หนึ่งชั่วโมงจากนั้นอธิปกับบัวชมพูก็ต้องเดินทักทายบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่ถูกรับแขกมาในงาน ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อพิธีกรหนุ่มเชิญบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวขึ้นเวที
อธิปหันมองไปทางหน้าเวทีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม บิดามารดากำลังคิดทำอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็เชิญแขกผู้ใหญ่สามคนขึ้นเวทีแถมยังมีโต๊ะอีกหลายตัวถูกนำไปวางไว้บนนั่นอีก
‘คุณพ่อ คุณแม่คิดจะทำอะไรกันแน่’
บัวชมพูตวัดสายตามองบิดามารดาของอธิปสลับกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอย่างครุ่นคิด เกิดอะไรขึ้นเหตุใดผู้หลักผู้ใหญ่ที่เธอรับไหว้เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงพากันเดินขึ้นบนเวที
‘พวกเขากำลังคิดจะทำอะไรกัน แล้วทำไมต้องเชิญผู้ว่าฯ นายอำเภอแล้วนายทะเบียนพร้อมกับทนายความขึ้นไปบนเวทีด้วย’
“คุณเสือ คุณพ่อคุณแม่ของคุณกำลังคิดจะทำอะไร ทำไมต้องขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับผู้ว่าฯ นายอำเภอแล้วคุณทนายความด้วย”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” อย่าว่าแต่บัวชมพูเลยที่สงสัย เขาเองก็สงสัยเหมือนกัน บิดามารดาเชิญแขกคนสำคัญขึ้นเวที คงวางแผนทำอะไรแน่
‘หรือว่า...ไม่จริงใช่ไหม อย่าบอกนะว่าพวกท่านเชิญคนเหล่านั้นไปเป็นพยานการจดทะเบียนสมรสของเขากับบัวชมพู’
“เชิญคู่บ่าวสาวขึ้นเวทีด้วยครับ”
พิธีกรหนุ่มประกาศขึ้นอีกครั้ง หลังจากบิดามารดาของคู่บ่าวสาวและแขกคนสำคัญขึ้นไปนั่งบนเวทีเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เอาไงคุณเสือ” บัวชมพูหันไปกระซิบถามอธิป ท่าทางไม่น่าไว้ใจจริงๆ ด้วย สงสัยเธอคงคิดผิดที่ช่วยเหลือบิดามารดาของเขา
“ขึ้นไปก่อนเถอะ ถ้าไม่ขึ้นไปบนเวที เราก็ไม่รู้หรอกว่าพวกท่านกำลังคิดจะทำอะไรอยู่”
อธิปบอก ยกยิ้มตรงมุมปาก สนุกแน่คราวนี้ นึกไม่ถึงว่าพวกท่านเล่นไม้นี้ คงอยากหักหน้าบิดามารดาของพรทิพาสินะถึงวางแผนให้เขากับบัวชมพูจดทะเบียนสมรสกัน
‘หึๆ ผมจะทำตามที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องการ ถึงจะทำร้ายความรู้สึกของบัวชมพูก็เถอะ แต่ผมก็ยินดีอย่างยิ่งที่จะทำตาม’
อย่างน้อยก็เป็นการแก้แค้นไปในตัว ถ้าหญิงสาวรู้ว่าเขาแต่งงานกับผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนตัวเองกับถอดพิมพ์เดียวกันออกมา เธอจะรู้สึกอย่างไร ที่สำคัญเขาคิดว่าบัวชมพูมีอะไรน่าสนใจกว่าพรทิพา
“แต่ลางสังหรณ์ของฉันบอกว่า ทันทีที่ขึ้นไปบนเวที ในอนาคตข้างหน้า ชีวิตฉันต้องวุ่นวาย ไม่มีวันจบอย่างแน่นอน” บัวชมพูบอกเสียงเครียด
อธิปยกยิ้ม เลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่นึกว่าผู้หญิงคนนี้มีลางสังหรณ์ที่แม่นเสียด้วย แต่ก็สายไปแล้ว ถ้ามาคิดยกเลิกหรือปฏิเสธในตอนนี้ เพราะทุกอย่างกำลังจบ และจบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วย
“คิดมากไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกหนูเหมียว ไปกันเถอะ ทุกคนหันมามองพวกเรากันใหญ่แล้ว”
“นี่มันชักน่าสงสัยขึ้นมาทุกทีแล้วนะ” ลางสังหรณ์ของเธอแม่นมาตลอด เพราะแบบนี้แหละถึงได้เกิดความกังวล
“เถอะน่า ไปกันเถอะหนูเหมียว” ชายหนุ่มบอกแล้วยิ้ม
บัวชมพูถอนหายใจเพื่อระบายความกังวล จับมืออธิปให้เดินกลับไปขึ้นเวทีอีกครั้ง ทั้งที่รู้สึกหวั่นอยู่ในใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
“อีกสามก้าว เลี้ยวซ้ายนะคุณเสือ” หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว บัวชมพูก็เอ่ยเตือนคนที่เดินเคียงคู่มากับเธอ
“ขอบใจนะ” ชายหนุ่มขอบคุณอย่างใจจริง
“ไม่เป็นไร อีกประมาณหกก้าวถึงบันไดทางขึ้นเวที”
“จะว่าไปเธอนี่ก็น่ารักเหมือนกันนะหนูเหมียว ที่เป็นห่วงฉันถึงขนาดนี้ น้องพลอยยังไม่เคยดูแลเอาใจใส่ฉันแบบนี้เลย”
ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มติดอบอุ่นเล็กน้อย เพราะแม้แต่พรทิพายังไม่เคยทำกริยาแบบนี้กับเขาสักครั้ง ตั้งแต่เขาประสบอุบัติเหตุหญิงสาวก็มาหาเขาน้อยลง โทร. ไปก็บอกว่าติดธุระ จนเขาตัดสินใจแต่งงานกับเธอก่อนกำหนด แต่ไม่นึกว่าเธอจะกล้าหักหลัง ทิ้งเขาไปในวันแต่งงาน
“พูดบ้าอะไรของคุณ ก็คุณมองไม่เห็นไม่ใช่หรือไง ถ้าฉันปล่อยให้คุณเดินไปเรื่อยๆ โดยไม่บอกให้รู้ เกิดคุณล้มขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”
บัวชมพูบอกเสียงเขียว ขณะก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดพร้อมกับชายหนุ่ม
“เอาล่ะครับ ตอนนี้คู่บ่าวสาวก็ขึ้นมาแล้วอยู่บนเวทีเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเมื่อเช้า เจ้าสาวเกิดไม่สบายนิดหน่อยตอนพิธีช่วงเช้า จึงไม่ได้ทำพิธีบางอย่างให้เรียบร้อย คุณพ่อคุณแม่ฝ่ายเจ้าบ่าวเลยนำมาจัดในคืนนี้”
พิธีกรหนุ่มยังอธิบายด้วยรอยยิ้ม มองแขกมาที่ร่วมงานสลับกับคู่บ่าวสาวที่เดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเขา
“เชิญคุณพ่อคุณแม่ฝ่ายเจ้าสาวขึ้นเวทีด้วยครับ เพราะต้องเป็นพยานในพิธีจดทะเบียนสมรสระหว่างคู่บ่าวสาว”
สิ้นเสียงของพิธีกรหนุ่ม บัวชมพูถึงตาเบิกกว้างตวัดสายตามองอธิปสลับกับบิดามารดาของเขาและพรทิพา เคยคิดว่าตัวเองเก่ง ฉลาดมากตลอด แต่ดันพลาดถูกซ้อนแผนเสียได้
“คุณเสือ นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ ก็ไหนคุณแค่ให้ฉันมาปรากฏตัวในงานแทนน้องพลอยของคุณเฉยๆ ไง ไม่เห็นบอกว่าฉันต้องจดทะเบียนสมรสกับคุณด้วย” บัวชมพูกระซิบถามอธิปอย่างไม่พอใจ
“เธอถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร ตลอดหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ฉันก็อยู่กับเธอตลอด ฉันก็ตกใจอยู่เหมือนกันที่คุณพ่อ คุณแม่เอาพิธีที่เหลือในช่วงเช้ามาต่อในคืนนี้”
ตัวเขาเองไม่คิดเหมือนกันว่าบิดามารดาคิดให้เขาจดทะเบียนสมรสกับบัวชมพู ทั้งที่ตอนแรกพวกท่านต้องการเพียงให้งานแต่งในครั้งนี้จบลงด้วยดีก็เท่านั้น หรือเกิดติดใจอยากได้บัวชมพูมาเป็นสะใภ้จริงๆ
“คืนนี้พวกเราทุกคนจะมาเป็นสักขีพยานในการจดทะเบียนสมรสระหว่างคุณอธิปกับคุณพรทิพานะครับ เชิญคู่บ่าวสาวนั่งตรงนี้เลยครับ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว เชิญครับ” พิธีกรหนุ่มหันมาบอกคู่บ่าวสาว
คู่บ่าวสาวยังยืนเงียบ โดยเฉพาะบัวชมพูที่ยังอึ้งทำอะไรไม่ถูก จนคุณอติเทพกับคุณขวัญฤดีเดินเข้ามารั้งให้บุตรชายและลูกสะใภ้เดินมานั่งยังเก้าอี้ที่จัดเตรียมเอาไว้
“คุณป้าค่ะ ทำไมต้องจดทะเบียนสมรสด้วย ตอนที่คุยกันคุณป้าไม่เห็นบอกเหมียวเลยว่าเหมียวกับคุณเสือต้องจดทะเบียนกัน” บัวชมพูกระซิบถามคุณขวัญฤดีเมื่อได้สติเมื่อถูกรั้งให้มานั่งที่เก้าอี้
“เราต้องทำให้ครบพิธีนะหนูเหมียว ช่วยเหลือป้าอีกครั้งนะลูก เสร็จงานแล้วค่อยเซ็นหย่ากันก็ได้นิจ้ะ”
หญิงสูงวัยหันมากระซิบบอกอย่างอ่อนโยน ท่านรู้ดีว่าทำแบบนี้เป็นการเอาแต่ใจไปหน่อย แต่ท่านไม่ต้องการให้บุตรสาวคนโตของคุณไตรภพกับคุณอริสรากลับมาหาบุตรชายท่านอีก
“แต่เหมียวจะเซ็นชื่อยังไงล่ะค่ะ ในเมื่อเหมียวไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริง แล้วถ้าเหมียวเซ็น เหมียวเอาชื่อของพรทิพามาเซ็นได้หรือค่ะ”
“ใช้ชื่อหนูเหมียวเลยจ้ะ เอาชื่อหนูพลอยมาเซ็นไม่ได้หรอก เพราะป้าไม่รู้ว่าที่หนูพลอยหนีงานแต่งไปเป็นเพราะอะไรกันแน่ ป้าว่าหนูเหมียวใช้ชื่อจริงของหนูเหมียวเลยดีกว่า ตอนหย่าจะได้สะดวกด้วย”
หญิงสูงวัยพยายามเกลี้ยกล่อมหญิงสาวที่ท่านอยากได้เป็นลูกสะใภ้แทนว่าที่ลูกสะใภ้คนเก่าอย่างสุดความสามารถและดูเหมือนว่าสิ่งที่ท่านต้องการเริ่มเป็นจริงขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าลังเลจากใบหน้างาม
“ก็ได้ค่ะ”
บัวชมพูรับคำอย่างกังวล ถึงไม่อยากจดก็คงต้องจด ดันบ้าร่วมแผนการนี้มาตั้งแต่แรก ถ้าไม่จดก็ต้องถูกซุบซิบนินทาจากแขกที่มาในงาน เผลอๆ เรื่องอาจลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้
คุณไตรภพมองการกระทำของคุณขวัญฤดีอย่างรู้สึกไม่พอใจ เหตุใดต้องให้เด็กสาวคนนี้จดทะเบียนสมรสกับลูกเขยของท่านด้วย ถึงเป็นลูกสาวที่ท่านทิ้งไปในอดีตก็ตามที เพราะตอนนี้ท่านกับบุตรสาวคนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ดูจากท่าทีก่อนหน้านี้ท่านก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ท่านหวังจะไม่มีวันเป็นจริง
การร่วมมือทางธุรกิจระหว่างสองตระกูลที่ท่านเคยหวังจะไม่เกิดขึ้น ถึงอยากคัดค้านแค่ไหนท่านก็ไม่สามารถทำได้ คงต้องปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน แล้วค่อยไปตกลงกันที่หลัง
อธิปเซ็นชื่อลงในใบทะเบียนสมรสตามที่มารดาบอกอย่างไม่อิดออด เพราะเขาก็อยากแก้แค้นคนรักที่ทอดทิ้งเขาไปเช่นกัน ถึงจะไม่มากแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ถึงการทำแบบนี้เหมือนเด็กเอาแต่ใจไปหน่อย
แต่เขาอยากเรียนรู้นิสัยของบัวชมพูมากกว่า อยากรู้ว่าสิ่งที่บิดามารดาของหญิงสาวพูดเป็นเรื่องจริงแค่ไหน
สำหรับเขาแล้วเรื่องที่หมอดูทำนายเขาก็ไม่เชื่อ หากเขาใช้ชีวิตคู่กับบัวชมพูจริง คำทำนายเหล่านั้นจะทำลายตระกูลเลิศภาณิชย์เหมือนกับตระกูลสิริกรหรือเปล่า เขาอยากพิสูจน์ดู
“เซ็นสิจ้ะหนูเหมียว” คุณขวัญฤดีร้องเตือนลูกสะใภ้
บัวชมพูถอนหายใจพลางยื่นมือไปหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเซ็นลงในใบทะเบียนสมรสเสร็จก็ยื่นคืนให้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ถ้าให้เดาชายวัยกลางคนผู้นี้คงถูกเชิญมาจากสำนักงานเขต
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเมื่อรับใบทะเบียนสมรสคืนจากคู่บ่าวสาว แม้แปลกใจนิดหน่อยที่ชื่อของเจ้าสาวเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจ
“ยินดีด้วยนะครับ ขอให้มีความสุขกับชีวิตแต่งงาน”
“ขอบคุณครับ/ขอบคุณค่ะ” คู่บ่าวสาวเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
“เอาล่ะครับ พิธีจดทะเบียนสมรสก็เสร็จสิ้นแล้ว อีกไม่นานก็ถึงฤกษ์ส่งตัวคู่บ่าวสาว แต่คืนนี้พวกเรายังไม่ได้ฉากโรแมนติกของทั้งคู่เลย เมื่อกี้บรรดาเพื่อนสนิทของคู่บ่าวสาวเรียกร้องกันขึ้นมาว่าอยากเห็นจูบหวานๆ จากเจ้าบ่าวและเจ้าสาวอีกสักครั้ง ก่อนส่งตัวพวกเขาเข้าหอ”
พิธีกรหนุ่มประกาศด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเมื่อหันไปมองคู่บ่าวสาว ซึ่งตอนนี้ลุกจากเก้าอี้หลังจากเสร็จพิธีจดทะเบียนสมรส
บัวชมพูได้แต่ถอนหายใจอย่างเครียดๆ สวรรค์ต้องกลั่นแกล้งเธอแน่ ถึงทำให้เธอตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ การแต่งงานเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด ไม่น่าใจอ่อนกับคำขอร้องของมารดาอธิปเลย ไม่เพียงซวยเรื่องที่ต้องจดทะเบียนกับเขา แต่เธอยังต้องแสดงฉากหวานแหววกับเขาอีก
‘ดวงซวยสุดๆ เลยนะเนี่ย’
“จะให้ฉันจูบเธอหรือเธอจะจูบฉัน” อธิปก้มหน้ากระซิบถาม
“ไม่เอาตั้งสองอย่างได้ไหม ทำไมต้องจูบกันด้วย แค่ให้ฉันจดทะเบียนสมรสก็ช็อกพออยู่แล้ว นี่จะให้ฉันจูบคุณอีกเหรอ” คนที่คิดว่าสวรรค์กลั่นแกล้งกระซิบตอบกลับอย่างขุ่นเคือง
“ถ้าไม่ทำตามคำขอของเพื่อนเธอและเพื่อนฉัน เห็นทีคืนนี้พวกเราคงไม่ได้ออกไปจากห้องจัดเลี้ยงนี้แน่” อธิปอธิบายพลางยิ้มเต็มหน้า
“แต่นี่มันจูบแรกของฉันเลยนะคุณ ทำไมฉันต้องเสียจูบแรกให้กับคนที่ฉันไม่ได้รักด้วย” บัวชมพูระบายออกมาเสียงเครียด
‘จูบแรกด้วยเหรอ ยัยนี่หัวโบราณจริงๆ ยังมีผู้หญิงแบบนี้อยู่ในโลกอีกหรือ ฉันล่ะไม่อยากเชื่อเลย ให้ตายสิ!’
อธิปคิดอย่างขำๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากหัวเราะให้อกแตกตายไปเลย ทว่าเขาก็ไม่อาจทำตามที่คิดได้ เพราะถ้าขืนทำแบบนั้นจริง เขาอาจเจ็บตัวหรือไม่ก็กลายเป็นคนทำลายงานแต่งในครั้งนี้ด้วยตัวเขาเอง
“ยิ้มอะไรของคุณ” บัวชมพูถามอย่างเคลือบแคลงใจ
“เปล่านิ ตกลงจะให้ฉันจูบเธอหรือเธอเป็นจูบฉัน แขกในงานคงสงสัยแล้ว ถ้าพวกเรายังขืนยืนซุบซิบกันแบบนี้ รีบๆ จูบกันแล้วลงจากเวทีกันเถอะ ฉันไม่อยากตกเป็นเป้าหมายให้คนพาไปนินทา” ชายหนุ่มบอกเสียงทุ้ม
“ทำไมฉันถึงดวงซวยแบบนี้ เอาเถอะ...ยังไงมันก็ช่วยไม่ได้แล้วนิ เพราะฉันดันโง่รับปากที่จะช่วยให้งานแต่งของคุณจบลงด้วยดี”
ต่อไปเธอจะไม่มีวันใจอ่อนกับเด็กและคนแก่อีกแล้ว ไม่งั้นเธออาจเจอเรื่องบ้าๆ เช่นนี้อีกก็ได้ หญิงสาวขยับกายเล็กน้อยแล้วรั้งต้นคอแกร่งของเจ้าบ่าวเข้ามาใกล้ ประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากหยักได้รูป
ฉับพลันเสียงโห่ร้องจากบรรดาเพื่อนสนิทของคู่บ่าวสาวก็ดังลั่นห้องจัดเลี้ยง เพราะไม่คิดว่าเจ้าสาวจะลงมือโน้มต้นคอเจ้าบ่าวลงมาแสดงฉากหวานที่ทุกคนภายในงานต่างตั้งตารอ
*******