ตอนที่ 7 ป่าคือแหล่งอาหาร

2014 คำ
จิ้งหรีดคือแหล่งโปรตีนชั้นดี ในยุคที่ฝูเฟยเมี่ยวจากมานั้นมีการนำจิ้งหรีดไปผลิตโปรตีนผงสำเร็จรูปหลายยี่ห้อ นางเคยตามไปดูแลดาราในสังกัดถ่ายทำรายการเกษตรยุคใหม่อยู่บ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งที่นางจำได้ไม่เคยลืม คือ การสอนให้เลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อการค้า ฝูเฟยเมี่ยวยังคงจดจำได้ทุกกระบวนการขั้นตอน จิ้งหรีดนั้นเลี้ยงง่าย โตเร็ว ใช้เวลาเพียงแค่ 1เดือน ถึง เดือนครึ่งก็นำมากินได้แล้ว เพียงแต่…ตอนนี้นางจะหาไข่จิ้งหรีดจำนวนมากๆ มาจากที่ใดกันล่ะ ยุคสมัยนี้ไข่จิ้งหรีดมิใช่หาซื้อได้ง่ายเหมือนโลกอนาคตด้วยสิ “ก่อนอื่น เราต้องมีไข่ของจิ้งหรีดสินะ” ฝูเฟยเมี่ยวพูดกับตนเองพลางมุ่นหัวคิ้ว นางต้องไปหาจับจิ้งหรีดตัวเมียเพื่อมาเป็นแม่พันธุ์ ต้นยามซวี (19.00-20.59น.) คืนนี้พระจันทร์สีเงินยวงเกือบจะเต็มดวง ดวงดาราแข่งกันเปล่งแสงระยิบระยับดูละลานตา ลมเย็นพัดมาหอบหนึ่ง โชคดียิ่งนักที่ป้าเจินนั้นอาสามาดูเจ้าก้อนแป้งให้ ฝูเฟยเมี่ยวจึงพาฝูฟางหรงลงจากเรือนโดยมีตะเกียงส่องทางให้ความสว่าง กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก! “ท่านแม่ เสียงจิ้งหรีดทางนั้นเจ้าค่ะ” กริ๊ก กริ๊ก! “ทางนั้นก็มีเจ้าค่ะ” “กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก! “อุ๊ย!ทางนั้นเสียงดังเลยเจ้าค่ะ ท่าจะมีหลายตัว” เสียงจิ้งหรีดดังระงมไปทั่วทุ่งนาที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองโชคดียิ่งนักที่มีเรือนตั้งอยู่กลางทุ่งนาเช่นนี้ ไม่ต้องเข้าไปหาจับจิ้งหรีดในป่าในเวลาค่ำคืน “ฟางหรง เจ้าถือถุงตาข่ายและตะเกียงดวงน้อยนี่เอาไว้ และยืนอยู่ตรงนี้นะ เดี๋ยวแม่จะไปจับจิ้งหรีด ตอนนี้มันมืด เจ้าจับพวกมันไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะตกคันนาไป” เด็กน้อยพยักหน้าว่าเข้าใจ ฝูเฟยเมี่ยวใช้มือข้างหนึ่งถือตะเกียงอีกดวงนำหน้าตน ครั้นพอมองเห็นจิ้งหรีดนางก็กระโจนเข้าจับ มองดูชุลมุนวุ่นวาย สองแม่ลูกส่งเสียงหัวเราะกันคิกคัก ผ่านไปครึ่งชั่วยามฝูเฟยเมี่ยวก็พาบุตรสาวกลับขึ้นเรือน เพราะเกรงว่ามันจะดึกเกินไปสำหรับป้าเจิน ระหว่างทางที่เดินบนคันนาไปถึงบริเวณเรือนมีเสียงจิ้งหรีดร้องสลับหยุดเป็นระยะๆ “ท่านแม่ จิ้งหรีดมันร้องเพลงเพราะจังเจ้าค่ะ” เด็กน้อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงใสราวกับแก้วเจียระไน ฝูเฟยเมี่ยวหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ยบอก “เสียงที่เราได้ยินน่ะ มิใช่เสียงร้องเพลงจากปากของพวกมันหรอก แต่เป็นเสียงที่จิ้งหรีดขยับปีกต่างหากล่ะ ไม่ใช่เสียงร้อง แต่เป็นเสียงปีก จำเอาไว้นะ ฟางหรง” เด็กน้อยทำท่างุนงง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นร่าเริงเมื่อมองเห็นว่าถุงผ้าตาข่ายในมือมารดานั้นแลดูหนักอึ้ง “ท่านแม่ เราได้จิ้งหรีดมาเยอะเลย ท่านแม่จะจี่ไฟหรือจะคั่วเจ้าคะ” ฝูฟางหรงพูดพลางกลืนน้ำลายลงคอ ผู้เป็นมารดาหัวเราะหึๆ พลางเอามือลูบหัวบุตรสาวคนโตเบาๆ “แม่จะเลือกตัวที่ดูอ่อนแอ หรือตัวที่ใกล้ตายจี่ให้เจ้ากินก็แล้วกัน ส่วนตัวที่แข็งแรงดีเราจะเลี้ยงเพื่อเอาไข่ของมันก่อน จากนั้นแม่จะคั่วให้เจ้ากินนะ” “จริงหรือเจ้าคะ?” ฝูฟางหรงดีใจแทบจะกระโดดโลดเต้น “จริงสิ ปะ เราไปหาน้องกันเถอะ น้องน่าจะใกล้ตื่นแล้ว” ฝูเฟยเมี่ยวพูดพลางจูงมือบุตรสาวขึ้นเรือนไป ทันทีที่สองแม่ลูกขึ้นเรือนมา ป้าเจินก็อ้าปากค้าง “โอ้!อาเมี่ยว เจ้าได้จิ้งหรีดมามากมายขนาดนั้น ดียิ่งนัก เห็นเจ้าบอกว่าจะเลี้ยงหรือ?” พูดจบป้าเจินก็ขมวดคิ้วมุ่น นางไม่เคยได้ยินมาว่าจิ้งหรีดนั้นเลี้ยงได้ หญิงสาวยิ้มกว้างให้กับป้าเจินผู้มีน้ำใจ อาสามาช่วยดูเจ้าก้อนแป้งให้ในขณะที่นางลงไปหาจับจิ้งหรีด “ตอนนี้ในทุ่งนาและในป่ามีจิ้งหรีดอยู่มากก็จริง แต่อีกไม่เกินหนึ่งเดือนพวกมันก็จะตายหมดแล้ว ต้องรอจนถึงหน้าร้อนพวกมันถึงจะออกมาใหม่ ข้าเลยคิดว่าจะทำการเพาะพันธุ์จิ้งหรีดไว้น่ะเจ้าค่ะ เอาไว้ข้าเลี้ยงจนตัวโตแล้วจะเอาไปให้ท่านป้าเจินลองชิมนะเจ้าคะ” ป้าเจินเออออตามอย่างงงๆ เลี้ยงจิ้งหรีดเช่นนั้นหรือ เลี้ยงในไหนนะ หรือว่าต้องขุดรูให้มันอยู่ แสงแรกของอรุณทำให้ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มกว้างเมื่อนางมองเห็นโอ่งแตก 2 ใบที่ถูกทิ้งเอาไว้หลังบ้าน เสียงดนตรีที่ขับขานออกมาจากด้านในครัว มิใช่กู่เจิ้ง มิใช่พิณ หรือว่าขลุ่ย อีกทั้งยังมิใช่กลองหรือฉิ่งฉาบ หากแต่เป็นเสียงดนตรีจากปีกของเหล่าจิ้งหรีด กลีบดอกจือจื่อปลิดปลิวร่วงหล่นลงบนพื้นดูดื่นดาษ กลิ่นหอมแรงของดอกไม้สีขาวนั้นโชยมาตามสายลมเป็นระยะๆ “บรรยากาศดียิ่งนัก มา เจ้าจิ้งหรีดทั้งหลาย พวกเจ้ามาอยู่ในโอ่งนี่ก่อน เดี๋ยวพอข้าได้ไข่พวกเจ้ามากขึ้นๆ ในแต่ละครั้งข้าจะขยายฟาร์มจิ้งหรีดแห่งนี้ให้เป็นฟาร์มจิ้งหรีดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหมู่บ้านเฉียงไฉ่ เอ…หรือจะเป็นฟาร์มที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยดี ไหนๆ ก็ทำแล้วเอาให้ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าเฉิงไปเลยจะดีกว่า ฮ่าๆๆๆ” หญิงสาวหัวเราะอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ค่อยๆ เทจิ้งหรีดทั้งตัวผู้และตัวเมียออกจากถุงผ้าตาข่ายลงไปในโอ่งรั่วทั้งสองใบที่นางเอาดินรองพื้นไว้แล้ว “ต่อไปก็คงต้องหาอาหารให้พวกเจ้าสินะ” นางพูดพลางมองไปทางชายป่าตรงเชิงเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของตนนัก ในขณะที่มือก็หยิบผ้าตาข่ายมาคลุมปากโอ่งทั้งสองเอาไว้ ใช้เชือกรัดปากโอ่งเพื่อไม่ให้จิ้งหรีดพากันกระโดออกมา ถึงแม้จะอยู่ในโอ่งแต่พวกจิ้งหรีดก็ไม่ตายเพราะพวกมันสามารถหายใจทางรูของผ้าตาข่ายบางๆ นั้นได้ “ฟางหรง แม่จะเอาน้องไปฝากท่านป้าเจินไว้สักหนึ่งชั่วยาม เจ้ารีบกินข้าวต้มกับจิ้งหรีดจี่ที่แม่เตรียมไว้ให้ แม่จะให้เจ้าช่วยป้าเจินคอยดูน้อง กินข้าวเสร็จแล้วไปบ้านป้าเจินกับแม่ ห้ามไปวิ่งเล่นเถลไถลที่ไหน เข้าใจหรือไม่ แม่จะเข้าป่าไปหาอาหารมาให้” “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า…ข้าอยากไปกับท่านแม่ด้วย” เด็กน้อยกินไปพูดไป นางรู้สึกว่าจิ้งหรีดนี้รสชาติโอชะยิ่งนัก เสียแต่ว่ามีน้อยเกินไป “เอาไว้ให้น้องโตกว่านี้สักหน่อย แล้วแม่จะพาทั้งเจ้าและน้องเข้าไปในป่าหาของกินด้วยกัน แต่ตอนนี้น้องยังเล็กอยู่ ยังเข้าป่าไม่ได้ เจ้าเองจึงต้องอยู่ช่วยท่านป้าเจินดูแลน้อง เกรงในท่านป้าเจิน พวกเราน่ะรบกวนนางมาหลายครั้งแล้ว” เด็กน้อยกินไปพยักหน้าไปเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจแล้ว หลังจากที่นำเด็กทั้งสองไปฝากป้าเจินเลี้ยงที่บ้านของนางซึ่งมีรั้วติดกันกับที่นาของตนเอง ฝูเฟยเมี่ยวจึงรีบคว้าตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่และเสียมเข้าไปในป่าทันที ถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้จะยังไม่มีเทคโนโลยีช่วยอำนวยความสะดวก ทว่า…ยังมีธรรมชาติที่เกื้อหนุน ป่าเขาคือแหล่งอาหารมาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้ว เพราะหัวใจของฝูเฟยเมี่ยวนั้นมิใช่หัวใจของสตรีวัยกำดัดที่อาจจะมีความหวาดกลัวอยู่บ้างในบางคราว แต่คือ…หัวใจของสาวประเภทสองที่กล้าแกร่งและชีวิตนั้นโชกโชนยิ่งกว่าทหารที่ผ่านสนามรบมาซะอีก นางจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด อย่างน้อยป่าเล็กๆ แค่นี้ก็ไม่น่าจะมีสัตว์ป่าใหญ่อย่างพวกเสือ สิงห์ หรือว่าหมีหรอก ป่าเล็กๆ แค่นี้จัดเป็นประเภทป่าเบญจพรรณกระมัง ตอนที่ฝูเฟยเมี่ยวยังเป็นเด็กก็ได้มีโอกาสเข้าไปเที่ยวเล่นซุกซนตามประสาในป่าเล็กๆ ที่ติดกับท้องนาของครอบครัวอยู่บ่อยครั้ง “เอ๊ะ!นั่นฟักทองนี่ โชคดีจริงๆ” หญิงสาวอุทานอย่างตื่นเต้นเมื่อพบว่ามีต้นฟักทองทอดยาวไปตามพื้น ลำต้นบางส่วนก็เกี่ยวพันต้นไม้เตี้ยๆ ขึ้นไปตามกิ่งก้านของมัน ลูกฟักทองขนาดสองฝ่ามือสองลูกกำลังแก่จัดได้ที่ และมีลูกเล็กๆ สีเขียวๆ กำลังจะเติบโตไล่เลี่ยกันอีกราวหกลูก ฝูเฟยเมี่ยวยิ้มหน้าบาน วันนี้นางมีอาหารให้ตนและบุตรสาวรวมทั้งพวกจิ้งหรีดแล้ว ฝูเฟยเมี่ยวจัดการเก็บฟักทองที่แก่จัดสองลูกใส่ลงในตะกร้าจากนั้นจึงสะพายไว้บนไหล่ หญิงสาวเดินต่อไปอีกราวๆ สิบก้าวก็พบกับกอไผ่สองสามกอ “โอ้โฮ!ไผ่พวกนี้ลำใหญ่เสียจริง เอ…เราจะใช้ประโยชน์อันใดจากไม้ไผ่นี่ได้บ้างนะ” นางทำท่านึก เป็นที่รู้กันดีว่าต้นไผ่นั้นสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเอามาสร้างเป็นที่อยู่อาศัย ทำเฟอร์นิเจอร์หรือว่าเครื่องเรือน ของใช้ แม้แต่หน่อของมันก็เอามากินเป็นอาหารได้ “เอ๊ะ!นั่นหน่อไม้ใช่หรือไม่?” ฝูเฟยเมี่ยวเบิกตาโตก่อนจะใช้เสียมเขี่ยใบไผ่และกาบไผ่ที่คลุมหน่อไม้ออก อย่างไรเสียที่รกๆ เช่นนี้ก็ต้องระวังงูเอาไว้ก่อน หลังจากเขี่ยใบไผ่และกาบของต้นไผ่ออกไปแล้วสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของนางก็คือ…หน่อไม้อวบๆ ห้าหน่อ “ดีจริง ข้าจะทำผัดหน่อไม้ให้ฟางหรงกิน ว่าแต่จะผัดใส่อะไรดีน๊า หมูก็ไม่มี ไก่ก็ไม่มี เนื้อสัตว์ไม่มีเลย มีแต่ปลาแห้งที่ป้าเจินให้ไว้ เฮ้อ!แต่ก็ช่างเถอะ บ้านเราจะไม่จนอย่างนี้ไปตลอดหรอก เชื่อมือเจ้ฝูเฟยเมี่ยวสิ” ฝูเฟยเมี่ยวขุดหน่อไม้ทั้งหมดและใส่ลงไปในตะกร้า ตอนที่เดินเข้ามานางจำได้ว่าตรงชายป่ามีหญ้าอ่อนๆ ใบเขียวขึ้นเต็มไปหมด ดีละ…นางได้อาหารให้จิ้งหรีดอีกหนึ่งอย่างแล้ว ‘ต่อไปเราก็จะขยายฟาร์มจิ้งหรีด จับมาขายทีละมากๆ อีกไม่เกินหนึ่งเดือนจิ้งหรีดก็จะหมดไป ต้องรออีกหลายเดือนกว่าพวกมันจะออกมาใหม่ นั่นล่ะช่วงเวลาทำเงินของเจ้ฝูเฟยเมี่ยวเค้าละ ฮ่าๆๆๆ’ ฝูเฟยเมี่ยวเก็บใบหญ้าอ่อนไปหัวเราะไปอย่างอารมณ์ดี โครงการรางไม้ไผ่ขนาดใหญ่สำหรับขยายฟาร์มจิ้งหรีดผุดขึ้นมาในหัวแทบจะทันที “ไม้ไผ่นี่ดีจริง ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ฟาร์มจิ้งหรีดขนาดใหญ่ของเจ้ก็จะเกิดจากไม้ไผ่นี่ละ อืม…เอาไว้ใช้สร้างบ้าน ทำโรงเรือน ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไม้สอยได้สารพัด โชคดีที่แต่ก่อนเราเคยจับงานสารพัดช่างพวกนี้มาบ้าง รอดตายแล้วละฝูเฟยเมี่ยวเอ๋ย” นางพึมพำเบาๆ กับตนเองในขณะที่เดินสำรวจรอบๆ กอไผ่ ป่าแห่งนี้มีกอไผ่หลายกอ ลำต้นของไผ่ก็สูงชะลูดอีกทั้งยังลำใหญ่ น่าจะใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง หญิงสาวเดินรอบๆ เพื่อสำรวจกอไผ่ให้ครบทุกกอ เผื่อจะโชคดีเจอหน่อไม้โผล่ขึ้นมาอีก “อืม…ตรงนี้มีหน่อไม้ซะด้วย แต่ตอนนี้ยังขุดไม่ได้ มันเพิ่งโผล่ขึ้นมา ต้องรออีกสักสองสามวันค่อยมาดูใหม่ จองไว้ก่อนนะจ๊ะ” หญิงสาวพูดอย่างอารมณ์ดีพลางใช้ไม้เขี่ยใบไผ่มาคลุมหน่อไม้นั้นไว้ไม่ให้คนอื่นมาเห็น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม