รองใต้ร่างของเธอและเขา แลเห็นสายรุ้งรำไร ดวงดาวผุดพราย และสะพานทอดยาวไปสู่ประตูสวรรค์คล้ายภาพลวงตา พร่าเลือนอยู่ตรงหน้า หากความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงความมีอยู่จริงของมัน
เดลรีบเร่งจังหวะเพื่อส่งเธอไปสู่อีกความรู้สึก หล่อนส่งสัญญาณด้วยการจิกปลายเล็บจนเจ็บเนื้อ ทว่าเดลก็เต็มใจที่จะรับความเจ็บปวดนั้นไว้ กระทั่งเสียงหายใจของเธอและเขาขาดหายไปเป็นห้วงๆ กระท่อนกระแท่นเหมือนหัวใจจะขาด
จากนั้นไม่นาน โซเฟียก็เป็นฝ่ายปลดปล่อยเสียงครางยาวออกมาก่อน แผ่วเบาจนเกือบกลืนกลบไปกับเสียงลมที่พัดอื้ออึงอยู่ภายนอก ในหูของเธอได้ยินแต่เสียงบทเพลงที่บรรเลงจากเครื่องดนตรีอันประกอบขึ้นด้วยเนื้อกระทบเนื้อ
เดลเหมือนคนอดอยาก ทุกรอยประทับของเขาที่ฝากเอาไว้ จึงแน่นหนักจนริมฝีปากของเธอเผยออ้า กัดเม้มกลีบปากของตัวเองไปมา พยายามกลืนเสียงครางลงลำคอไปช้าๆ มือน้อยๆไขว่คว้าได้แต่ต้นคอหนาและแผ่นหลังเรียบลื่นชื้นเหงื่อของเขา
มือสากใหญ่ของเดลคลึงเคล้าเต้าทรวงสล้างทั้งสองข้างของเธอ บีบจนหนั่นเนื้อปูดปลิ้นออกมาตามช่องว่างระหว่างซอกนิ้ว สลับกับก้มลงเชยชมทั้งซ้ายขวา นึกในใจว่าไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตนี้ ที่เขารู้สึกอิ่มหนำในเนื้อหนังมังสาของเธอถึงเพียงนี้
อยู่ๆ…ในจังหวะที่เสียงหัวเตียงกำลังกระทบกระแทกผนังอยู่นั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงที่เดินร้องเพลงเข้ามาช้าๆด้วยอาการเริงร่าอารมณ์ดี ก็ดังแว่วมาจากหลังครัว
“แม่คะ…ทำอะไรอยู่คะ หม้อไหม้หมดแล้วค่ะ”
ซาบรีน่าทำจมูกฟุดฟิดกับกลิ่นซุปข้าวโพดที่แห้งกรังอยู่ในหม้อ กลิ่นไหม้ลอยกรุ่นไปทั้งหลังครัว แลเห็นควันสีขาวพวยพุ่ง กระเจิงกระจาย คลุ้งอยู่ในบรรยากาศใกล้ค่ำ ลอยขึ้นสู่เพดานครัวที่เต็มไปด้วยเขม่าฟืนจับเป็นคราบอยู่ใต้หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำ
โซเฟียตกใจ รีบผลักร่างของเดลที่คว่ำหน้า หายใจรวยริน รดซอกคอของเธออยู่
“ฉันรักเธอ” เดลซึ่งอยู่ในอาการของคนที่ยังไม่หมดความในใจ รีบกล่าวคำนั้นออกมา ราวกับกลัวว่าชายอื่นจะชิงตัดหน้าเขาเสียก่อน อยากให้เธอรู้ว่าสิ่งที่เขาและเธอได้ทำร่วมกัน มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความต้องการและความอ้างว้างเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดจากความรัก
เดลครุ่นคิดอยู่ในใจว่าอีกสองเดือนข้างหน้า เมื่อเสร็จงาน…เขาจะรีบกลับมาขอเธอแต่งงานทันที
“…….” โซเฟียไม่ได้กล่าวอะไร เธอนิ่งเหมือนทุกครั้งเมื่อเดลเอ่ยถึงความรัก จากนั้นจึงรีบคว้าเสื้อมาใส่
เดลพลิกร่างเปลือยล่อน นอนหงาย พ่นลมหายใจรวยริน รู้สึกโปร่งโล่ง สบายเนื้อสบายตัวขึ้นนมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเรือสำราญลำใหญ่ได้แล่นเข้าจอดเทียบท่า รอให้คลื่นลมแห่งความปรารถนาค่อยๆสงบลง
ขณะปลายจมูกยังได้กลิ่นสวาทคละคลุ้ง เหลือบสายตามองตามสะโพกผายของโซเฟียที่สะบัดผ่านประตูห้องออกไปด้วยความรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยหยัดร่างขึ้นนั่ง ก้าวเดินไปที่ท้ายเตียง ก้มลงคว้ากางเกงที่กองอยู่กับพื้นขึ้นมาสวมใส่ สวมเสื้อ แล้วก้าวออกมาจากห้องนอน เดินตามโซเฟียไปที่หลังครัว
“ลุงเดล” น้ำเสียงหวานใสของเด็กหญิง ตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดังลั่น ประกายตาสดใสบ่งบอกถึงความดีใจที่เห็นเขายังไม่กลับ
“ได้ขนมสมใจแล้วละสิ” เดลส่งยิ้มตอบซาบรีน่า
เด็กหญิงทำหน้าเป็น หันมาอวดลูกกวาดที่เพิ่งไปซื้อมาจากร้านขายของชำ โซเฟียรีบยกหม้อซุปที่เคี่ยวข้นจนไหม้ ลงจากเตาไฟ ทอดสายตามองดูอาหารมื้อค่ำ ซึ่งเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่มี จากนั้นก็ส่ายศีรษะเบาๆ
“วันนี้คงต้องกินซุปไหม้แล้วหละลูก”
น้ำเสียงของโซเฟียเต็มไปด้วยความสำนึกผิด เธอไม่ควรเร่งรีบไปกับเดล ไม่ควรเผลอเลอถึงเพียงนี้ แต่ดวงตาของซาบรีน่าก็ไม่ได้แสดงความผิดหวังแต่อย่างใด ท่าทางของเธอสนใจขนมที่เพิ่งซื้อมา มากกว่าซุปไหม้ที่แม่กำลังบ่นถึง
เดลก้าวออกมาทันเห็นภาพ และได้ยินประโยคที่โซเฟียกล่าว
“ใครว่ามื้อนี้จะมีแต่ซุปไหม้?...” เขาเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ดวงตาของเขายิ้มได้
ซาบรีน่าทำตาโต ราวกับคาดเดาได้ว่าเดลหมายถึงสิ่งใด
“หมายความว่ายังไงคะ…ลุงเดล” คิ้วน้อยๆขมวดมุ่น ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
เดลยิ้มแทนคำตอบ ปล่อยให้ซาบรีน่ามองตามร่างสูงใหญ่ของตน เดินลับหายไปที่หน้าบ้าน ตรงไปยังม้าซึ่งผูกล่ามเอาไว้ ชั่วอึดใจก็แลเห็นร่างสูงใหญ่ ก้าวไหวๆกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาลในมือ
“ลุงเดล…”
ซาบรีน่าร้องเสียงดังด้วยความดีใจ กระโดดโลดเต้นพร้อมกับวิ่งเข้าไปรับขนมปังในถุงกระดาษสีน้ำตาลจากมือของเดล มาอุ้มเอาไว้ด้วยมือน้อยๆของเธอเอง
ตอนมาถึง เดลรีบร้อนจนลืมของฝาก
หลังอาหารค่ำซึ่งดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แววตาของซาบรีน่าดูมีความสุขกว่าทุกวัน…ในวันที่ครอบครัวอยู่เกือบพร้อม ทั้งตัวเอง แม่ และลุงเดล
แม้เดลจะไม่ใช่พ่อ หากทุกครั้งที่เดลมา ซาบรีน่าก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด บางทีซาบรีน่ารู้สึกอบอุ่นมากกว่าตอนที่คีธซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของเธออยู่ด้วยซ้ำ
ที่หน้าบ้าน โซเฟียทอดกายอยู่บนเก้าอี้ไม้สีซีดเก่า สายตาเหม่อลอยไปที่หน้าฟาร์ม ขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดโรยตัวไปทั่วทุกหัวระแหงของฟาร์ม โลกที่ไร้แสงสว่าง ช่างดูหดหู่ ซึมเซา ไม่ว่าจะกวาดสายตามองไปทางไหน ยิ่งรู้สึกถึงความเปล่าเปลี่ยว ราวกับว่าชีวิตของเธอและลูกกำลังถูกคนทั้งโลกทอดทิ้ง
โซเฟียรำพึงออกมาเป็นเสียงถอนใจเบาๆ
เดลเดินมาทันได้ยิน เขาทรุดร่างสูงใหญ่ลงบนเก้าอี้อีกตัวที่ยังว่าง มองดูเธอทอดสายตาอาลัยให้กับผืนฟาร์มที่กำลังจะร้างลงในเร็ววัน
แม้เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาแห่งความสุขมาได้ไม่นาน ทว่าเดลก็จับความรู้สึกเศร้าที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาคมประกายของโซเฟียได้ อดไม่ได้ให้นึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินว่า ‘ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน’
“มีข่าวเศร้า...เรื่องคีธ” เขาเปรยขึ้นลอยๆ สายตาห่วงใยลอบชำเลืองรอดูว่าเธอจะทำสีหน้าเช่นไร
เดลนิ่งรออยู่ชั่วครู่ ฆ่าเวลาในช่วงสั้นๆด้วยการควักบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางลงบนโต๊ะ
โซเฟียดึงบุหรี่ในซองที่เดลเพิ่งวางเอาไว้ออกมาจุดสูบ ทั้งที่จริงเธอสูบไม่เป็น แต่ทำไปเพียงต้องการประชดประชันชีวิตมากกว่า
เดลแปลกใจที่เห็นเธอไม่แสดงอารมณ์ยินดียินร้ายกับข่าวของคีธผู้เป็นสามี แต่เขาก็ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาจากนายอำเภอ
“มีคนลือกันว่ามีการดักปล้น”
“ที่ไหน” เธอถาม น้ำเสียงไม่ได้แสดงอาการอยากรู้นัก
“ที่คิมเบอร์เลย์ เกิดเหตุยิงกันตายนั่น” เดลบอก มองดูโซเฟียสำลักควันบุหรี่ค่อกแค่ก ก่อนจะเอื้อมเขี่ยก้นบุหรี่ลงในขวดน้ำอัดลมที่มีก้นบุหรี่เก่าๆของเดล ทับถมกันอยู่ในนั้น
คีธเป็นสามีของโซเฟีย เขาหายสาบสูญไปเกือบปี ภายหลังจากรับงานไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์จากนายทุนคนหนึ่ง เพื่อจะย้ายฝูงสัตว์ไปยังที่ราบสูงคิมเบอร์เลย์
แต่มีข่าวน่าเศร้าออกมาในภายหลังว่าการเดินทางในครั้งนั้น กองคาราวานที่มีคีธร่วมอยู่ด้วย ถูกกองโจรดักปล้น