุ้มกันก็แบกสิ่งของที่เธอคุ้นๆเหมือนเคยเห็นในทีวีมาก่อนเข้ามา "แหจับปลา??" เธอพูดเสียงเบา แต่ไม่รู้คนผู้นั้นได้ยินได้อย่างไรจึงได้หันมาตอบ "คุณหนูรู้จักด้วยหรือขอรับ นี่เป็นแหหว่านปลาที่มีใช้เฉพาะคนในแคว้นหวงเท่านั้น ใช้จับปลาหรือบ้างครั้งก็จับฝูงสัตว์เล็กๆได้ดีมาก พวกข้าจะมีติดตัวไว้เวลาที่ต้องออกเดินทางคุ้มกัน" ผู้คุ้มกันคนนั้นเอ่ยขึ้น แคว้นหวงงั้นหรือเอาไว้เดี๋ยวค่อยถามลุงเฉิน ตอนนี้ความทรงจำของเธอมีแค่ความรู้สึกว่าคุ้นเคยกับสองแฝดและลุงเฉินแค่นั้น อย่างอื่นช่างว่างเปล่า ไม่นานกลิ่นปลาเผาก็ดึงสติให้หันมาสนใจพวกมันที่ตอนนี้ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว เธอหันไปมองเด็กน้อยตัวกลมทั้งสองที่นั่งจ้องพวกมันด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมกับเลียริมฝีปากและคอยกลืนน้ำลายไปด้วย ช่างเป็นภาพที่น่ารักเหลือเกิน เมื่อปลาสุกได้ที่ ลุงเฉินก็วางปลาลงบนใบไม้และส่งมาให้สามตัว เธอรับมาและวางลงบนพื้นแล้วจึงเริ่มแกะเนื้อปลาวางไว้ด้านข้างเพื่อให้เด็กน้อยทั้งสองหยิบกินได้สะดวก เธอไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ทำมันเป็นไปเองโดยธรรมชาติเหมือนกับเธอทำมันมาตลอด ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นความทรงจำของร่างกายที่อยู่ การดูแลน้องชายทั้งสองคือสิ่งแรกที่เจ้าของร่างเก่าทำมาตลอด และถึงแม้เธอมาอยู่ความทรงจำของร่างก็จะทำมันเองโดยอัตโนมัติ เมื่อกินอิ่มกันแล้วจึงได้มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เธอใช้เวลานอนบนเตียงมาสิบกว่าปีถึงจะได้รับรู้เรื่องต่างๆมาบ้าง แต่ไม่เคยลงมือทำพวกมันเลย การที่ร่างกายนี้สามารถทำพวกมันได้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเลยทีเดียว เมื่อกินอิ่มและทำการเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เด็กน้อยทั้งสองเรียบร้อยแล้ว มองเห็นเด็กน้อยทั้งสองเริ่มง่วง จึงพาพวกเค้าขึ้นไปนอนบนเกวียนที่ปูผ้าเอาไว้ โดยเว้นฝั่งหนึ่งไว้สำหรับตัวเอง เมื่อทั้งสองหลับสนิทแล้ว แต่เธอยังไม่รู้สึกง่วงเท่าไหร่นัก จึงมองไปที่กองไฟที่เห็นลุงเฉินนั่งอยู่จึงลุกขึ้นและเดินไปนั่งลงที่กองไฟอีกฝั่งข้างๆ "คุณหนูใหญ่ไม่พักผ่อนหรือขอรับ" ลุงเฉินเอ่ยถาม "ข้ามีเรื่องจะรบกวนลุงเฉินเจ้าค่ะ" เธอเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปรอบๆ เห็นพวกผู้คุ้มกันแบ่งเวรยามเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยและบางส่วนก็พักผ่อน จึงหันกลับมามองที่ลุงเฉินอีกครั้ง "คุณหนูจะให้บ่าวทำสิ่งใดหรือขอรับ" ลุงเฉินเอ่ย "คือข้าอยากให้ลุงเฉินช่วยเล่าเรื่องที่ข้าหลงลืมไปทั้งหมดเจ้าคะ" เธอเอ่ยพร้อมกับมองหน้าลุงเฉิน "คงเป็นเรื่องของนายท่านกับนายหญิง และก็พวกตระกูลหลิวสายหลักใช่ไหมขอรับ" ลุงเฉินเอ่ยเสียงเบา "ใช่เจ้าคะ และเรื่องจุดหมายที่เรากำลังจะไปด้วย" เธอเอ่ยตอบ "บ่าวไม่รู้ว่าคุณหนูจำสิ่งใดได้บ้าง ถ้าอย่างไรบ่าวจะเล่าทั้งหมดที่บ่าวทราบให้คุณหนูฟังนะขอรับ" ลุงเฉินกล่าว "ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าความทรงจำจะกลับมาหรือไม่ และข้าก็จำไม่ได้ด้วยว่าเพราะอะไรข้าถึงลืมสิ้นทุกอย่าง" เธอเอ่ยตอบไป อย่างน้อยถ้าทำสิ่งใดผิดไปจะได้ไม่มีพิรุธ ********
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม