“พวกนางอาจตื่นเต้นที่วันนี้มีแขกมาก เหนียนเอ๋อร์ของพ่องดงามทั้งยังอ่อนน้อม ย่อมไม่มีผู้ใดกล่าวโทษเจ้าอยู่แล้ว” ชายร่างท้วมวัยกลางคนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก
จางอวี้ได้ทีรีบพูดผสมโรง “เหนียนเหนียน สิ่งใดไม่น่ามอง เจ้าก็อย่าได้สนใจเลย เสียสายตาเปล่าๆ”
“อาอวี้” ซีเซี่ยเอ็ดชายหนุ่มเสียงเบา ถึงจะไม่ชอบพอสองแม่ลูก แต่ถึงอย่างไรจางอวี้ก็เป็นบุตรชายคนโตของสกุลจาง อย่างน้อยต่อหน้าผู้อื่นก็ควรวางตัวสุขุมดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม กลับไปคงต้องอบรมกันอีกยาว
“ฮูหยินซ่งมาถึงแล้ว จวนจะถึงฤกษ์พอดี พ่อจะพาเจ้าไปคารวะฮูหยินซ่ง”
ตัวเอกของงานย่อกายแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานให้บิดา “เจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
ฮูหยินซ่งเป็นภรรยาเอกของเจ้ากรมโยธาซึ่งเป็นขุนนางขั้นที่สอง ในพิธีปักปิ่น บ้านของหญิงสาวที่ถึงวัยปักปิ่นจะเชื้อเชิญสตรีผู้ใหญ่ที่ครอบครัวนับถือ มีหน้ามีตาในสังคม หรือผู้ที่มีฐานะดี มาจากตระกูลดีและมีชีวิตคู่ร่วมกับสามีที่สมบูรณ์มาเป็นผู้ปักปิ่นให้
ในงานปักปิ่นของจางเหม่ย บุตรสาวคนโตของเจ้าคฤหาสน์เมื่อสองปีก่อน เนื่องจากฮูหยินซ่งไหว้พระถือศีลอยู่ต่างเมืองจึงไม่ได้มาร่วมงาน ผู้ที่ปักปิ่นให้จางเหม่ยจึงเป็นเพียงฮูหยินของขุนนางขั้นสาม
ก่อนหน้านี้จางเหนียนยังไร้เดียงสาจึงไม่ได้คิดมาก ทว่าต่อให้มารดาของจางเหม่ยจะเป็นฮูหยินสี่ที่แต่งเข้ามาทีหลัง นางก็คงอดรู้สึกน้อยใจแทนบุตรสาวไม่ได้อยู่ดี
หลังจากทำความเคารพและขอบคุณฮูหยินซ่งอย่างพอเป็นพิธีแล้ว ดวงตาดอกท้อก็เริ่มกวาดตามองไปรอบๆ เมินเฉยต่อสายตาบุรุษคุณชายมากมายที่มองตามนางอย่างเปิดเผย กลับไม่พบโจวอี๋ ฮูหยินสี่กับจางเหม่ย
“ชิวชิว”
สาวใช้คนสนิทปรี่เข้ามาหาจางเหนียนพลางกระซิบถามเสียงเบา “เจ้าคะ คุณหนู”
“ข้าไม่เห็นท่านแม่สี่กับพี่หญิงใหญ่ เจ้าลองไปดูหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชิวชิวตอบรับเสร็จก็เดินผละออกห่าง แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ร่วมพิธีสำคัญ ทว่านางก็เชื่อว่าในอนาคตย่อมต้องมีโอกาสได้อยู่ร่วมเหตุการณ์ต่างๆ อีกอย่างแน่นอน
จางเหนียนมองตามแผ่นหลังของสาวใช้ที่กลืนหายไปกับฝูงชน คิดว่าหลังจากนี้นางจำเป็นต้องหาผู้ที่จะมาเป็นหูตาและมือเท้าให้เพิ่ม ทว่าคนในจวนส่วนใหญ่ต่างก็มีนายเป็นตัวเป็นตนกันหมด ดังนั้นการออกไปหาจากข้างนอกคงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
ซีเซี่ยเห็นบุตรสาวขมวดคิ้วครุ่นคิดก็เดินมาแตะไหล่บาง เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอย่างไร ตื่นเต้นหรือไม่”
นางหันไปส่งยิ้มให้มารดา “ตื่นเต้นมากเจ้าค่ะ”
“รูปวาดบนหน้าผากนี่เจ้าวาดเองหรือ”
“เจ้าค่ะ มันมีชื่อว่าฮวาเตี้ยน งามหรือไม่”
“อืม” ผู้เป็นมารดาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “งามมาก”
แม้สีหน้าของจางเหนียนจะไม่แสดงถึงความตื่นเต้นกับการคิดค้นของตนเองมากนัก แต่ผู้มากประสบการณ์อย่างซีเซี่ยกลับคิดว่าต่อไปภายภาคหน้า สิ่งที่บุตรสาวของนางคิดค้นน่าจะเป็นที่นิยมในหมู่สตรีชนชั้นสูงในเมืองหลวง
“หากท่านแม่ชอบ ไว้คราวหน้าข้าช่วยวาดให้ท่านด้วยดีหรือไม่”
“ได้ แล้วแม่จะรอ”
ฮูหยินสามแห่งคฤหาสน์ไม่ใช่คนโง่งม นางมองออกว่าจางเหนียนที่เคยอ่อนแอไม่สู้คนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้นางมีความหวังและมีกำลังใจที่จะปกป้องบุตรสาวมากขึ้น
“แม่รู้ว่าเจ้าไม่คุ้นเคยกับสายตามากมายที่จ้องมองมา แต่เหนียนเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้าปรากฏตัวในงานเลี้ยงแบบนี้ แม่คิดว่า...เจ้าคงตัดสินใจแล้ว”
“ท่านแม่...” จางเหนียนบีบมือมารดาทีหนึ่ง ในใจอัดอั้นไปด้วยคำพูดมากมาย หากก็ไม่สามารถเอ่ยปากออกไปได้
ถ้าซีเซี่ยทราบว่าการย้อนเวลาเกิดใหม่ที่ผ่านมานางต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดมามากเพียงไร คาดว่าอีกฝ่ายคงอยากให้นางออกไปใช้ชีวิตอย่างมีอิสระอยู่ข้างนอกอย่างมีความสุข มากกว่าต้องมาต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในคฤหาสน์สกุลจางแห่งนี้
ในเมื่อนางต้องการช่วยชีวิตมารดาโดยการกำจัดจ้าวชวนกับจางลี่ และช่วยมิให้พี่ชายใหญ่แต่งงานกับพี่สะใภ้คนเดิม การอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลจางจึงถือเป็นเรื่องจำเป็น
ยกโทษให้เหนียนเอ๋อร์ด้วยท่านแม่...เหนียนเอ๋อร์ยังบอกความจริงกับท่านไม่ได้
สตรีร่างบางคิดในใจก่อนจะยกยิ้มบาง “ข้าเพียงแค่ไม่อยากทำสิ่งที่จะทำให้ท่านต้องกังวลใจ”
“เหนียนเอ๋อร์...” ขอบตาของซีเซี่ยร้อนผ่าว “หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เจ้าสามารถมาหาและปรึกษาแม่ได้เสมอ เราสองคนแม่ลูกมีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน”
“ท่านแม่ช่วยข้ามามากแล้ว ข้าอยากเป็นที่พึ่งพิงให้ท่านได้บ้าง”
“เด็กโง่” ซีเซี่ยลูบแผ่นหลังจางเหนียนแผ่วเบา “ต่อให้เจ้ายิ่งใหญ่เทียมฟ้าก็ยังถือว่าเป็นเด็กน้อยในสายตาแม่อยู่ดี”
“จริงด้วย” นัยน์ตาของหญิงสาวหลุบลงน้อยๆ เผยให้เห็นแผงขนตางอนยาว ริมฝีปากที่อมยิ้มส่งผลให้ใบหน้าดูอ่อนหวานเป็นพิเศษ “เด็กโง่คนนี้พร้อมที่จะเชื่อฟังท่านแม่อยู่แล้ว”
ในระหว่างที่สองคนแม่ลูกพูดคุยกัน สาวใช้ผู้หนึ่งก็เดินมาหาพวกเขาทั้งสอง “คุณหนูรองเจ้าคะ ได้เวลาแล้ว”
นางกล่าวจบก็ผายมือไปยังกลางห้องโถงซึ่งบัดนี้มีการปูพรมแดง ตั้งเก้าอี้และโต๊ะคันฉ่อง ด้านฮูหยินซ่งเองก็พร้อม คาดว่าคงถึงฤกษ์อันเป็นมงคลยาม
“ข้าไปก่อนนะท่านแม่” จางเหนียนหันไปกล่าวกับซีเซี่ย
“อืม รีบไปเถิด”
ซีเซี่ยทอดมองแผ่นหลังของสตรีร่างบางที่หันหลังจากไป สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเยือกเย็นที่แผ่ออกมา
คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วภายในวันเดียวได้อย่างไร ไม่แน่ว่าชิวชิวซึ่งคอยรับใช้อย่างใกล้ชิดอาจรู้
ฮูหยินสามแห่งคฤหาสน์สกุลจางคิดในใจ ขณะเปรยตามองผู้คนที่มาร่วมงาน ในระหว่างที่จางเหนียนทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้รอฮูหยินซ่งปักปิ่น เสียงซุบซิบของคุณชายและฮูหยินต่างๆ ก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย ทุกสายตาคอยมองดูการเคลื่อนไหวของจางเหนียนทุกย่างก้าว ราวกับคนอื่นๆ ในตระกูลจางซึ่งมาร่วมงานในวันนี้ไม่มีความหมาย
“ท่านแม่”
ซีเซี่ยเอียงหน้ามองไปด้านข้าง จางอวี้มีสีหน้าบูดบึ้งทั้งที่เป็นวันสำคัญของน้องสาว
“ดูทำหน้าเข้าสิ ประเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิด หาว่าคุณชายใหญ่สกุลจางท้องผูก ขับถ่ายไม่คล่องเข้าหรอก”
“เหนียนเหนียนเปิดตัวในวันปักปิ่นอย่างงดงามพรั่งพร้อมเช่นนี้ บุรุษและฮูหยินจากหลายตระกูลที่เป็นแขกต่างจับจ้องนางตาเป็นมัน คาดว่าข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับนางที่เคยเป็นขี้ปากของชาวบ้านคงหายเป็นปลิดทิ้ง” ชายหนุ่มพูดจบก็หน้าบูดกว่าเดิม
“แบบนั้นก็ดีแล้วมิใช่หรือ”
“จะดีได้อย่างไร!” จางอวี้กัดฟันกรอด “หากมีคนมาสู่ขอนางเร็วๆ นี้จะทำอย่างไรเล่าท่านแม่!”
“เจ้าอย่าไร้เหตุผลจะได้ไหม สักวันหนึ่งเหนียนเอ๋อร์ก็ต้องแต่งงานมีครอบครัว เจ้าเอาแต่หวงน้องสาวเช่นนี้คงทำให้พ่อของเจ้าไม่พอใจ บางที...ข้าอาจต้องกระตือรือร้นในการหาภรรยาให้เจ้าแต่งเข้ามาเร็วๆ นี้แล้วกระมัง”
จางอวี้ฟังแล้วถึงกับขนลุกซู่ “แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากนะท่านแม่”
“บุรุษที่แต่งงานมีครอบครัวย่อมเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่” นางหรี่ตามอง “และข้าก็รอดูเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่แทบไม่ไหวแล้ว”
คำพูดดังกล่าวส่งผลให้ไหล่ที่ผึ่งผายของชายหนุ่มตกลงมา ดูไม่ต่างจากคนหดหู่และสิ้นหวัง
“หากข้ายังไม่แต่งงาน... เหนียนเหนียนก็คงไม่ต้องรีบแต่งงานออกเรือน” จางอวี้พึมพำกับตนเอง ก่อนจะหันไปยกยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ฮูหยินสาม “ท่านแม่ ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของท่าน แต่เรื่องภรรยาในอนาคตของข้า ข้าต้องการเสาะหาด้วยตนเอง หากพบเมื่อไรจะรีบมาแจ้งให้ท่านทราบทันที”
“หืม...” ซีเซี่ยลากเสียงยาวอย่างสนใจ “หากเจ้าอยากทำเช่นนั้นก็ตามใจ แต่อย่าปล่อยให้แม่กับพ่อของเจ้ารอนานนักล่ะ”
คุณชายใหญ่ยกยิ้ม “ตกลงขอรับ”