บทนำ
ครืน…ซ่า…
เสียงฟ้าคำรามลั่นผสานเสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ในห้องนอนที่ไฟส่องสว่าง พิมพ์ลดาเดินไปเดินมารอบ ๆ ห้อง ในอ้อมกอดของหล่อนคือทารกน้อยวัยหกเดือนเศษที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด เสียงสะอื้นของลูกทำให้หล่อนใจจะขาดตาม น้ำตาเอ่อคลอขังเมื่อรู้สึกสงสารลูกจับใจ
อาการของลูกไม่ค่อยดีนัก มีอาเจียนและถ่ายเหลว ลูกคงร้องเพราะปวดท้องหนัก หล่อนกังวลและอยากไปโรงพยาบาลตอนนี้ หากแต่ว่าพ่อของลูกไม่รับสายของหล่อนที่โทร.ไปนับสิบสาย หล่อนรู้ว่าเขายุ่งมาก เพราะเขาบอกเอาไว้ว่าติดประชุมและต้องไปทานข้าวกับลูกค้า…วันนี้เขากลับดึก นั่นคือประโยคสุดท้ายก่อนวางสายเมื่อตอนเย็น
ใจหวังว่าเมื่อเขารู้ว่าลูกไม่สบาย เขาจะรีบขับรถกลับมารับหล่อนและลูกไปโรงพยาบาล แต่ก็ได้แค่รอเพราะเขาไม่ติดต่อกลับ หล่อนนึกโกรธตัวเองที่ขับรถไม่เป็น และเมื่อพ่อของลูกไม่ว่าง ก็คงต้องโทร.หาใครสักคนให้ขับรถพาหล่อนและลูกไปโรงพยาบาล
หล่อนตัดสินใจโทร.ไปหานพดล คนขับรถของแม่สามี โชคดีที่ฝ่ายนั้นยังไม่นอนและรับปากเป็นมั่นเหมาะ พิมพ์ลดาจึงเลิกสนใจติณณภพ รีบเตรียมข้าวของเพื่อพาลูกไปโรงพยาบาล
++++++
หลังงานเลี้ยงจบลง ติณณภพกรอกเครื่องดื่มลงคอตบท้าย เขานั่งมองไปยังพิชญ์สินีที่กำลังทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม หล่อนสบตากับเขาอย่างบังเอิญ ยิ้มหวานโปรยมาให้พร้อมกับยกมือไหว้เขาซึ่งมีสถานะเป็นเจ้านายสายตรง
“ปุ้ยกลับก่อนนะคะบอส ดึกมากแล้วค่ะ”
ทำทีเป็นดูนาฬิกาข้อมือ หล่อนคว้ากระเป๋าสะพายแล้วทำท่าจะเดินเลี่ยงออกไปก่อน จังหวะนั้นติณณภพหยิบมือถือขึ้นมา เขาเห็นสายจากภรรยาที่ไม่ได้รับขึ้นโชว์หรา… แต่ช่างเถอะ หล่อนคงโทร.ตามให้เขากลับบ้าน คิดพลางลุกตามเลขาไป
“ปุ้ย…เธอกลับยังไงเหรอ”
หล่อนเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนบุ้ยหน้าไปทางถนน
“ไม่มีคนรับส่ง ก็คงต้องกลับแท็กซี่ค่ะ”
“ผู้หญิงตัวคนเดียว นั่งแท็กซี่ดึก ๆ แบบนี้เธอไม่กลัวเหรอ”
“กลัวค่ะ ซอยบ้านปุ้ยก็เปลี่ยว แต่จะทำไงได้ล่ะคะ ปุ้ยไม่มีทางเลือก”
คนฟังทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าหล่อน
“เดี๋ยวฉันไปส่ง มาสิ ไปกับฉัน”
“เอ่อ…จะดีเหรอคะ”
หล่อนทำท่าลังเล ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ก่อนที่ติณณภพจะคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงลากให้หล่อนเดินตาม
“เอ่อ…คุณติณห์คะ ปุ้ยเกรงใจคุณ เดี๋ยวจะพาคุณกลับดึกแล้วคนที่บ้านจะว่าเอาได้นะคะ”
ติณณภพไม่พูดอะไร เขาเปิดประตูรถแล้วผายมือให้หล่อนเข้าไปนั่ง พิชญ์สินีทำท่าลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะยอมเข้าไปนั่งแต่โดยดี
รถคันหรูแล่นฝ่าความมืดไปบนท้องถนนที่คดเคี้ยว ระหว่างทางที่นั่งรถคู่ไปกับบอสรูปหล่อ หัวใจของพิชญ์สินีก็เต้นแรงแปลก ๆ หล่อนดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงสากลที่เปิดคลอเบา ๆ แอร์เย็นฉ่ำและบรรยากาศชวนฝันทำให้หล่อนไม่อยากให้ถึงบ้านเสียแล้ว อยากอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้ไปตราบนานแสนนาน
ในขณะที่พิชญ์สินีกำลังดื่มด่ำกับความสุข หล่อนไม่รู้หรอกว่า ในอีกมุมหนึ่งของเมืองวุ่นวาย ใครบางคนกำลังร่ำไห้ปริ่มจะขาดใจ
+++++
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง…
"อุแว้ ๆ"
เสียงร้องไห้จ้าดังมาจากเตียงคนไข้ในห้อง ๆ หนึ่ง พิมพ์ลดายืนมองลูกน้อยที่กำลังชูแขนขาร่าดิ้นไปมา ขอบตาคู่สวยร้อนผ่าวน้ำตาไหลรินเมื่อมองพยาบาลที่พยายามจะเจาะเข็มน้ำเกลือลงบนหลังมือน้อย ๆ เท่าฝาหอย หล่อนเห็นพยาบาลแทงเข้าออกอยู่หลายครั้งแต่ไม่สำเร็จเพราะหาเส้นเลือดไม่เจอ ประกอบกับเป็นเข็มแบบอ่อนจึงทำให้แทงเข้าผิวเนื้อได้ยาก ใจคอคนเป็นแม่แทบแตกสลายเพราะลูกน้อยตะเบ็งเสียงร้องไม่หยุด ร้องจนเหนื่อยหอบเสียงแหบแห้งแสนบีบหัวใจคนเป็นแม่ หากทำได้หล่อนอยากเดินเข้าไปบอกว่าให้พอเสียที คนมองใจจะขาดรอน ๆ เพราะความสงสารที่ลูกต้องมาเจ็บตัวเพราะการเลี้ยงดูของหล่อนเอง
หล่อนโทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่ดีจนป่วยหนัก หากเป็นไปได้หล่อนจะขอให้ความเจ็บนั้นมาลงที่ตนทั้งหมด จากการวินิจฉัยของแพทย์ลูกของหล่อนเป็นโรคลำไส้อักเสบต้องนอนโรงพยาบาล นอกจากนพดลที่รู้ ตอนนี้หล่อนยังไม่ได้โทร.บอกใครในบ้านแม้สักคนเดียว
ไม่มีเวลาแม้จะโทร.หาติณณภพ เพราะมัววิ่งวุ่นเกี่ยวกับการจัดการเรื่องนอนโรงพยาบาล เสร็จเรื่องก็พบว่าลูกน้อยได้รับการให้น้ำเกลือเรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่พาไปตึกผู้ป่วยเด็กเพื่อรอเคลียร์เรื่องห้องพิเศษ ทุกสิ่งอย่างหล่อนต้องวิ่งวุ่นอยู่คนเดียวไร้เงาสามีเคียงข้าง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่ทำให้หล่อนสนใจเท่าความเป็นความตายของลูก โทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อหาสามีจึงถูกซุกอยู่ก้นกระเป๋าสะพายโดยที่หล่อนไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาดู